บันทึกการเดินทาง


แสวงบุญชีวิตฝ่ายจิต

บันทึกการเดินทางสู่ประเทศฟิลิปปินส์

ระหว่างวันอังคารที่ 2  - วันเสาร์ที่ 6  ตุลาคม พ.ศ. 2555

โดย...ภารดี    เทศชารี

........................................................................................................................................

วันอังคารที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2555

            นัดพบกันที่ ROW “T”  เพื่อ Check-in  ในเวลา 06.30 น.  ก่อนออกเดินทางด้วยสายการบิน Philippines Airlines  เที่ยวบินที่  PR753 เวลา 09.25 น.

            ช่วงเวลาสามชั่วโมงกว่าบนเครื่องบิน ฉันตั้งจิตตั้งใจอธิษฐานภาวนา สวดสายประคำส่วนตัวสำหรับการเดินทางของฉันที่ขอฝากไว้ในความคุ้มครองตามน้ำพระทัยของพระเป็นเจ้า  เพราะทุกครั้งที่เครื่องบิน ซึ่งเป็นสิ่งสร้างของมนุษย์ทะยานขึ้นเหนือพื้นดิน..ทุกสิ่งก็เกิดขึ้นได้ (มนุษย์สร้างเครื่องบินที่แสนวิเศษ มหัศจรรย์ได้ด้วยความสามารถที่พระมอบให้  แต่ไม่สามารถกำหนดได้ว่า จะรักษาชีวิตของตนให้ปลอดภัย 100% ในขณะที่อยู่เหนือน่านฟ้าได้อย่างไร)

            เราเดินทางถึงสนามบินนินอย อาคีโน่ (Ninoy Aquino International Airport) เวลา 13.30 น.  โดยได้รับการต้อนรับจากเซอร์อธิการบ้าน St.Paul Center of Renewal  ซึ่งเดินทางมารับคณะของเราถึงสนามบินและนำรถมาขนกระเป๋าของเราไปเข้าบ้านพักก่อน  ส่วนพวกเราขึ้นรถบัสเล็กเดินทางจากกรุงมะนิลาสู่เมือง Alfonso  ระหว่างเส้นทางออกจากตัวเมืองมะนิลาเข้าเขตTagaytay ฉันมองเห็นความแตกต่างในการดำเนินชีวิตของชนในเมืองและชนในต่างจังหวัด ความแออัดยัด
เยียดของบ้าน  วัสดุการสร้างบ้านซึ่งบางทีไม่น่าเรียกว่าการสร้างบ้าน แต่น่าจะเป็นการประกอบที่อยู่อาศัยเสียมากกว่า เพราะลักษณะบ้านหลายหลัง พวกเขาไม่ได้หวังความสวยงามเพียงแค่มีที่พักอาศัยเท่านั้นจริงๆ  ที่นี่แหละที่ที่พระเยซูเจ้าประทับอยู่...ในขณะที่หัวหน้าทัวร์ของเราคอยเตือนเราให้ดูแลรักษาของมีค่าดีดีเนื่องจากมีบรรดามิจฉาชีพตามสถานที่ที่นักท่องเที่ยวเดินทางไป หรือแหล่งช้อปปิ้ง ต่างๆ  ฉันก็กลับมานั่งรำพึงกับชีวิตตนเองว่า ในขณะที่ไกด์ของเราบอกเราว่า ที่นี่มีคาทอลิกถึง 80% แล้วบรรดามิจฉาชีพเหล่านั้นหละ พวกเขาคือใคร  คือลูกของพระหรือเปล่า  พวกเขาก็คงไม่ได้ต้องการเป็นแบบนั้น  แต่สภาพสังคมที่พวกเขาอยู่มันทำให้พวกเขาต้องเป็นเช่นนั้น...ฉันมั่นใจว่าพระเยซูเจ้าทรงประทับอยู่กับพวกเขาในสภาพภูมิประเทศที่รายล้อมด้วยมหาสมุทรกว้างใหญ่  ในสภาพอากาศที่ต้องเผชิญมรสุม ไต้ฝุ่นทุกๆปี พวกเขาต้องประสบกับอุปสรรคมากมาย  เป็นกางเขนที่พวกเขานบนอบน้อมรับมากกว่าพวกเราเสียอีก

            เราเดินทางมาถึงอาสนวิหารนักบุญมาร์ติน เดอ ตูร์ส (Basilica of San Martin of Tuors) ซึ่งอยู่ในเมือง Alfonso  เวลา 17.45 น.  โดยมีสายฝนโปรยปรายนำเส้นทางให้ความชุ่มชื่นมาตลอดการเดินทาง  และเนื่องด้วยสภาพอากาศที่ครึ้มฟ้าครึ้มฝนจึงทำให้ความมืดเข้ามาเยือ นรวดเร็วยิ่งขึ้น  เมื่อรถบัสจอดฉันก็มองเห็นอาสนวิหารที่ใหญ่โตและดูเก่าแก่มากที่สุดเท่าที่เคยได้เห็นมา ยิ่งอาบอิ่มด้วยสายฝน...ตะไคร้น้ำที่เกาะตามผนังโบสถ์ยิ่งเด่นชัดมากขึ้นด้วย แสดงให้เห็นถึงประวัติศาสตร์อันยาวนานของโบสถ์หลังนี้จริงๆ  เป็นประวัติศาสตร์ของความเชื่อที่ถ่ายทอดสืบต่อกันมา  อาสนวิหารหลังนี้ถูกสร้างขึ้นมาเมื่อสามร้อยกว่าปีที่แล้ว  ซึ่งในขณะนี้มีพระสงฆ์พื้นเมืองดูแลอยู่   สภาพภายนอกของอาสนวิหารถูกกัดเซาะด้วยลม น้ำ สายฝน  พายุ และเหตุการณ์แผ่นดินไหว  โดยฉันพบว่ายอดของอาสนวิหารถูกทำลายเสียหายไปพอสมควร แต่ถึงกระนั้น แม้ภายนอกจะดูผ่านร้อนหนาวมายาวนาน แต่ก็เป็นร้อนหนาวที่ศักดิ์สิทธิ์   เมื่อเดินเข้ามาภายในอาสนวิหารพวกเราทุกคนต่างยืนตะลึงในความงดงาม  โอ่อ่า  สง่าและอบอวลด้วยบรรยากาศที่แสนวิเศษที่สุด  ด้านในดูวิจิตรตระการตาไปด้วยภาพเขียนถึงเรื่องราวในพระคัมภีร์  ฉันประทับใจภาพวาดด้านหลังในอาสนวิหารที่เป็นเรื่องราวจุดกำเนิดของโลก   อาดัมและเอวาเมื่อครั้งถูกประจญล่อลวง   และด้านข้างของพระแท่นก็มีการนำรูปแม่พระแห่งสายประคำ (Our Lady of the rosary)มาตั้งไว้  ในโอกาสเดือนแม่พระ  พระรูปของแม่พระที่มีใบหน้าหวานๆ  ถูกประดับร่างกายด้วยเสื้อคลุมสีทอง  ผ้าคลุมศีรษะสีทอง และสวมมงกุฎสีทองสง่างาม  มือคล้องสายประคำ และที่เท้าของแม่ก็มีเหล่าเทพนิกรน้อยสามองค์มาเริงร่าต้อนรับอยู่   ฉันคุกเข่าลงก่อนที่จะหยิบกระดาษที่จดข้อความขอพรจากที่เพื่อนๆพี่ๆที่ประเทศไทยฝากมาให้ช่วยขอพรให้ ออกมาอ่านทีละข้อด้วยความตั้งใจ  เวลาช่างผ่านไปรวดเร็วจนฉันอยากหยุดเวลาเอาไว้ในอาสนวิหารหลังนี้  ทุกมุม แม้แต่มุมที่แสนมืดในเวลาที่ไม่เอื้ออำนวยนัก เป็นมุมที่สวยงาม ไม่มีแม้แต่มุมเดียวหรือไม่มีสักจุดเดียวที่สายตาพาดผ่าน แล้วจะไม่พบกับความงดงามในอาสนวิหารหลังนี้  หลังจากที่ถูกเรียกรวมตัวเพื่อบันทึกภาพหมู่ที่หน้าพระแท่น เราก็ต้องรีบเดินทางกลับด้วยเวลาที่จำกัดเต็มที่  เป็นการเดินทางวันแรกที่ทรหดสำหรับผู้สูงอายุ และคนที่เมารถจริงๆ เพราะเส้นทางคดเคี้ยว ขึ้นลง เหมือนเราไปเที่ยวเขาแอ่วดอยเมืองเหนืออย่างไรอย่างนั้นทีเดียว

            กว่าจะเดินทางกลับถึงที่พัก เราก็หมดแรงไปตามๆกัน  ดังนั้นเมื่อเรารับประทานอาหารอันแสนอร่อยด้วยการดูแลของเซอร์เซนต์ปอล เดอ ชาร์ตรแล้ว พวกเราก็ร่วมใจกันพาร่างกายอันอ่อนระโหยโรยแรงไปพักผ่อนเพื่อพร้อมสำหรับการเดินทางในวันต่อไป

            รำพึงประจำวัน

            ข้าแต่พระบิดาผู้อารี ลูกขอขอบพระคุณพระองค์สำหรับประสบการณ์อันแสนวิเศษในวันนี้  พระพรที่พระองค์ทรงมอบให้ตั้งแต่เริ่มต้นเดินทาง จนกระทั้งเข้านอน เต็มไปด้วยพระเมตตาทั้งสิ้น ลูกขอขอบพระคุณพระองค์ด้วยทั้งหมดของใจที่แสนมอมแมมของลูก

 

วันพุธที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2555

            เราเริ่มเช้าวันใหม่ด้วยการร่วมพิธีบูชาขอบพระคุณที่วัดน้อยใน St.Paul Center of Renewal เมือง Alfonso,Cavite เวลา 06.00 น. โดยมีคุณพ่อยอห์นบัปติสต์สักรินทร์  ศิรบรรเทิง เป็นประธานในพิธี...หลังจากเรารับพระพรอิ่มเอมวิญญาณกันแต่เช้าแล้วเราก็ไปรับอาหารให้อิ่มร่างกายกันต่อในห้องอาหารของศูนย์  วันนี้เป็นวันพิเศษสุดในการเดินทางที่ทรหดอดทนและได้รับประสบการณ์มากมายอีกวันหนึ่ง

            เราเริ่มออกเดินทางโดยบัสน้อยจากศูนย์ที่พักมุ่งตรงสู่วัด Pink Sisters Church ซึ่งเป็นอารมคาร์แมลของที่นี่(อารามชีลับแต่งชุดสีชมพูผ้าคลุมศีรษะสีขาวยาว)  ที่นี่ Guard ห้ามไม่ให้เราบันทึกภาพใดใดทั้งสิ้นเนื่องจากซิสเตอร์ที่ออกมารำพึงจะเสียสมาธิ  เราเข้าไปในโบสถ์ซึ่งด้านหน้าถูกกั้นด้วยกรงเหล็กขนาดใหญ่ และด้านในเป็นเขตพรต มีโต๊ะสำหรับคุกเข่าด้านหน้าที่มีซิสเตอร์ชีลับคุกเข่ารำพึงส่วนตัวอยู่เพียงลำพัง  หัวหน้าทีมทัวร์บอกกับฉันว่า  ซิสเตอร์ชีลับจะผลัดกันออกมาคุกเข่ารำพึงตามเวลาของตนเอง  ภาพสงบนิ่งคุกเข่ารำพึงประหนึ่งรูปปั้นชุดชมพูสีหวานทำให้ฉันนึกถึงเจ้าสาวของพระเยซูเจ้าที่ถวายตนเพื่อใช้เวลาทั้งชีวิตสำหรับผู้ที่เธอรัก  (บางทีแสงแฟรชก็ไม่อาจจะทำให้เธอเสียสมาธิไปได้หากผู้ที่อยู่ตรงหน้าเธอจะดึงความสนใจเธอไปเสียจากสภาพแวดล้อมภายนอก) ฝนข้างนอกยังคงโปรยปรายแต่ก็ยังน้อยกว่าพระพรที่ได้รับในแต่ละสถานที่ที่ผ่านไปถึง

            ออกจากอารามชีลับแล้วเราก็มุ่งตรงสู่ San Bartolome Parish Church,Nagcarian ที่นี่ฉันได้พบกับความสง่างามในการประดับประดาหน้าพระแท่นด้วยรูปภาพเรื่องราวของพระเยซูเจ้า...ซึ่งด้านบนสุดเป็นพระจิตเจ้า  และรูปพระจิตเสด็จลงมายังอัครสาวกด้วย 

สีทองอร่ามทำให้วัดที่ค่อนข้างครึ้มๆ มีความสว่างและสง่างามมากยิ่งขึ้น  เราคุกเข่าสวดขอพรส่วนตัวและบันทึกภาพก่อนเดินทางต่อไป

สถานที่ต่อมาที่เรามาถึงซึ่งอยู่ในบริเวณใกล้เคียงกันคือสุสานใต้ดินนัคคารีน (Nagcarian Underground Church) ด้านหน้าทางเข้าเป็นซุ้มประตูมีกำแพงโบราณทำจากหินสีแดงๆล้อมรอบ เดินเข้ามาด้านในจะมีสุสานคอนโดอยู่ข้างๆ ทางเข้าทั้งสองข้าง  ฉันเดินผ่านเข้ามาแบบปกติไม่ให้ความรู้สึกของความเป็นสุสานที่เมื่อเดินเข้ามาแล้วน่าจะให้ความรู้สึกที่น่ากลัว หรือหวั่นๆ บ้างแต่ที่นี่กลับทำให้ฉันรู้สึกถึงความเป็นพี่น้อง  และความเป็นลูกพระบิดาเดียวกัน  หัวหน้าทัวร์เล่าว่าที่นี่เมื่อมีคนเสียชีวิตเขาจะฝังก่อนแล้วค่อยเอากระดูกขึ้นมาใส่ไว้ในคอนโดนี้...  ด้านในมีวัดน้อยโบราณ มีเจ้าหน้าที่มาอธิบายความเป็นมาของสุสานแห่งนี้ และมีทางเดินลงไปชั้นใต้ดิน  ซึ่งเป็นที่สำหรับเก็บศพของพระสงฆ์ฟรังซิสกันรุ่นแรกๆที่อยู่นี่   ซึ่งสภาพด้านในค่อนข้างเก่า  อิฐหินที่ใช้สึกกร่อนไปพอสมควรฉันพนมมืออธิษฐานถึงพวกท่านซึ่งเป็นบรรพบุรุษทางความเชื่อ  เพื่อให้พวกท่านได้เอ็นดู สงสาร และอธิษฐานภาวนาเพื่อฉันบ้างในสวรรค์  คอยแนะนำตักเตือนฉันบ้างว่าสิ่งใดถูกผิดอย่างไร  นำทางฉันให้เดินในหนทางที่ดีละถูกต้องสม่ำเสมอ

สถานที่ที่ 4 ที่เราเดินทางมาถึง เป็นเวลา 14.00 น.   เราต้องรีบทำเวลากันเพราะล่วงเลยเวลาอาหารเที่ยงมาถึงสองชั่วโมงแล้ว  เราเดินทางมาถึง วัดนักบุญยอห์นบัปติสต์ ที่ริริว  (St.John Baptist Church,Liliw)  ที่นี่หัวหน้าทัวร์เล่าว่ามีรูปปั้นนักบุญบัวน่า เบนดัวร่า ซึ่งเป็นรูปปั้นที่เกิดอัศจรรย์มีโลหิตไหลออกมา    ที่หน้าพระแท่นมีการทำตู้กระจกสำหรับใส่รูปปั้นนักบุญต่างๆ เรียงกันอย่างสวยงามที่นี่อบอวลไปด้วยคำอธิษฐานภาวนา ฉันนึกถึงยามค่ำคืนที่ในโบสถ์เงียบสงัด เหล่าบรรดานักบุญต่างออกมาร้องเพลงสรรเสริญ และอธิษฐานเพื่อพวกเราที่อยู่บนโลกใบนี้ให้พบกับสันติสุข และมีความอดทนที่จะแบกกางเขนของตนเองและติดตามพระองค์ไปเหมือนบรรดาพวกท่านทั้งหลาย   ฉันคุกเข่าลงขอพรเพื่อให้ท่านได้ยินเสียงอธิษฐานในใจฉัน และจดจำเสียงของฉันไว้เผื่อวันหนึ่งฉันจะได้ร้องหาท่านให้ช่วยเหลือในยามคับขัน ท่านจะได้จำเสียงฉันได้...ด้านนอกของโบสถ์ มีรูปปั้นแม่พระฟาติมา  แม่พระเมืองลูร์ด และมีหินก้อนใหญ่ซึ่งเรียงรายอยู่ข้างๆกำแพง  แต่ละก้อนสลักรูปมหาทรมาน 14 ภาคเอาไว้อย่างสวยงาม ^__^

หลังจากนั้นเราก็เดินสู่หมู่บ้านร้านรองเท้า ^^ ฉันตั้งชื่อเองตามสภาพแวดล้อมรอบตัว ที่นี่มีรองเท้ามากมายหลากหลาย  ซึ่งฉันเองก็ไม่ได้สนใจมากนักเนื่องจากฉันเห็นว่าเมืองไทยเราก็มีมากเหลือจะให้เลือกแล้ว ฉันไม่อยากแบกรองเท้ากลับไปด้วย แต่ฉันอยากแบกศาสนภัณฑ์และหนังสือกลับไปมากกว่า...หัวหน้าทัวร์บอกว่าที่นี่ไม่คิดว่าเท้าเป็นของต่ำเหมือนบ้านเมืองเรา สังเกตได้จากของที่ระลึกพวงกุญแจ หรืออื่นๆที่เขียนชื่อประเทศไว้บนไม้ที่ทำเป็นรูปเท้า หรือแม้แต่หน้ารถหลายคันก็จะมีเท้าของผู้โดยสารหน้ารถ  วางพาดไว้จนเห็นได้ชัดจากกระจกด้านหน้า จนพวกเราต้องกลับมานั่งนึกถึงประโยชน์ของเท้ากันบนรถบัส เพื่อให้เกิดแนวคิดเชิงบวกกับภาพที่เห็นเหล่านี้ ^__^

ถึงเวลาอาหารมื้อเที่ยงของเรา เราเดินทางถึงร้านอาหารเวลา 15.30 น.  ชุดแรกเราถูกเสริฟด้วยน้ำซุปรสมาม่าหมูสับ  ฉันรู้สึกคิดถึงมาม่าที่บ้านขึ้นมาทันที  ที่ใดไหนเล่าจะอบอุ่นเท่าที่บ้านเรานั้นไม่มี  เรารับประทานอาหารกันด้วยความเอร็ดอร่อยเพราะเหนื่อยอ่อนแรงกับกิจกรรมต่อเนื่องที่ยาวนาน แต่เต็มเปี่ยมด้วยพระพรจริงๆ

โบสถ์สุดท้ายของเย็นวันนี้ เราเข้ามาขอพรยามเย็นที่ Santiago Apostol (St.James the Greater) เมือง Paete  ที่นี่บนหน้าพระแท่นมีรูปปั้นนักบุญในตู้กระจกเรียงรายเหมือนกัน แต่ไม่มากนัก  พวกเราเดินเวียนขอพรตามหน้ารูปปั้นนักบุญองค์ต่างๆ   สังเกตร่องรอยของความเชื่อที่นี่ฉันเห็นว่าคาทอลิกที่นี่ช่างมีชีวิตที่อยู่ในความเชื่อ ความไว้วางใจจริงๆ เพราะทุกวัดจะได้รับการดูแล  ให้ศักดิ์สิทธิ์และสง่างามอยู่เสมอ  เป็นบ้านพระที่งดงามและพร้อมจะเปิดรับชนทุกระดับไม่ว่าจะยากดีมีจนอย่างไรก็ตาม บ้านพระเปิดตลอดเวลา  เราบันทึกภาพก่อนจะขอพรส่วนตัวอีกนิดหน่อยก่อนเดินทางต่อไป

สถานที่ท้ายสุดของเย็นวันนี้ ที่แหล่งศาสนภัณฑ์ไม้แกะสลักบริเวณใกล้ๆวัด  ฉันประทับใจคณะครูของโรงเรียนเราจริงๆ พอเห็นร้านศาสนภัณฑ์ปุ๊บ  ทุกคนก็ตรงรี่เข้าไปในร้านอย่างหน้าชื่นตาบาน แม้ว่าจะเห็นเหนื่อยมากเพียงใดจากการเดินทางและกิจกรรมมากมายต่อวัน  แต่ทุกคนก็มีความสุขที่ได้ทำ และยอมที่จะเหนื่อย ยินดีกับสิ่งที่ได้รับ  พี่ๆ เดินเข้าร้านและเลือกสรรศาสนภัณฑ์ที่ถูกใจเป็นทั้งของฝากและของที่ระลึกส่วนตัวกันอย่างชื่นมื่น  ฉันมีความสุขไปด้วยแม้ว่าจะไม่ได้จับจ่ายอะไรมากมายเหมือนพี่ๆ นัก เพราะจุดหมายของฉันน่าจะมีที่อื่นอีก ^__^ ฉันได้หาซื้อสายประคำข้อมือที่ทำจากไม้มาได้หลายเส้นเพื่อเป็นของฝาก  ทำไมฉันจึงเลือกประคำข้อมือ? เพราะว่าฉันชอบ และสามารถติดตัวไปไหนไหนได้ตลอดเวลา  ใส่ได้ทั้งชายและหญิง ที่สำคัญ ทุกครั้งที่ผู้รับฝากหยิบขึ้นมาใส่ อย่างน้อยเค้าก็น่าจะนึกถึงฉันบ้างจริงไหม  คิดถึงกันในยามภาวนาช่างเป็นการคิดถึงที่สว่างสดใส มีจุดมุ่งหมายที่สวยงามร่วมกัน เหมือนการมองดูดาวดวงเดียวกัน

ค่ำนี้เรารับประทานอาหารค่ำเวลา 22.00 น. ณ St.Paul Center  ศูนย์พักพิงของเรา ฉันคิดถึง Last Supper จริงๆในอาหารค่ำมื้อนี้ เพราะเป็นมื้อที่ฉันรับประทานอะไรไม่ได้เลย  มันทั้งเหนื่อย  และหมดแรง ท้องก็อืด เพราะเลยเวลาที่ควรรับประทานมานานมากแล้ว  รวมไปถึงง่วงเหลือทน  ฉันเดินไปหยิบผลไม้นิดหน่อยมานั่งรับประทาน  แต่น้องๆ บอกว่าเราต้องรับประทานเพราะเป็นมารยาท  คนที่ทำอาหารให้เรารับประทานจะเสียใจ  ฉันจึงจำใจอย่างยิ่งยวดในการลุกไปตักเอาซุปชนิดหนึ่งมานั่งลงรับประทาน  สุดท้ายก็ไม่หมด ซุปอะไรเอ่ยมีเต้าหู้หน้าตาเหมือนลูกชิ้นปลา  มีกุ้ง  มีเส้นหมี่ขาวๆนิดหน่อย  มีปูอัดรสชาติแปลกๆ และอื่นๆ ...ในช่วงเวลาแห่งความทุกข์ยากที่พระเยซูเจ้าต้องเผชิญกับอนาคตที่พระองค์ทรงรับรู้อยู่เต็มดวงใจของพระองค์  พระองค์ยังคงเลี้ยงอาหารค่ำมื้อสุดท้ายให้กับบรรดาศิษย์ของพระองค์   พระองค์ยังรับประทานทุกอย่างร่วมกับพวกเขาด้วยความรัก  ความใส่ใจ  แต่ฉันหละ...ใช่! ฉันไม่ไหวจริงๆ (โปรดเติมพลังให้ลูกด้วย)

ข้อรำพึงประจำวัน

            ข้าแต่พระบิดาผู้อารี วันนี้ช่างเป็นวันที่เหน็ดเหนื่อยจริงๆ แต่ในทุกเหตุการณ์
ทุกสถานการณ์พระองค์ทรงคัดสรรไว้เพื่อลูกเสมอ  มีสิ่งดีดีในเหตุการณ์เหนื่อยยากนั้นเสมอ  ในค่ำวันนี้รถบัสน้อยยางแตก แต่พระองค์ทรงปกป้องคุ้มครองให้เราปลอดภัย และจัดสรรให้เราได้พบกับที่พักริมทางที่ดี แม้ว่าจะมีอุปสรรคบ้างเล็กน้อยแต่ลูกก็ได้เรียนรู้ถึงน้ำใจของเพื่อนร่วมทาง  และความอดทนที่จะให้กำลังใจกันและกันด้วยรอยยิ้มในทุกสถานการณ์ที่เกิดขึ้น  การมองเหตุการณ์ต่างๆเป็นพระพรพิเศษที่พระเมตตามอบให้ด้วยความรัก  ทำให้สภาพแวดล้อมที่ควรจะเครียดเปลี่ยนเป็นสภาพแวดล้อมที่อบอุ่นเป็นกันเอง ด้วยความเข้าใจกันและกัน

 

วันพฤหัสบดีที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2555

            เช้าวันใหม่ วันนี้เป็นเช้าการเดินทางวันที่สามของพวกเรา  เหนื่อยเราไม่เหนื่อย เมื่อยเราไม่เมื่อย เราเรียนรู้ไปเรื่อยๆ เราไม่เหนื่อยเราไม่เมื่อย...

            เราเริ่มเช้าวันใหม่ด้วยพิธีบูชาขอบพระคุณเหมือนดังเช่นทุกวัน  ก่อนเริ่มกิจการอื่นใดก็ควรเติมพลังกันให้เต็มที่เสียก่อน วันนี้เราเตรียมแพคกระเป๋าเดินทางของเราเพื่อย้ายที่พำนักไปสู่ที่แห่งใหม่ในค่ำวันนี้  เราออกเดินทางเวลา 08.00 น. สู่วัดพระมารดานิจจานุเคราะห์ ในกรุงมะนิลา  (Baclaran Church:Our Lady of Perpetual Help Church,Baclaran) ที่นี่จะมีการสวดนพวารพระมารดานิจจานุเคราะห์ทุกวันพุธ  ซึ่งจะมีผู้มาร่วมพิธีอย่างเนื่องแน่นจนไม่มีที่จะจอดรถกันทีเดียว พวกเขาแสดงความศรัทธาในพระรูปแม่พระนิจจานุเคราะห์  ที่นี่ได้รับการดูแลจากพระสงฆ์คณะพระมหาไถ่     แม่พระนิจจานุเคราะห์ซึ่งเป็นองค์อุปถัมภ์ของโรงเรียนของฉันด้วย  หลายครั้งที่ฉันมีความสุขที่ได้จ้องมองปากเล็กๆของแม่และบอกกับตัวเองว่าพูดให้น้อยๆลงนะ  แม่สอนว่าให้พูดให้น้อย ฟังให้มาก  และแม่ก็เป็นแบบอย่างที่ดีเช่นนั้นจริงๆ ดวงตาของแม่ในภาพไอคอนเป็นดวงตาที่ค่อนข้างโศกเศร้าเหมือนเป็นทุกข์กับลูกๆของแม่ที่ตกอยู่ในบาปสม่ำเสมอ  ทำให้พระบุตร
ต้องบาดเจ็บด้วยรอยบาดแผลของเรา...ภาพไอคอนแม่พระนิจจานุเคราะห์ที่นี่เป็นภาพศิลปะ
สมัยไบแซนไทน์  ซึ่งคาทอลิกที่นี่ให้ความเคารพ และสวดภาวนาด้วยความร้อนรน  จนเกิดอัศจรรย์ขึ้นมากมาย

            แวะรับประทานอาหารกลางวัน ณ ร้านอาหาร Emerald Garden เป็นร้านอาหารจีน และ
ปิดท้ายด้วยขนมหวาน เม็ดสาคูในน้ำมะม่วงสีเหลืองอร่าม แปลกและอร่อยดีเหมือนกัน

            หลังจากนั้นช่วงบ่าย เราเดินทางต่อสู่วิหาร St.Agustin  และพิพิธภัณฑ์ภายในวัด ซึ่งกว้างขวางมาก  มีอาคาร ห้องนำเสนอเรื่องราวความเป็นมาของบรรดามิชชันนารีที่เข้ามาในประเทศฟิลิปปินส์ยุคแรกๆ   ซึ่งเป็นชาวสเปน  มีต่อต้านในบางสมัย  จนทำให้เกิดมรณสักขีขึ้น ฉันยืนรำพึงกับภาพวาดที่แสดงวิธีการทรมานมิชชันนารีในยุคแรกๆ ซึ่งมีทั้งการตัดศีรษะ  แทงด้วยหอก หรือแม้แต่การนำไปเผาทั้งเป็น  ฉันเลือกแล้วว่าถ้าเลือกได้ฉันขอถูกตัดศีรษะน่าจะเจ็บน้อยที่สุด   การเป็นมารตี หรือเป็นมรณะสักขีนั้น ไม่ใช่ง่ายๆเลย  เป็นการยืนยันความเชื่อด้วยชีวิตจริงๆ   ฉันเดินชมไปตามห้องต่างๆ โดยมีหัวหน้าทัวร์คอยอธิบายเรื่องราวในประวัติศาสตร์ให้เราฟัง แม้จะเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้างแต่ฉันก็มีความรู้สึกเหมือนเรากำลังก้าวถอยหลังกลับไปดูบรรพบุรุษของเราที่เสียสละเลือดเนื้อ  ชีวิตเพื่อยืนยันในสิ่งที่ถูกต้อง  แล้วฉันหละยืนยันสิ่งใดบ้างให้คนรอบข้างได้รับรู้ถึงความจริงของชีวิต   ห้องบางห้องนำเสนอชุดเครื่องแต่งกายของพระสงฆ์ นักบวช สมัยก่อน  ที่ดูแล้วค่อนข้างจะอึดอัดหากนำมาสวมใส่  ทั้งใหญ่ และหนา และน่าจะหนักด้วยเครื่องประดับมากมาย   ในแต่ละห้องที่เราเดินเข้าไปชม ภายในห้องจะถูกห้ามไม่ให้บันทึกภาพใดใดทั้งสิ้นและมีการติดกล้องวงจรปิดเอาไว้ด้วย   หัวหน้าทัวร์บอกเราว่าที่นี่ได้รับการดูแลจากรัฐบาล  มีหลายที่ที่รัฐบาลเข้ามายึดไปดูแลเอง  รวมทั้งโรงเรียนหลายโรงด้วย  ฉันรู้สึกขุ่นเคืองใจแทนประชาชนที่นี่จริงๆ  หากแต่ว่าถ้ารัฐบาลที่นี่จะมีมนุษยธรรมบ้างก็น่าจะดูแลเอาใจใส่ประชาชนของตนให้ดีกว่านี้เสียหน่อยนึง ในขณะที่เข้ามาครอบครอง ยึดหลายสิ่งหลายอย่างไปดูแลแล้วทำไมประชาชนยังขาดคนดูแลมากมายเช่นนี้  สถานที่สำคัญโบราณหลายที่ขาดการบูรณะปรับปรุงให้คงอยู่ในสภาพที่ดี

ที่นี่ฉันยังได้เห็นออร์แกนลมในโบสถ์ด้วย ซึ่งอยู่บนชั้นลอย  เราสามารถมองลงไปเห็นหน้าพระแท่นและขอพรกันบนนั้นเลย

            สถานที่ต่อไปของเราคือสักการสถานคุณพ่อปีโอ(Padre Pio at Eastwood) คุณพ่อปีโอเป็นผู้ที่มีความศรัทธาร้อนรน ท่านได้รับอัศจรรย์จากพระเยซูเจ้าด้วยเกิดรอยแผลศักดิ์สิทธิ์ที่ฝ่ามือทั้งสองข้างของท่าน  เราเข้าไปขอพรหน้าพระรูปของท่านและเข้าชมศาสนภัณฑ์ในร้านค้าของวัด ก่อนเดินทางไปยังสถานที่ต่อไป

สถานที่ต่อไปที่เราเดินทางไปถึงคือ Santo  Domingo Church   เรามาถึงที่นี่เวลา 18.00 น. ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่วิเศษสุดสำหรับวันนี้ที่เดียว..พระได้นำทางเรามาร่วมพิธีประดับแม่พระ ในเดือนแม่พระนี้  พิธีมีความสง่า  มีผู้คนล้นหลามเข้ามาร่วมพิธีอย่างเนืองแน่น  ฉันพยายามเดินเบียดผู้คนเข้าไปจนถึงบริเวณกลางวัด ซึ่งมีพระสงฆ์มาเดินเคลียพื้นที่เพื่อขบวนแห่ที่กำลังจะเข้ามาในโบสถ์...ในขณะที่มีพระสงฆ์หลายองค์เดินนำขบวนมา และตามด้วย บุษบกแม่พระที่ถูกประดับด้วยดอกไม้  แต่ที่ดึงดูดสายตาทุกคู่คือแม่พระบนบุษบกที่ถูกประดับศีรษะด้วยผ้าคลุมสีทอง ชุดสีทองแพรวพราว  มงกุฎของแม่ถูกประดับด้วยเพชรพลอยระยิบระยับงามตายามสะท้อนแสง  เสียงปรบมือดังก้องไปทั่วทั้งโบสถ์ ฉันยื่นมือออกไปเพื่อจะสัมผัสแม่เหมือนที่คนรอบๆข้างยื่นมือกันออกไปด้วย ความตื่นตันใจ  บุญของฉันช่างน้อยเสียจริง  บรรดาผู้ที่แบกบุษบกมีมากมายเกินกว่าที่ฉันจะเอื้อมมือของฉันไปให้ถึงชายกระโปรงของแม่  แม่พระสวมชุดคุลมสีทองแบบสเปน  ใต้กระโปรงของแม่เต็มไปด้วยดอกกุหลาบสีอ่อนหวานหลายสี เราแอบมาคุยเล่นกันว่า มือของเราได้แตะพระธาตุแม่พระขั้นที่ 9 คือแตะต่อๆกันมา  หลังจากขบวนแห่นำแม่พระขึ้นไปยังพระแท่น ก็มีการเชิญแม่พระขึ้นยังซุ้มกลางพระแท่นที่อยู่สูงขึ้นไปอีก มีการเปิดเพลงนำซึ่งสร้างบรรยากาศให้ฉันพลอยตื่นเต้นเร้าใจไปด้วย  ภาพในซุ้มที่แสงไปสว่างเจิดจ้า มีควันสีขาวพวยพุ่งออกมา  และรูปปั้นแม่ค่อยๆเคลื่อนขึ้นมาจนครบทั้งองค์ เสียงผู้คนปรบมืออีกครั้ง ดังกึกก้องไปทั่วบริเวณ ฉันเก็บภาพวีดีโอมาได้นิดหน่อย  เพียงเพราะอยากให้ใครต่อใครได้เห็นได้ยินเสียงของเหล่าผู้ที่เต็มไปด้วยความเชื่อนี้  ฉันเดินออกมาด้วยความรู้สึกตัวเบาๆหวิวๆ เหมือนจะลอยได้ สุขลึกๆในใจ เหมือนตนเองได้อยู่มองดูแม่พระเสด็จสู่สวรรค์ทั้งกายและวิญญาณอย่างเต็มภาคภูมิ  ภาพนี้ติดตาติดใจฉันมาจนถึงวันนี้ทีเดียว

สถานที่ถัดมาที่เราเดินทางมาถึงคือวัดพระเยซูเจ้าชาวนาซาเร็ธ (The Minor Basilica of the Black Nazarene Quiapo) ที่นี่เราได้รับพระพรที่พระเป็นเจ้าโปรดให้แก่เรา  คณะของเราได้มีโอกาสขึ้นไปยังด้านหลังกลางพระแท่น ที่ที่ซึ่งมีพระเยซูเจ้าประทับอยู่ ในขณะที่กำลังมีพิธีบูชาขอบพระคุณ  ที่ที่เราได้สัมผัสพระบาทของพระเยซูเจ้าจากด้านหลังพระแท่น  ที่ที่เราได้ขอพรพิเศษด้วยความเงียบสงบในใจ  ณ ตรงนี้ เราถูกห้ามไม่ให้บันทึกภาพ  ฉันค่อยๆเดินด้วยความสงบขึ้นไปยังที่ที่เขาจัดให้  สัมผัสพระบาทของพระเยซูเจ้าด้วยมือและผ้าที่พอมีติดตัวมาบ้าง  ขอพรนิดหน่อยก่อนเดินออกมาเพื่อให้ที่คนต่อไปได้ขึ้นมา  หลังจากนั้น เราก็เดินขอพรพระรูปพระเยซูเจ้า  แม่พระ และนักบุญต่างๆที่ประทับอยู่ตามจุดต่างๆ ฉันเห็นภาพแห่งความศรัทธา  มือหลายมือจับ สัมผัส ก้มศีรษะอธิษฐานพึมพำขอพรอยู่เป็นกลุ่มที่แสดงออกซึ่งความเชื่อ  ความศรัทธา  ความรัก และความหวังอยู่เสมอ

สถานที่ถัดมาและเป็นสถานที่สุดท้ายสำหรับวันนี้ คือที่วัดบินอนโด (Binondo Church) The Minor Basilica of San Lorenzo Ruiz  ที่นี่มีรูปปั้นนักบุญหลุยส์ ลอร์เรนโซ ซึ่งเป็นนักบุญองค์แรกของฟิลิปปินส์   ภายในวัดมีภาพจิตรกรรมฝาผนังที่สวยงาม บนเพดานวัด เป็นภาพข้อรำพึงสายประคำที่ถูกวาดไว้ด้วยความใส่ใจ  ฉันชอบภาพวาดของแม่พระที่มีสวมชุดสีฟ้าหวาน ในภาพแม่พระรับเกียรติยกขึ้นสวรรค์ และได้รับมงกุฎเป็นราชินีสวรรค์ แม่ลอยล่องอยู่บนฟากฟ้าที่สูงและสง่าจริงๆ 

สิ้นสุดการแสวงบุญของวันนี้ ก่อนเดินทางกลับที่พัก เราแวะรับประทานอาหารเย็นที่ Kamayan  Restaurant (Buffet) เป็นร้านอาหารบุฟเฟ่ต์ที่พรั่งพร้อมไปด้วยอาหารนานาชนิด  ทั้งอาหารญี่ปุ่น อาหารจีน  อาหารไทย  มากมาย  ที่นี่เราได้รับมอบของสมนาคุณตุ๊กตาผีเสื้อ(ราตรี) มาคนละหนึ่งตัวจากเจ้าของร้านใจดี    อิ่มอร่อยเรียบร้อยแล้ว เราจึงกลับสู่ที่พักของเรา ที่ Palm Plaza Hotel  พักผ่อนเพื่อพร้อมสำหรับการเดินทางในวันต่อไป

ข้อรำพึงประจำวัน

            ข้าแต่พระบิดาผู้มีเมตตา วันนี้ลูกประทับใจพิธีประดับแม่พระที่ Santo Domingo เหลือเกิน  พระองค์จัดสรรทุกเหตุการณ์สำหรับลูกจริงๆ  วันนี้ลูกได้สัมผัสถึงความร้อนรนด้านความเชื่อของพี่น้องคาทอลิกที่นี่ ในขณะที่ขบวนแม่พระเคลื่อนผ่านมา เสียงปรบมือ และมือมากมายที่ชูขึ้นเหนือศรีษะแสดงถึงความเปรมปรีดิ์ ยินดีในดวงใจ  ความอิ่มเอิบใจ  ลูกตื่นตันใจกับภาพเบื้องหน้าที่จับตาจับใจลูกจริงๆ  ลูกขอบพระคุณสำหรับเสียงเรียกร้องให้ลูกกลับมาเป็นลูกที่ดีของพระสม่ำเสมอ มีจิตสำนึกและมโนธรรมที่เข้มแข็งเสมอ

 

วันศุกร์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2555

            ตื่นเช้ารับอรุณวันใหม่ด้วยพิธีบูชาขอบพระคุณเติมพลังวิญญาณอย่างเต็มเปี่ยมก่อนออกเดินทางสู่โรงเรียน St. Paul College  เมือง Pasig  ครึ่งวันเช้าของเราอยู่ที่นี่เพื่อเข้าดูงานการสอนคำสอน โดยคณะเซอร์และครูของโรงเรียนแบ่งเราออกเป็นสามกลุ่ม ได้แก่ กลุ่มครูอนุบาล  กลุ่มครูประถม และกลุ่มครูมัธยม  เราแยกย้ายกันไปศึกษา ดูงานตามอาคารเรียนที่เราได้รับมอบหมาย  ที่นี่มีเครื่องไม้เครื่องมือ เครื่องอำนวยความสะดวกในการเรียนการสอนที่ทันสมัย  มีการสอนพระคัมภีร์ในคาบเรียน และสอนค่อนข้างลงลึกด้านเนื้อหา  ก่อนเริ่มต้นการเรียนการสอนทุกวิชา จะมีการสวดภาวนาขอพรพระก่อนเสมอ  ที่นี่เป็นโรงเรียนหญิงล้วน ดังนั้น ฉันจึงคิดว่าการควบคุมด้านระเบียบของห้องคงไม่หนักหนาเท่าของโรงเรียนเรานัก เนื่องจากโรงเรียนของเราเป็นโรงเรียนสห ดังนั้น ที่ใดที่มีเด็กผู้ชาย ย่อมต้องได้สภาพแวดล้อมอีกรสชาติหนึ่งด้วย  ซึ่งก็เป็นสิ่งที่ดี เพราะความแตกต่างย่อมสวยงามเสมอ   ฉันชอบบรรยากาศการร่วมมือร่วมใจ ความเป็นหนึ่งเดียวของนักเรียนในขณะทำงานกลุ่ม  ทุกคนรู้หน้าที่ของตนเอง เมื่อครูประจำวิชาให้แยกกลุ่ม และช่วยกันคิดหาคำตอบจากคำถามที่ครูให้  วันนี้ครูถามเด็กๆว่า “วัดคืออะไร” เด็กแต่ละกลุ่มจะช่วยกันคิดและหัวหน้ากลุ่มจะมีกระดานไวท์บอร์ด 1 อันเพื่อเขียนคำตอบลงไป ก่อนนำเสนอครูและเพื่อนร่วมชั้นเรียนได้เรียนรู้ร่วมกัน  มีการหาคำสำคัญในพระคัมภีร์ ในนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาตอนปลาย  และตีความหมายคำๆนั้นตามความเข้าใจของนักเรียนซึ่งไม่มีใครผิดหรือถูก

            หลังจากที่เราศึกษาดูงานการเรียนการสอน ทักทายนักเรียนในระหว่างทางเดิน แล้ว จึงเข้าห้องประชุมอีกครั้งเพื่อสรุปสิ่งที่ได้รับและขอบพระคุณเซอร์ผู้อำนวยการที่ให้ความสะดวก  แนะนำและมอบของที่ระลึกให้แก่เราทุกคน  

            ภาคบ่ายเราเดินทางสู่ St.Jude   Church  เพื่อขอพรจากท่านนักบุญยูดา  หัวหน้าทัวร์บอกว่า ท่านนักบุญเป็นองค์อุปถัมภ์ของผู้ที่สิ้นหวัง  วัดมีลักษณะเป็นครึ่งวงกลม  มีกระจกสีรอบวัด

            หลังจากนั้นเราได้มีโอกาสไปเลือกซื้อศาสนภัณฑ์ที่ร้าน Catholic Trade (MLA.) คณะครูมีความสุขในการเลือกสรรศาสนภัณฑ์ที่ตนต้องการ ทั้งเป็นของฝากและของส่วนตัว เราใช้เวลาที่นี่ค่อนข้างมากก่อนออกเดินทางต่อไป

            หลังจากนั้นเราพยายามมุ่งหน้าสู่ The Mall of Asia เพื่อรับประทานอาหารเย็นและเลือกซื้อสินค้าต่างๆ แต่วันนี้เป็นวัน First Friday  การจราจรนอกจากจะไม่เรียกว่า Traffic jam  แล้ว ฉันอยากจะเรียกว่ารถจอดนิ่งสนิทอยู่กับที่จริงๆ เราอยู่บนท้องถนนเกือบสามชั่วโมงโดยไม่สามารถไปถึงจุดหมายปลายทางของเราได้  ดังนั้น หัวหน้าทัวร์จึงตัดสินใจให้แก่คณะของเราด้วยการพยายามนำเรากลับที่พักเพื่อหาอาหารรับประทานและพักผ่อนกันตามอัธยาศัย  เราถึงที่พักด้วยความอ่อนแรงและต่างคนต่างแยกย้ายกันไปหาอาหารเย็นรับประทานกันตามที่ตนสะดวกก่อนพักผ่อนเติมพลังต่อไป

ข้อรำพึงประจำวัน

            ข้าแต่พระบิดาผู้พระทัยดี  วันนี้ลูกได้เรียนรู้จักที่จะทุ่มเทชีวิตของตนเพื่องานของพระองค์สำหรับเด็กๆที่ต้องการเรียนรู้เรื่องราวของพระองค์  เด็กๆทุกคนควรที่จะได้รู้จักพระองค์มากกว่านี้  ลูกเห็นระบบการสอนคำสอน  เนื้อหา ความใส่ใจในเรื่องราวฝ่ายจิตสำหรับเด็กๆที่นี่เป็นเรื่องสำคัญ และได้รับการเอาใจใส่จริงจัง ลูกจะพยายามพัฒนาตนเองเพื่อใส่ใจการมอบเรื่องราวของพระองค์สำหรับเด็กๆ ลูกๆของพระองค์อย่างเต็มที่

<
หมายเลขบันทึก: 505255เขียนเมื่อ 11 ตุลาคม 2012 18:40 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 ตุลาคม 2012 18:40 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท