“การเรียนรู้ ไม่มีคำว่าสิ้นสุด แต่จะหยุดเมื่อตอนที่สิ้นใจ” สวัสดีครับ ไม่ได้เข้ามาเขียนบันทึกนานพอสมควร แต่พอเห็นหัวข้อห้องเรียนในฝัน นับว่าน่าสนใจและสำคัญทีเดียวครับ “ฐานตึกคืออิฐ ฐานชีวิตคือการศึกษา” แต่สำหรับการศึกษาของไทย ผมว่าในส่วนของห้องเรียนในฝันนั้นยังมีปัญหาอยู่มาก ดังจะเห็นได้จากในแต่ละปีที่รับเด็กเข้าเรียนใหม่ จะเห็นผู้ปกครองและนักเรียน พากันไปสมัครเข้าโรงเรียนที่มีห้องเรียนในฝันกันล้นหลาม โดยเฉพาะโรงเรียนดังๆ สะท้อนให้เห็นถึงการรับรู้ถึงมาตรฐานของโรงเรียนในฝันของผู้ปกครองว่า ในแต่ละที่ยังไม่เท่ากัน ยิ่งโรงเรียนดังๆ ยิ่งมีอัตราแข่งขันเข้าเรียนสูง บางที่ถึงหนึ่งต่อหลายร้อยคน เวลาลูกได้เข้าเรียนที ผู้ปกครองนี้ดีใจยิ่งกว่าถูกล็อตเตอรี่รางวัลที่1 ซึ่งผู้หลักผู้ใหญ่ของวงการศึกษาเอง ต่างก็พยายามแก้ไขปัญหา พยายามออกนโยบายต่างๆ เพื่อพัฒนาให้ได้มาซึ่งโรงเรียนในฝันตามเกณฑ์ที่กำหนด ได้มาตรฐานเหมือนกันทั่วไทย แต่จะสำเร็จจนเป็นที่ไว้วางใจของผู้ปกครองเมื่อไหร่นั้น ไม่กล้าคิดครับ
มาพูดถึงโรงเรียนในฝันของผู้ปกครองบ้างครับ ว่าควรเป็นอย่างไร ห้องเรียนในฝันคือ ห้องที่เด็กเรียนแล้วมีความสุข ได้ความรู้ และเกิดความรักที่จะเรียน ซึ่งห้องเรียนในฝันจะเกิดได้ขึ้นอยู่กับ คุณครู และความพร้อมของห้องเรียน บทเรียน สื่อการสอน และอุปกรณ์การเรียน
ประเด็นแรก คุณครู นับว่ามีส่วนสำคัญที่สุดครับ ถ้าจะเปรียบครูเป็นเรือจ้าง ครูก็คือผู้ที่จะขับเรือไปส่งผู้เรียนให้ถึงฝั่ง ถ้าคนขับไม่ดี ต่อให้เรือดีอย่างไร ก็อาจจะไปไม่ถึงฝั่งฝัน ดีไม่ดีทำเรือล่มจมไปทั้งคุณครูและนักเรียน ซึ่งห้องเรียนจะเป็นห้องเรียนในฝันได้ คุณครูนั้นต้องสร้างบรรยากาศแห่งความสุขในการเรียน กระตุ้นให้เด็กได้คิด ชอบที่จะเรียน มีเทคนิคในการนำเข้าบทเรียนที่น่าสนใจ ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่ง่าย เพราะคุณครูต้องอาศัยเหตุการณ์ต่างๆ ที่เด็กๆ สนใจ เชื่อมเข้ากับบทเรียนที่คุณครูมีความรู้ในเรื่องที่จะสอนนั้นแล้วเป็นอย่างดี มีความสามารถในการสื่อสาร สอนให้เด็กได้เข้าใจในบทเรียน รวมทั้งคุณครูต้องมีจิตวิทยาในการสอน และไม่เบื่อที่จะสอน เพราะเด็กแต่ละคนมีความสามารถในการเรียนรู้ที่ต่างกัน บางคนสอนครั้งเดียวก็เข้าใจ บางคนเหมือนขันที่คว่ำไว้ สอนอย่างไรก็ไม่เข้าใจ ส่ายหัวทุกที ชวนให้มีอารมณ์ และสัดส่วนของครูควรพอดีกับนักเรียน สามารถดูแลให้ความรู้เด็กได้ทั่วถึง
ประเด็นถัดมา ในส่วนของห้องเรียน บทเรียน สื่อการสอนและอุปกรณ์การเรียน ห้องเรียนจะต้องมีขนาดพอเหมาะกับจำนวนนักเรียนครับ ไม่แน่นเกินไปเหมือนปลากระป๋อง จนเด็กนั่งด้านหน้าเกือบติดกระดานดำ เวลาครูสอนทีต้องระวังน้ำลายจะกระเด็นใส่นักเรียน เวลาเดินออกจากโต๊ะต้องทำตัวลีบๆ เอียงข้างเดิน ควรมีอากาศถ่ายเทดี ไม่มีสิ่งมารบกวนสมาธิ เหมาะสำหรับบรรยากาศของการเรียนรู้ ในบทเรียนต่างๆ ซึ่งบทเรียนที่สอนนั้น ควรจัดเนื้อหาให้เหมาะสมกับเด็ก และสอดคล้องกับสังคมที่เปลี่ยนไป โดยเฉพาะเรื่องของภาษาต่างประเทศ และคอมพิวเตอร์ ที่ต้องใช้ในยุคโลกไร้พรมแดน แต่วิชาที่เสริมคุณธรรม เช่น หน้าที่พลเมือง ควรต้องเอามาสอนเน้นให้รู้และให้ทำครับ เด็กๆ ต้องรู้ว่าในฐานะพลเมืองที่ดีของไทยต้องทำอย่างไรบ้าง ซึ่งผู้ใหญ่วันนี้ถ้าไปถามบางทีก็ตอบไม่ได้ สังคมจึงวุ่นวายอย่างที่เห็น ในส่วนสื่อการสอน และอุปกรณ์การเรียนก็สำคัญเช่นกันครับ ควรมีสื่อที่เหมาะสมกับเนื้อหาที่เรียนไม่ว่าเป็นเนื้อหาการสอน การปฏิบัติ การทดลองต่างๆ ควรมีอุปกรณ์ให้พอดี พอเพียง ไม่ใช่มีสื่อเล็กๆ หรืออุปกรณ์อันสองอัน ให้เด็กแย่งกันทำหรือดูทั้งห้อง นอกจากนั้นควรเป็นสื่อที่ทันสมัย เหมาะกับสถานการณ์ปัจจุบันที่เปลี่ยนแปลงไป
สรุปแล้วห้องเรียนในฝัน ไม่ว่าระดับชั้นไหน ต้องสามารถทำให้ผู้เรียนมีความสุข และรักที่จะเรียน เมื่อเรียนแล้วได้ความรู้ คู่ความดี มีคุณธรรม นำมาใช้ในการดำเนินชีวิตได้อย่างเหมาะสมกับบริบทของผู้เรียนและของโลกที่เปลี่ยนแปลงไป ที่สำคัญผลิตผลทางการศึกษา ถ้าเน้นแต่ความรู้ ไม่คู่ความดีและมีคุณธรรม สังคมนั้นจะวุ่นวายและไปไม่รอด เพราะจะมีแต่คนเก่งที่ใช้ความรู้ คอยหาแต่ผลประโยชน์ใส่ตน ไม่คำนึงถึงผลกระทบต่อสังคมว่าเป็นอย่างไร
อ่านแล้ว ชอบมาก ขอบคุณนะครับ
น้องชำนาญ
บ่าได้ทักทายกั๋นเมินขนาดเนาะ สบายดีน้อ....
ห้องเรียนในฝัน...กั๋วว่ามันจะเป๋นแค่ความฝันถ้าเบื้องบนบ่าใส่ใจ๋หื้อนักกว่านี่
การศึกษาไทยเรารู้สึกจะก้าวช้ามากนะถ้าเทียบกับแค่ประเทศในอาเชี่ยน
ไม่ต้องไปถึงระดับโลกเลย
สวัสดีค่ะ
ไม่ได้ทักทายกันนาน ตอนนี้คงพอมีเวลามาคุยกันได้บ้างแล้ว น้องชำนาญสบายดีนะคะ
ห้องเรียนในฝัน...ขอหยุดพักสะอึกสักครู่ค่ะ จะได้สะดวกคล่องแคล่ว ต้องมีงบประมาณ มีสื่อ มีเวลาเต็มที่ ไม่ต้องไปใส่ใจกับงานอื่นนอกเหนือจากการสอน...ขอแค่นี้ค่ะ