จาก หงส์สะบัดลาย เราเรียนรู้อะไรได้


“การเปลี่ยนแปลงทุกอย่าง นำความเจ็บปวดเสมอ แต่มันก็ทำให้เราเติบโตได้เช่นกัน ถ้าเราเรียนรู้จากมัน ”

จากละคร หงส์สะบัดลาย เรียนรู้อะไรได้หลายอย่างมาก

เราดูทุกตอนนะ สิ่งที่ได้ เรียนรู้มีหลายประเด็นเลย

-          รัก 3 เส้า

-          อุดมการณ์

-          การเยียวยาบาดแผลทางจิตใจ

-          การเลี้ยงดูลูก

 

ความรัก ต้องแสดงออก

เรื่องของความรัก 3 เส้า พอดูเรื่องนี้แล้วทำให้คิดถึงเรื่อง “ วนิดา ” ขึ้นมาทันที  ที่คน 2 รักที่รักกันมาตั้งนาน แล้วสุดท้ายเมื่อมีคนที่ 3 ก้าวเข้ามาก็ทำให้เกิดการเปลี่ยนใจ เรื่องแบบนี้ทำให้เกิดคำถามมากมาย ว่าใครผิด ใครที่หลายใจ ทั้งที่คนที่เปลี่ยนใจก็มีคนเดียว ในขณะที่อีกคนหนึ่งก็ยังรักเหมือนเดิม แต่ถ้ามองตามความเป็นจริง เหมือนที่บางคนพูด ทั้ง 3 คนก็เจ็บปวดด้วยกันทั้งนั้น ไม่มีใครมีความสุขอยู่คนเดียว ถ้ามองกันแบบไม่อคติ มันต้องมีเรื่องราว หรือเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้นระหว่างกัน แน่นอน ไม่ใช่อยู่เฉย ๆ แล้วจะมีสิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้น ในเรื่อง วนิดา การกระทำตัวของพิสมัย แฟนคนแรกก็ทำตัวไม่ดีเอง ในระหว่างที่วนิดา เป็นผู้หญิงที่แสนดี ซึ่งมันเลยเป็นต้นเหตุทำให้พันตรีประจักษ์เริ่มหันมามองเห็น แล้วก็เปลี่ยนใจในที่สุด

ส่วนเรื่องหงส์สะบัดลายนี้ ตอนแรกเนติมา ก็ไม่ได้คิดเปลี่ยนใจ หรือชอบระบิลตั้งแต่แรกเห็นใช่มั้ย แต่สิ่งที่ตนได้รับจากนายกศิวัช ก็ไม่เหมือนเดิม คุณค่าของตนที่ได้รับมันเปลี่ยนไปจากเดิม ประจวบกับสิ่งที่ได้รับจากระบิล มันก็เข้าไปกระทบกับคุณค่าของตนเองที่สูญเสียไปในช่วงเวลาเดียวกัน เวลาที่เราทุกข์ เวลาที่เราต้องการคนปกป้อง คนที่เรารักให้เราไม่ได้ แถมยังเอาเวลานั้นไปมอบกับผู้อื่น เลยทำให้ความรู้สึกมันเริ่มคลอนแคลน สะสม ไปโดยไม่รู้ตัว

   


 

เรื่องนี้ไปสอดคล้องกับสิ่งที่เราพึ่งอ่านจากบทเฝ้าเดี่ยวในมานาประจำวันไม่กี่วันที่ผ่านมา

                เรื่องเล่านั้นมีอยู่ว่า หญิงสาวคนหนึ่งกำลังแบกเป้ขึ้นเขาในรัฐโคโลราโด ระหว่างทางได้พบกับหญิงสาวอีกคนหนึ่งกำลังเดินกระโผก กระเผลกลงจากเขา เท้าข้างหนึ่งสวมรองเท้าที่ทำจากกิ่งไม้มัดด้วยผ้า

“ รองเท้าบู้ทข้างหนึ่งหลุดไปตอนข้ามลำธาร” เธออธิบาย “หวังว่าฉันคงจะลงพ้นจากเขานี้ได้ก่อนค่ำ”

 

นักเดินเขาคนแรกเปิดกระเป๋าเป้ของตนเองแล้วล้วงเอารองเท้าบู้ทคู่หนึ่งออกมา “สวมนี่สิ” เธอบอก “ไว้ส่งกลับมาให้ฉันทีหลังก็ได้ ถ้าคุณถึงบ้านแล้ว ”

 

หญิงสาวคนนั้นรับรองเท้าไปด้วยความซึ้งใจแล้วเดินลงเขาต่อไป อีกไม่กี่วันต่อมา ก็มีรองเท้านั้นส่งกลับมาพร้อมกับข้อความว่า “ฉันเดินผ่านคนหลายคนที่เห็นสภาพทุลักทุเลของฉัน แต่คุณเป็นคนเดียวเท่านั้นที่เสนอจะช่วยฉัน คุณทำให้ฉันเดินกลับบ้านได้ ขอบคุณที่ให้ฉันยืมรองเท้า”

ในพระคัมภีร์กล่าวว่า ความรักสามารถมองเห็นและสัมผัสได้ ความรักมีตัวตน บางครั้งอาจยิ่งใหญ่เท่ากับชาวสะมาเรียใจดีที่ห่วงใยชายที่บาดเจ็บ หรืออาจเล็กเท่ากับน้ำเย็นแก้วหนึ่งที่ให้คนเล็กน้อยดื่ม

                ความรักที่แท้จริงต้องมีการกระทำ พระคัมภีร์กล่าวว่า  “อย่าให้เรารักกันและกันด้วยคำพูด และด้วยปากเท่านั้น แต่จงรักกันด้วยการกระทำและด้วยความจริง”

 

จากเรื่องเล่านี้ ความรักต้องแสดงออก ก็สะท้อนว่า ถ้าเรารักใครแล้วไม่แสดงออกไป เขาก็ไม่สามารถรับรู้ได้ เหมือนศิวัช พร่ำบอกกับเนติมา ว่า พี่รักเนต์นะ แต่การกระทำดูแล้วมันสวนทางกัน สุดท้ายก็ต้องสูญเสียผู้หญิงที่ตนรักไป

 

แล้วเราล่ะ เราได้แสดงความรักออกไป กับคนที่เรารักหรือเปล่า ทั้งสามี ภรรยา ลูก เพื่อนร่วมงาน อย่าเพียงแต่พูด ต้องกระทำออกไปด้วยนะ จะได้ไม่ต้องมาเสียใจทีหลัง

 

อุดมการณ์ กินไม่ได้

 

คนบางคน เริ่มต้นด้วยเจตนาที่ดี แต่เมื่อมีอำนาจ ได้รับสิ่งตอบแทน มาง่าย ๆ อาจทำให้เราลืมอุดมการณ์เดิมที่เราตั้งใจไว้ เหมือนคนเป็นพ่อของนายกศิวัช ตอนแรกๆ เหมือนจะทำเพื่อประเทศชาติ เพื่อลูกเพื่อหลาน ( นางเอก ) แต่เมื่อมีอำนาจมาจริง ๆ ซึ่งจำเป็นต้องมีการแลกบางอย่างเพื่อให้ได้มา สุดท้ายเขาก็เอาอุดมการณ์ของตัวเองแลกไป เปลี่ยนเป็นทำทุกอย่างเพื่อตัวเอง ลืมตัว ไม่มีสติ ถ้าไม่มีใครเตือน ไม่มีใครรั้ง ก็จะเอาไม่อยู่ เหมือนขี่หลังเสือ เมื่อขี่ไปนาน ๆ จะลงไม่ได้

เรื่องนี้ก็ทำให้เราต้องกลับมาทบทวนตัวเองเหมือนกันนะ ว่าเป้าหมายของแต่ละเรื่องที่เราตั้งไว้คืออะไร และสิ่งที่เกิดขึ้นมันคืออะไร เรามุ่งอยู่กับวิธีการจนลืมเป้าหมายหรือเปล่า

 

การเยียวยาบาดแผลทางจิตใจ

                เรื่องนี้มีปมที่เกิดขึ้นในครอบครัวอาของนางเอก ที่ต้องประสบกับการบาดเจ็บทั้งทางร่างกายและจิตใจของทุกคนในครอบครัว พ่อเดินไม่ได้ แม่มีบาดแผลถูกเหยียบย่ำทำร้ายร่างกาย ( ข่มขืน ) ลูกก็กลายเป็นคนกลัว ไม่กล้าสู้ ไม่ยอมออกมาสู่สังคม มีบาดแผลอยู่อย่างนี้มาเป็น 10 ปี ที่ต้องอยู่กับความกลัว

 

ละครพยายามทำให้เห็นว่า เราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอดีตได้ แต่เราจะมีชีวิตอยู่ในปัจจุบันได้ถ้าเรายอมรับกับมันก่อน เหมือนที่คนเป็นพ่อ มักจะแสดงออกให้เมียและลูกเห็นเสมอ ดูได้จากพฤติกรรมหรือปฏิกิริยาที่เกิดขึ้น เมื่อเจอกับนางเอกที่กลับมาหา เขาไม่แสดงท่าทางโกรธแค้น ว่านางเอกเป็นต้นเหตุเหมือนกับที่แฟนของตัวเองแสดงออกอย่างชัดเจนเลย พ่อแม้เดินไม่ได้แต่ยังเป็นหลักที่มั่นคง ไม่ท้อ ยอมรับว่า มันเป็นโชคชะตาที่เกิดขึ้น ( เหมือนที่แนวพุทธบอก ทุกสิ่งที่เกิดขึ้น มีเหตุและปัจจัย มันก็เป็นเช่นนั้นเอง ) เมื่อยอมรับแล้ว จิตใจก็ปล่อยวาง ถึงเผชิญหน้ากับคนที่เป็นสาเหตุ(แม้จะไม่โดยตรง) ได้อย่างเข้าใจ ได้อย่างมีความรักให้กันและกัน

 

นอกจากนี้ เราจะเห็นกระบวนการเยียวยา ที่ระบิล เป็นคนค่อย ๆ สร้างให้กับครอบครัวนี้ เราว่าเป็นตัวอย่างที่ดีเยี่ยมเลยนะ

 

เริ่มตั้งแต่การสร้างบรรยากาศ ทางกายภาพ ด้านปัจจัย 4 เรื่องอาหาร ทำอาหารอร่อย ๆ หลากหลายให้กับครอบครัวนี้ ด้วยการใส่ความตั้งใจ ความรักเข้าไป โดยการลงมือทำเอง ด้วยความตั้งใจ ซึ่งแสดงออกทั้งสีหน้า น้ำเสียง และการกระทำ ยังมีการหาดอกไม้มาประดับ ปลูกต้นไม้

ทางจิตใจ เสริมสร้างความปลอดภัย การติดตั้งโทรทัศน์วงจรปิด การมีตำรวจมาคอยอยู่หน้าบ้าน การให้ความมั่นใจ ด้วยการกระทำ เมื่อถูกท้าทาย การแสดงออกว่า เราสามารถสู้ได้ ถ้าเราเป็นฝ่ายที่ถูกต้อง

การเสริมความเข้มแข็งทางจิตใจ ปลุกปลอบว่าเราต้องสู้ เพื่อตัวเราเอง เพื่อความถูกต้อง เพื่อจะไม่ต้องเป็นคนที่อยู่กับความกลัว

เราจะเห็นว่าผู้ใหญ่ก็เริ่มจะเข้าใจได้ แต่เด็กวัยรุ่นที่มีบาดแผลทางใจมานานเหมือนลูกสาว ผู้ให้การช่วยเหลือต้องมีความอดทนสูง ต้องใส่ความรักเข้าไปเรื่อย ๆ หาจังหวะ เหมือนที่ระบิลกับเนติมทำ ตอนแรกก็ยังไม่เข้าใกล้ก่อน ทำให้เห็นว่าเราใส่ใจ เช่นการปลูกต้นไม้หน้าห้อง การทำอาหารให้กิน การให้ข้อมูลเรื่อย ๆ ว่าทุกคนมีความรักความปรารถนาดีให้ แล้วค่อย  ๆ พาเธอออกมา พร้อม ๆ กับให้ความมั่นใจ สุดท้ายเราจะเห็นว่า คนเราก็มีศักยภาพในการต่อสู้ เหมือน ๆ กัน เราสามารถผ่านสิ่งต่าง ๆ นี้ไปได้

 

ทำให้เรายิ่งเชื่อมั่นกับสิ่งที่เราเชื่ออยู่เสมอว่า “การเปลี่ยนแปลงทุกอย่าง นำความเจ็บปวดเสมอ แต่มันก็ทำให้เราเติบโตได้เช่นกัน ถ้าเราเรียนรู้จากมัน ”

 

การเลี้ยงลูก

                เรื่องนี้ทำให้เห็นวิธีการเลี้ยงลูกทั้ง 2 แบบ และสรุปได้อย่างสั้น ๆ ว่า พ่อแม่เป็นตัวอย่างที่ดีของลูก เราเป็นแบบไหน เราเลี้ยงลูกมาอย่างไร ลูกก็เป็นแบบนั้น

 

ฟากตัวร้าย พ่อเป็นคนเลวมาก ลูกเห็นการกระทำทุกอย่าง ซึมซับทุกอย่าง ที่ทั้งความคิด อุดมการณ์ ทำทุกอย่างเพื่อเงิน เพื่ออำนาจ การ treat คน แบบไหน ลูกก็เป็นแบบนั้น การไม่ให้เกียรติผู้หญิง ไม่เป็นสุภาพบุรุษ สุดท้ายลูกก็เลวเหมือนพ่อ ซึ่งจุดจบของคนเลว เป็นแบบไหน เราก็รู้อยู่แล้ว

 

ส่วนครอบครัวที่เหลือในละคร พ่อแม่ของตัวเอกเป็นคนดี ลูกก็ได้ซึมซับมา แม้จะตกระกำลำบากเหมือนลูกชายคนเล็ก ก็ยอมรับได้ มีความอดทน และพอดีกับไปได้พ่อคนใหม่ที่เป็นคนดี เป็นต้นแบบของความกตัญญูเหมือนกัน เลยเป็นโชคดีของเขา สุดท้ายเด็กกลุ่มนี้ก็เจอแต่สิ่งดีงาม

 

เราก็สามารถทำให้ลูกเราเป็นผู้ใหญ่ที่ดีได้ ด้วยตัวเราเองเช่นกัน

 

เห็นมั้ย นอกจากความบันเทิงที่เราได้รับแล้ว ยังมีสิ่งดีดี มากมายที่เราเรียนรู้ได้

อย่ามองว่า การดูละครเป็นเรื่องไร้สาระนะ เราไม่เห็นด้วย เพราะเราก็เลือกดูเหมือนกัน ไม่ใช่ดูทุกเรื่องนี่นา

 

 

 

หมายเลขบันทึก: 503719เขียนเมื่อ 27 กันยายน 2012 13:50 น. ()แก้ไขเมื่อ 27 กันยายน 2012 17:48 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (4)

ครับใช่แล้วอยู่ที่รู้จักเลือก และเลือกที่จะรับ ในส่วนดีที่ แฝงอุบายเอาไว้ แต่เรามักจำฝังใจกับเรื่องร้ายของตัวละคร

ตอนนี้เริ่มดู Thai PBS

บันทึกนี้อ่านสบายตามากขึ้น ตัวอักษรใหญ่ดี วันนี้ลาพักร้อนอยู่บ้านเหมือนกัน ปลายปีงบประมาณที่ทำงานพี่เขาเคลียร์งบปิดปีงบประมาณ ถ้าเจ้าหน้าที่จะทำงานต้องมีค่าใช้จ่ายในการทำงานต้องตั้งเรื่องเบิกค้างจ่ายปีงบหน้า น้องการเงินบอกว่ายุ่งยาก ถ้าใครไม่มีงานเร่งด่วนมาก ตัวชี้วัดทะลุเป้าแล้ว จะลาพักเสียบ้างก้ดี พี่ก้เลยลาบ้าง ที่นี้ลาแล้วอยู่บ้านคนเดียวกะว่าจะเขียนรายงานก้เลยได้แว๊ป ไปท่องเน็ตบ้าง เจอคำเชิญชวนน่าสนใจเลยเข้ามาติดตาม ชื่นชม คนขยันเขียนนะ

ขอบคุณค่ะ พยายามปรับให้ตัวใหญ่ จะได้อ่านง่าย ๆ ค่ะ

ขอบคุณบันทึกบันเทิงดีๆ ค่ะ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท