การกินเจที่บาปน้อยที่สุด


ช่วงเทศกาลกินเจนี้ มีบางท่านเชื่อว่ากินเจแล้วได้บุญ ซึ่งผมได้ย้อนศรไว้แล้วในบทความก่อนว่า ถ้างั้นวัวควายเก้งกวางมันคงบุญหนักที่สุดเพราะเทศการกินเจของมันยาวตลอดชีพเชียวนะ

 

เราควรมาคิดกันว่ากินอะไรบาปน้อยที่สุด  (เพราะเราอ้างว่าเป็นสัตว์ประเสริฐไม่ใช่หรือ) 

 

แน่นอนว่ากินเจคงบาปน้อยกว่ากินเนื้อ แต่ผมว่าก็ยังเบียดเบียนพืชอยู่นะ เช่นผักกาดขาว ผักคะน้าที่ไปฟันเขาฉับๆ มากินกันอร่อยปากน่ะ เคยคิดบ้างไหมว่าเขาเจ็บปวดนะ

 

 

ผมว่ากินไปเถอะ อะไรก็ได้ ขอให้มีสติว่ากินเพื่ออยู่     สักแต่ว่าเป็นธาตุ  ไม่ได้กินเพื่อคะนองกาย  คะนองลิ้น   อย่าไปยึดติดว่าเป็นเนื้อโน้น พืชนี้  ให้วุ่นวายเกินจำเป็น     รู้ไหมว่าคนเราหายใจแต่ละเฮือก ฆ่าจุลินทรีย์ไปกี่แสนตัว    ถ้าไม่อยากฆ่าใคร ควรหยุดหายใจได้แล้ว 

 

 

ผมคิดว่าการกินที่บาปน้อยที่สุดเป็นดังนี้ครับ

 

ผักที่ออกเมล็ดแล้ว เช่น คะน้า ผักกาดขาวแก่ๆ เหี่ยวๆ   เพราะเขาออกเมล็ดแล้วแสดงว่าหมดหน้าที่ของเขาแล้วในการสืบทอดสายพันธุ์ เราก็ไปขอต้นก้านใบ เขามากินได้  ไม่งั้นอีกเดี๋ยวเขาก็ตายแล้ว  แต่พวกผักหนุ่มสาวที่ยังไม่ออกลูกไม่ควรกิน อาจเป็นบาป

 

ผลไม้ ...เพราะเขาออกลูกมานี้ก็หวังจะให้สัตว์ช่วยกินอยู่แล้ว จะได้ช่วยแพร่กระจายลูกเขาไปไกลๆ  เราไปกินผลไม้ก็ไม่ได้เบียดเบียนพืชมากนักหรอก

 

ใบไม้...ที่แตกยอดใหม่ได้   เรียกว่าขอกันกิน  เพราะท่านก็ไม่ได้ตาย แถมยังอาจเป็นผลดีกับท่านด้วยซ้ำไป (ทำให้แตกพุ่มได้ดีขึ้น)  พวกนี้มีมากชนิดทีเดียว โดยเฉพาะพวกไม้ยืนต้นทั้งหลาย เช่น จิก กระโดน เหลียง มันปู กระถิน  แค รวมถึงไม้เลื้อย เช่น ผักบุ้ง ตำลึง  ผักปลัง

 

 

พวกธัญพืชที่ออกรวงแบบมีเมล็ดมาก เช่น ข้าว ข้าวโพด ลูกเดือย เพราะว่าออกเมล็ดมากเหลือเกิน เราไปขอกินสักหน่อยก็คงไม่สูญพันธุ์หรอก  (มดยังขนไปกินเลย)

 

 

พืชหัวที่ออกหัวแลเมล็ดพร้อมกัน ...เช่น แครอท ไชเท้า หัวพวกนี้เป็นเพียงการสำรอง เพราะพวกนี้สืบพันธุ์โดยเมล็ด ไม่ใช่โดยหัว 

 

พืชหัวที่ออกหัวเป็นกระจุกจำนวนมาก ...เช่น กลอย มันเหน็บ มันอ้อน มันนก  มันอีมู่ มันพร้าว  โดยเราต้องเก็บกินแบบไม่ขุดทั้งหมด แต่ขุดกินเฉพาะบางหัว ปล่อยให้เขาแตกหัวไหม่ต้นไหม่ได้ในปีต่อไป  (หลักการคิดเหมือนกับกินผักแตกใบ) 

 

เห็ด...น่าจะกินได้หมด เพราะเป็นพืช “ชั้นต่ำ”  ที่มีสปอร์กระจายอยู่มาก กินเท่าไหร่ก็ไม่รู้จักหมดหรอก

 

สัตว์ก็กินได้นะ ...ถ้าไม่ได้ฆ่า แต่มันตายเอง เช่น ตายเพราะป่วย แก่ หรือโดนภัยธรรมชาติ   (ไฟไหม้ น้ำท่วม แล้ง หนาว)

 

พพจ.สอนว่าจงกินอาหารเหมือนกับกินเนื้อลูกในไส้ที่ตายลงกลางทะเลทราย  (คือกินเพื่อประทังชีวิต ไม่ได้กินเพื่ออร่อย ใครกินเนื้อลูกตัวเองที่ตายกลางทะเลทรายแล้วเห็นว่าอร่อยก็คงเป็นคนเพี้ยนมาก ๆ  พพจ. เก่งในเรื่องอุปมาและเสียดสี จริงๆ ) 

 

 

 

 

...คนถางทาง (๑๑ ตุลาคม ๒๕๕๕) 

หมายเลขบันทึก: 505259เขียนเมื่อ 11 ตุลาคม 2012 19:06 น. ()แก้ไขเมื่อ 12 ตุลาคม 2012 03:43 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (2)

Again I would say "stop killing mother fish".

Thailand may have more fish in cans (exported around the world) than in the Gulf of Thailand. If we could just let mother fish live and have their children...

ท่าน sr ครับ ผมได้เคยเสนอคห.ไว้แล้วในบทความก่อนๆว่า ลุกปลาตายนั้นทางหนึ่งมาจากการจับแม่ปลา แต่ว่าไปแล้ว เราไม่ต้องการแม่ปลามากนักหรอก เพราะแม่ปลาหนึ่งตัวออกลูกเป็นหมื่นๆ กรมประมงอาจเพาะแม่ปลาแล้วเอาไข่ไปปล่อยแทนยังได้เลย เพียงแต่ว่าปล่อยไปแล้ว ลูกปลาออกมาก็ตายหมดเป็นส่วนใหญ่ เพราะไม่มีสารอาหารกินพอเพียง ที่ไม่มีก็เพราะการหดหายไปของระบบนิเวศ (ป่าชายเลน) และสารพิษจากโรรงงาอุตสาหกรรมริมป่าชายเลน

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท