สายฝน..ว่าด้วยอารมณ์และความรู้สึก


“I always like walking in the rain, so no one can see me crying.” Charlie Chaplin [Sir Charles Spencer "Charlie" Chaplin]

 

เช้านี้หมอกลงมากกว่าทุกวัน อากาศเย็นลง ตะวันขึ้นช้าและตกดินเร็วกว่าที่เคยเป็น รู้สึกได้ถึงกลิ่นไอแห่งเหมันตฤดู หน้าฝนคงสิ้นสุดไปแล้ว

เมื่อวันศุกร์ปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ยังเห็นมีสายฝนปรอยลงมาเป็นละอองเหมือนใครเอา "ฟ๊อกกี้" ซักพันอันระดมฉีดลงมาจากบนฟ้า ไม่นานก็จางหายไป อากาศเริ่มเย็นลงทุกวันอย่างต่อเนื่อง นึกว่าจะไม่ได้เห็นฝนตกลงมาอีกแล้วสำหรับปีนี้ ที่ไหนได้บ่ายแก่ๆเมื่อวานอยู่ๆก็ทะลักลงมาเสียจนเปียกปอนไปหมด ชั่วเวลาแค่ชั่วโมงกว่าๆเท่านั้นน้ำก็นองไปทั่ว นี่ถ้าเป็นกรุงเทพฯ พี่น้องทั้งหลายคงได้กลับไปกินข้าวเย็นที่บ้านตอนเที่ยงคืนเป็นแน่ ไม่รู้ว่าเป็น "ฝนสั่งฟ้า" ที่โบราณเขาเรียกกันหรือเปล่า

หากถามความรู้สึกของคนทั่วไปที่มีต่อสายฝน ผมว่าเราคงได้คำตอบที่แตกต่างกันชนิดสุดขั้วเลยก็ว่าได้ (เอาเฉพาะความรู้สึกที่สัมพันธ์กับอารมณ์เท่านั้น ไม่นับรวมความรู้สึกกลัวลานแบบที่สมาชิกสมาคมชมรมคนตาแหกแห่งประเทศไทยวิตกจริตไปตามที่มีคนมาเป่าหูว่าฝนจะตกหนัก น้ำจะท่วมฟ้าปลาจะกินดาว ชาวประชาทั้งหลายจะถูกพัดพาไปจมทะเลอะไรพวกนั้นนะครับ) ผมเคยเข้าไปดูในเว็บของฝรั่งที่เขาสำรวจเรื่องนี้กัน มีคนมาให้ความเห็นหลากหลาย ถ้าเทียบได้ก็คงตั้งแต่ลบสุดขั้วไปจนบวกสุดขีด คือมีตั้งแต่รู้สึกเป็นสุข สดชื่น สนุกสนาน วิตก กังวล เศร้า เสียใจ ผิดหวัง สูญเสีย ฯลฯ คือมีครบทุกอาการ

ตอนเป็นเด็กก่อนเข้าเรียนชั้นประถมศึกษา ผมอยู่กับตายายเพราะพ่อแม่รับราชการกลางวันจะไม่มีใครดูแล ก็ได้รสชาติชีวิตชาวนามาจากตายายกับน้าสาวน้าเขยที่นี่แหละครับ กลางวันก็ตามตาไปนาบ้าง ไปเลี้ยงควายบ้าง เรียกว่าตกม้าตกควายมาจนชิน พ่อกับแม่จะมาเยี่ยมประมาณเดือนละครั้ง บางทีก็ห่างกว่านั้น จำได้ว่าครั้งหนึ่งท่านมาหาตอนหน้านา ฝนตกปรอยๆท้องฟ้ามืดครึ้ม อึมครึมตลอดทั้งวัน

ตอนที่พวกท่านกลับผมมองตามจนสุดสายตาด้วยความรู้สึกเหงาและหดหู่จับใจอย่างไรบอกไม่ถูก รู้แต่ว่าจำความรู้สึกนั้นฝังใจมาตลอดจนถึงทุกวันนี้ ตั้งแต่นั้นมาถ้าได้เจอบรรยากาศที่ท้องฟ้าอึมครึมฝนตกพรำๆทั้งวันแล้วละก็ ความรู้สึกอย่างนั้นจะกลับมาอีกทันทีทุกครั้ง แต่ถ้าเป็นแบบตกหนักๆแรงๆเมื่อหายแล้วฟ้าเปิดโล่งโจ้ง อย่างนั้นไม่เป็นไรครับ ความรู้สึกจะกลายเป็นชุ่มฉ่ำสดชื่นเข้ามาแทนที่ซะงั้นไป

สิ่งที่สะท้อนความรู้สึกของคนกับเรื่องของฝนนี่ผมว่าบทกวี กับบทเพลง น่าจะสะท้อนอารมณ์และความรู้สึกลึกๆได้ดีกว่าอย่างอื่น สำหรับตัวเองชอบฟังเพลงมากกว่าอ่านบทกวี(อารมณ์ยังสุนทรีย์ไม่พอ) บางครั้งก็อดแปลกใจไม่ได้เหมือนกันว่า มีบทเพลงหลายๆบทเพลงที่เชื่อมโยงกับเรื่องของฝน ในอารมณ์และความรู้สึกที่แตกต่างกันไปคนละด้านได้อย่างไร จนทำให้รู้สึกว่าอยากจะลองรวบรวมเอาอารมณ์ความรู้สึกเหล่านี้มาเขียนเป็นบันทึกบ้าง

อันที่จริงบทเพลงของทุกชาติทุกภาษาก็คงบอกกล่าวถึงอะไรที่คล้ายๆกัน พอดีว่าเราเองก็จำกัดในเรื่องของภาษาอยู่ด้วยหากจะยกตัวอย่างก็คงเอาที่พอจะฟังจะแปลกันได้ก็แล้วกันนะครับ

เพลง "ฝนเดือนหก" ของรุ่งเพชร แหลมเปี๊ยบ..เอ๊ย แหลมสิงห์ เชื่อมโยงเรื่องของฝนเข้ากับความรักที่ไม่สมหวัง ความเศร้าและความเจ็บปวด เหมือนที่ในเพลงบอกว่า

"ย่างเข้าเดือนหกฝนก็ตกโปรยๆ หัวใจพี่ร้องโอยๆ คิดถึงแม่ดอกกานเชา ฝนตกลงมาคิดถึงขวัญตาน้องเจ้า ไม่เจอะหน้าน้องแม้เงา หรือลืมรักเราเสียแล้วแก้วตา.."

ก็พอจะเข้าใจนะครับ แต่ "ดอกกานเชา" นี่ไม่รู้จักและไม่เข้าใจเหมือนกัน พยายามฟังหลายครั้ง ลองเทียบดูกับคนที่เขาเคยโพสเนื้อเพลงนี้ไว้ก็เขียนแบบนี้เหมือนกัน แต่ถ้าเป็นดอกกัญชาละก็ยังพอเคยเห็นครับ

"ขอเพียงที่พักใจ" ของมาลีวัลย์ เจมีน่า เปรียบเทียบความอ่อนล้าจากการยืนหยัดต่อสู้กับบางสิ่งเสมือนเดินอยู่ท่ามกลางลมฝนที่โหมกระหน่ำ เป็นความเหน็ดเหนื่อยจนต้องหาใครสักคนให้ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือก่อนที่จะหมดแรงลงไปเสียก่อน..

"เดินอยู่กลางลมฝน สู้ทนฟันฝ่า กายที่มันอ่อนล้า แทบยืนไม่อยู่ เดินต่อไปคงล้ม มันหมดแรงจะสู้ เปิดประตูรับหน่อยได้ไหม.."

แต่สำหรับ "เจ้าสาวที่กลัวฝน" ของเต๋อ เรวัติ พุทธินันทน์ กลับให้มองอีกมุมหนึ่ง ในด้านบวกของฝน ให้เห็นเป็นเรื่องธรรมชาติที่ไม่น่าหวาดกลัว และให้รู้จักทำใจต่อสู้อยู่กับมันให้ได้ ไม่จมอยู่กับความคิดเก่าๆ พูดง่ายๆก็คืออย่ายอมจำนนกับอุปสรรคต่างๆนั่นเอง

"หากเธอคิด พบรักที่ชื่นฉ่ำ อย่ามัวทำ ตัวเองมืดมน อย่ากลัวฝน เพราะฝนนั้นเย็นฉ่ำ อย่ามัวทำ ตามความคิดเดิม ลองคิดดู ลองหาทางสู้กับฝน.."

ความหมายของฝนในบทเพลงไทยหลายๆสไตล์ก็ยังมีความแตกต่างไปในด้านต่างๆที่ไม่เหมือนกัน แล้วหากเป็นเพลงสากล(เพลงฝรั่ง)ล่ะจะคล้ายๆของเราไหม ?

"Raining In My Heart" เพลงดังของ Buddy Holly ในยุคปี 1959 นั้น "Raining" ไม่ได้หมายถึงสายฝนทางกายภาพ แม้ท้องฟ้าจะสดใส อากาศสดชื่นปราศจากเมฆหมอกมาบดบัง แต่ความเศร้าหมองทั้งหลายเหล่านั้นเกิดจากในใจของเรานั่นเอง

"The sun is out, the sky is blue, there's not a cloud to spoil the view but it's raining, raining in my heart
The weather man says clear today, he doesn't know you've gone away and it's raining, raining in my heart
Oh, misery, misery, what's gonna become of me?"

[ Lyrics from: http://www.lyricsmode.com/lyrics/b/buddy_holly/raining_in_my_heart.html ]

ซึ่งก็น่าจะเข้ากันได้กับเพลง "Walking In The Rain" ของ The Ronettes กลุ่ม Trio สาวยุคซิกตี้ที่ได้รับรางวัลแกรมมี่ในปี 1965

"It never rains in southern California" ของ Albert Hammond คำว่า "Rain" อาจจะไม่ได้หมายความถึงความทุกข์หรือความเศร้าหมองทางจิตใจ แต่เป็นความทุกข์ ความยากลำบากทางกายภาพมากกว่า

ลองเข้าไปดูในเว็บ songfacts.com ซึ่งได้รวบรวมความหมาย แรงบันดาลใจของผู้เขียน และความคิดเห็นของบุคคลทั่วไปเกี่ยวกับเพลงนั้นๆเข้าไว้ สำหรับเพลงนี้ มีหลายคนที่บอกว่าเป็นผู้ย้ายถิ่นฐานมาแสวงโชคในสหรัฐอเมริกา ด้วยความหวังถึงอนาคตที่ดีกว่า แต่ต้องมาเผชิญกับความยากลำบากเลือดตาแทบกระเด็น เมื่อได้ฟังเพลงนี้พวกเขาก็จะลำลึกถึงช่วงเวลาแห่งความทุกข์ยากนั้นเสมอ

จากหลายๆเพลงที่กล่าวถึง อาจจะต่างอารมณ์ความรู้สึกกันไป แต่ส่วนใหญ่ก็จะออกไปในทางเศร้าๆ ผิดหวัง หรือความทุกข์ยาก แต่ก็ยังมีอีกครับ เพลงนี้ผมชอบมากเพราะฟังแล้วอดยิ้มอย่างมีความสุขไม่ได้ ซึ่งจะว่าไปแล้วเพลงที่มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับเรื่องฝนๆนี่มีไม่กี่เพลงหรอกครับที่ให้ความรู้สึกแบบนี้ ดนตรีก็ดูใสๆเข้ากับเนื้อเพลงได้ดีทีเดียว


Neil Sedaka

"Laughter In The Rain" ของ Neil Sedaka เป็นหนึ่งในไม่กี่เพลงที่นำเอาสายฝนมาผูกไว้กับความรักที่สุขสม ร่าเริงและมีความสุข ไม่อยากบอกเลยว่าตอนหนุ่มๆเวลาฟังเพลงนี้แล้วอดที่จะหลับตาฝันอยากจะมีวันอย่างในบทเพลงนี้กับเขาบ้างจริงๆนะครับ แค่คิดถึงท่อน "After a while we run under a tree I turn to her and she kisses me" ก็เก็บเอาไปฝันได้ทั้งปีแล้วละครับ

"Oo, I hear laughter in the rain
Walking hand in hand with the one I love
Oo, how I love the rainy days
And the happy ways I feel inside

After a while we run under a tree
I turn to her and she kisses me
There with the beat of the rain on the leaves
Softly she breathes and I close my eyes
Sharing our love under stormy skies"

[ Lyrics from: http://www.lyricsmode.com/lyrics/n/neil_sedaka/laughter_in_the_rain.html ]
vidoe http://www.youtube.com/watch?v=SsYIiY2wnyU

ก็อยากเป็นพระเอกในเพลงกะเขาเหมือนกันนี่ แต่ถ้าเป็นเรื่องจริงคงไม่อยากเสี่ยงเท่าไหร่หรอกครับ ที่ทางมีถมเถทำไมต้องมาวิ่งกันกลางฝน เกิดฟ้าพี่แกหมั่นไส้ผ่าเป๊ะลงมาจะกลายเป็นปลาเผาไปเสียเปล่าๆ

นั่นเป็นเรื่องของบทเพลงที่มีทั้งสายฝนจริงๆและจากความรู้สึกส่วนลึกข้างใน หรือจากการเปรียบเทียบเปรียบเปรย ในโลกของความเป็นจริงมนุษย์กับฝนย่อมจะแยกจากกันไม่ได้ สายฝนเป็นเสมือนเพื่อน เป็นเทพเจ้า เป็นผู้ให้ความชุ่มฉ่ำ ให้ชีวิต แม้ในบางครั้งที่เกิดอารมณ์เกรี้ยวกราดกลายเป็นผู้ทำลายไปบ้างแต่ก็เป็นเพียงแค่ส่วนน้อย


Sir Charlie Chaplin

มีบางคนให้สายฝนเป็นเพื่อนที่คอยปกป้องในบางเวลา Sir Charles Spencer "Charlie" Chaplin หรือที่เรารู้จักกันดีว่า ชาลี แชปลิน สุดยอดดาวตลกในยุคภาพยนตร์เงียบเมื่อร้อยปีที่แล้วเคยพูดไว้ว่า "ผมชอบเดินกลางสายฝน เพราะมันทำให้ไม่มีใครเห็นว่าผมกำลังร้องไห้ (I always like walking in the rain, so no one can see me crying.)"

ชาลี แชปลินเป็นดาวตลกชื่อดังที่ใครๆก็รู้จัก ยามที่เศร้าหมองหรือมีเรื่องที่กำลังเศร้าโศกเสียใจจึงไม่อยากให้มีใครสังเกตเห็น นั่นอาจเป็นการแสดงออกถึงความเคารพในประชาชนที่สนับสนุนเขาอยู่ก็ได้ว่า ชีวิตของดาวตลกควรมีแต่เรื่องสุขสันต์เฮฮา ไม่ควรมีเรื่องเศร้าหมองให้ใครๆเห็น สายฝนจึงเป็นเสมือนเพื่อนผู้คอยปิดบังซ่อนเร้น คอยชะล้างคราบน้ำตาให้ดูสดใสอยู่เสมอทั้งที่ส่วนลึกแล้วอาจไม่ได้เป็นอย่างนั้นเลยก็ได้

น้ำตาของยอดดาวตลกรุ่นคุณทวดอาจถูกชะล้างซ่อนเร้นโดยง่ายจากสายฝนเพียงเบาบาง แต่สำหรับน้ำตาแห่งความอำมหิตโหดร้าย มันย่อมไม่ใช่น้ำตาบริสุทธิ์ แต่เป็นน้ำตาปลอม น้ำตาเทียม น้ำตาพลาสติก..

..น้ำตาจรเข้ !

ไม่ว่าจะเป็นสายฝนที่โปรยปราย หรือนิยายเรื่องชายชุดดำ..

..อะไรก็ล้างไม่ออกหรอกครับ.

ขอบคุณภาพประกอบจาก Wikimedia Commons [ http://commons.wikimedia.org/wiki/Main_Page ]
ภาพหนุ่มสาวกลางสายฝน http://commons.wikimedia.org/wiki/File:Falling_rain_in_mexico.jpg
ภาพ Sir Charlie Chaplin http://commons.wikimedia.org/wiki/File:Charlie_Chaplin.jpg
ภาพ Neil Sedaka http://commons.wikimedia.org/wiki/File:Neil_Sedaka_-_TopPop_1974_1.png
 

คำสำคัญ (Tags): #happy#raining#sad
หมายเลขบันทึก: 506138เขียนเมื่อ 18 ตุลาคม 2012 23:54 น. ()แก้ไขเมื่อ 12 ธันวาคม 2012 10:13 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (6)

มาน้อมเคารพท่าน 

และศึกษา ความสุข

จากบันทึกนี้ของท่าน

ด้วยใจ นะครับ.....

ชยพร   แอคะรัจน์

ขอบคุณท่านอาจารย์ชยพร แอคะรัจน์ ที่แวะมาเยี่ยมเยือนครับ

อย่างไรก็ต้องขอย้ำว่าบันทึกของท่านได้ให้สาระกับผมมากมายครับ ทั้งเรื่องของการเกษตรและแม้แต่ link เพลงดีๆที่มีให้เสมอๆ

ก็อาจารย์ให้บทเพลงบอกเล่าสาระดีๆให้แล้วนี่ครับ

 


Lungnoke อาจารย์(ลุงนก หรือคะ?)

อาจารย์เขียนสนุก อ่านจุใจ ได้แอ๊ดบล็อกไว้เป็นแฟนคลับเรียบร้อยแล้วค่ะ

วันนี้มีคำถามค่ะ

ขอเรียนถามว่า เพลง smile เกี่ยวพันอะไรกับไมเคิล แจ็คสัน และลุงชาลี แชปลิน "Charlie" Chaplinคะ

search เพลง smile ฟังบ่อย ๆ เห็นในยูทิวป์น่ะค่ะ

 

ขอบพระคุณล่วงหน้าค่ะ

 

ขอบคุณอาจารย์ภูสุภา ชื่อ Lungnoke นั้นหลานๆเรียกว่า "ลุงโหนก" ครับ

สำหรับเพลง "Smile" ลุงชาลีแกแต่งดนตรีเป็นธีมประกอบภาพยนตร์ของแกเรื่อง "Modern Times" ตั้งแต่ปี 1936 (ก่อนสงครามโลกครั้งที่สองนู่น) ต่อมา John Turner และ Geoffrey Parsons ได้ใส่เนื้อเพลงเข้าไปเมื่ปี 1954 โดยมีเนื้อหาให้กำลังใจคนฟังว่าวันพรุ่งนี้จะยังสดใสเสมอหากเรามีรอยยิ้มให้กัน และในปีนั้น Nat King Cole ก็เอามาร้องเป็นครั้งแรก

ในปี 1995 Michael Jackson ได้เอาเพลงนี้มาบันทึกเป็นอัลบั้มคู่โดยมีแผนที่จะปล่อยออกมาในปี 1998 แต่ถูกยกเลิกไปก่อน....เรื่องมันอีกยาวครับเกี่ยวไปถึงราชวงศ์อังกฤษด้วย อาจารย์ไปหาดูได้ที่นี่ http://en.wikipedia.org/wiki/Smile_%28Charlie_Chaplin_song%29

ต้องขอบคุณอีกครั้งสำหรับกำลังใจครับ

ขอบคุณลุงโหนกค่ะ

ตามไปอ่านพลัน

เคยแปลเพลง smile ไว้ ครั้งนั้นต้องถามคำจากเพื่อนที่รู้ภาษาฝรั่งเศสด้วย ฟังทั้งสองเวอร์ชั่นค่ะ

เดี๋ยวค้นพบแล้วจะมาโพสต์ เสร็จจะมาชวนไปอ่านดูค่ะ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท