หมดสิ้นสกุลไต (มนุษย์เป็นสัตว์ที่อุบาทว์ที่สุด (ตอน ๓))


 

 

มนุษย์อ้างตนเองด้วยความหยิ่งผยองว่าเป็นสัตว์ที่ประเสริฐที่สุด ..เป็นสัตว์ที่ไม่เดรัจฉานเหมือนสัตว์อื่น

 

 แต่น่าสังเกตว่าทำไมมนุษย์จึงเป็นสัตว์เพียงตระกูลเดียวที่ทำลายระบบนิเวศ ในขณะที่สัตว์ตระกูลอื่นต่างช่วยกันรักษาระบบนิเวศทั้งสิ้น  อย่างนี้แล้วจะอ้างว่าประเสริฐสุดได้อย่างไร ???   โง่ที่สุด อุบาทว์ที่สุดเสียมากกว่ากระมัง

 

มนุษย์เป็นสัตว์ที่คิดแบบโง่ๆว่าตนเองเป็นศูนย์กลางโลก  ดังนั้นระบบนิเวศจึงเป็นเพียง “สิ่งแวดล้อม” เท่านั้น (คือด้อยกว่าเรา) 

 

หลักศาสนาดั้งเดิมของชาวไตโบราณที่ได้รับการดูถูกจากพวกฝรั่งว่าต่ำต้อย ..ว่า “นับถือผี”  (animism)    แต่ก็ช่วยรักษาระบบนิเวศมายาวนาน เช่น คนไทยโบราณจะไม่กล้าตัดไม้ใหญ่มาทำบ้าน เพราะเชื่อว่ามี “รุกขเทวดา” (ผี)  คุ้มครอง จะตัดแต่ไม่เล็กๆ เท่านั้น 

 

แต่ศาสนาฝรั่งเชื่อว่า สิ่งแวดล้อมทั้งหลายนั้นพระเจ้าประทานมาให้คนบริโภค ดังนั้นแทนที่พวกเขาจะกราบไหว้ธรรมชาติแบบ “งมงาย”  เหมือนพวกเรา  เขาจึงห้ำหั่นทำลายป่า ธรรมชาติ ระบบนิเวศกันจนหมดสิ้น  ล่าอาณานิคมเพื่อความมั่งคั่ง   ก่อตั้งระบบทุนนิยมเพื่อสะสมส่วนเกินให้คนส่วนน้อย 

 

 ......  ซึ่งพวกเราก็สมาทานศีลข้อนี้กันมาหมด  อย่างปราศจากความนอบน้อมเคารพยำเกรงต่อเจ้าป่าเจ้าเขาเหมือนเดิมก่อน โดยเฉพาะนับแต่พศ. ๒๔๗๕ ที่เราต่างพากันสมาทานลัทธิประชา(ถูก)ถีบไปตาย (Demo-crazy) กันแต่หัวจรดหาง

 

ศ.ดร. สิทธัตถะ โกตมะ    ได้บรรลุธรรม มองเห็นปัญญาโลภง่าวพื้นๆพวกนี้ มานานหลายพันปีแล้ว  ถึงกับบัญญัติห้ามสาวก  “พรากของเขียว”    ส่วนการ อึ ฉี่ ก็ห้าม “รดราดลงบนของเขียว แม่น้ำ ลำคลอง”   ท่านน่าจะเป็นสัตว์ประเสริฐตัวแรกของโลก  เพราะมองเห็นผลกระทบต่อระบบนิเวศยิ่งกว่าสัตว์เดรัจฉานเสียอีก เพราะสัตว์พวกนั้นมันฉี่ อึ รดของเขียวกันเป็นนิสัยด้วยซ้ำ

 

วันนี้หลายพันปีผ่านมา มนุษย์เรา โดยเฉพาะไตเราที่สมาทานคำสอนของศ.ดร. สิทธิฯ  ..น่าจะดีขึ้นกว่านั้น แต่กลับประเสริฐน้อยลงเรื่อยๆ จนน่าตกใจ    จนต่ำยิ่งกว่าเดรัจฉานสัตว์  ฉลาดกันเหลือเกิน จนสร้างสรรค์ระบบเศรษฐกิจ การลงทุน  เทคโนโลยีตามก้นฝรั่ง ที่จะยูเทิร์นกลับมาประหารตนเองให้วอดวายหมดสิ้นสกุลไต

 

โกงแล้วทำงาน คนไทยเรายอมรับได้  ส่วนฉลาดแล้วโง่นี่สิ  คนไทยยังคิดไม่ค่อยออก ก็เลยอยากฉลาดแล้วโง่ตามฝรั่งมาจนวันนี้ ทั้งที่บรรพชนนั้น ยอมโง่เพื่อดำรงความฉลาดไว้ให้ยั่งยืน แต่เรากลับ “ตามไม่ทัน”  

 

...คนถางทาง (๑๓ กันยายน ๒๕๕๕)

 

 

 

 

หมายเลขบันทึก: 502165เขียนเมื่อ 13 กันยายน 2012 20:03 น. ()แก้ไขเมื่อ 18 กันยายน 2012 23:17 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (7)

ตอนนี้ธรรมชาติกำลังลงโทษเรา.. เพราะเราฉลาดแล้วโง่ตามฝรั่งใช่ไหมคะ


 

ผมก็ว่างั้นหละครับ kunrapee กล่าวคือ สัตว์เดรัจฉานนั้นมันโง่แต่ฉลาด ส่วนมนุษย์เรานั้น เป็นสัตว์ประเสิรฐที่ฉลาดแต่โง่

สุดท้ายใครโง่ ฉลาด กว่ากัน ก็สุดแท้แต่ใครมีอำนาจในการสื่อสาร เขียนประวัติศาสตร์ (แต่สัตว์เดรัจฉานเขาเขียนได้ด้วยนะ แน่นอนกว่า ด้วยฟอสซิลไง)

  • อ๊าย ....อาจารย์คร้าบ 
  • เก็บกดอะไร เนี๊ยะ  
  • มาวันนี้ 6 บทความ อ่านตามไม่ทันเลยนี่
  • วันนี้ชลัญยุ่งเตรียมงาน CQI ทั้งวัน
  • เพิ่งแวะเข้ามา GTK นี่ แหล่ะ 
  • หลังจากทำเสื้อ staff เสร็จ แหม!สั่งทำได้ภายในวันเดียว
  • แต่จะว่าไปชลัญก็บ้าทำได้ 14 ตัว  
  • นั่งทำตั้งแต่หลังเลิกงาน เพิ่งเสร็จ นี่แหล่ะ
  • แล้วเดี๋ยวจะตามอ่านนะค่ะ 

นอกจากศาสนาพุทธแล้ว ศาสนาโบราณอื่นๆ ของโลกก็มีอุบายอนุรักษ์ธรรมชาติทั้งนั้น ผมเห็นด้วยว่าศาสนาใหม่ๆ เปลี่ยนแปลงกลายเป็นการเอาเปรียบธรรมชาติครับ

ศาสนาคริสต์ที่จริงแล้วก็เน้นการอยู่ร่วมกับธรรมชาติมาก แต่คนที่อ้างตัวว่านับถือศาสนาคริสต์แล้วทำลายธรรมชาตินี่ไม่ใช่ผู้นับถือที่แท้จริงครับ คงไม่ต่างกับชาวพุทธที่สมาทานศีลต่างๆ แล้วก็ทำผิดศีลทันทีที่พระคล้อยหลังครับ

ดร. ธ. ครับ คัมภีร์ Genesisซึ่งเป็นคัมภีร์แรกของ Old Testament กล่าวไว้อย่างโดดเด่นนะครับ ว่า พระเจ้าสร้างสัตว์และพืชมาให้มนุษย์ใช้ ผมเชื่อว่านี่แหละคือสิ่งสำคัญที่ทำให้ชาวคริสต์ฝรั่งโหมกำลังทำการทำลายสิ่งแวดล้อมอย่างไม่บันยะบันยัง เพราะเห็นว่าพระเจ้าประทานมาให้เป็นสมบัติของมนุษย์

ผมว่ามันอยู่ที่การตีความครับ จาก Genesis 1:26-30 ถ้ามองว่าเป็นการให้ "living in harmony" ก็ได้ครับ ต่างอยู่เกื้อกูล (เป็นอาหาร) ของกันและกันใหสมดุลย์ ส่วนมนุษย์นั้นให้ "rule over" ถ้าจะแปลหมายถึงให้เป็น "ผู้ปกป้อง" สิ่งที่พระเจ้าตั้งใจสร้างก็ได้ครับ

เหมือน a king rules over his kingdom ไม่ได้หมายความว่า a king can take benefits of the kingdom without mercy ครับ

ในขณะเดียวกันทางพุทธสายเถรวาทนั้นดูเหมือนจะเป็นสายเดียวที่ห้ามพระ "พรากของเขียว" ส่วนมหายานนั้นพระเพาะปลูกพืชและเก็บเกี่ยวสร้างอาหารเองได้ ผมเคยอ่านบทวิจารณ์ว่าข้อห้ามนี้เพิ่มขึ้นภายหลังเพื่อเป็นข้ออ้างให้พระไม่ต้องทำงานครับ (นั่นคือมีโอกาสเป็นอรหันต์มากขึ้น ในขณะพระมหายานต้องวุ่นวายอยู่กับการช่วยเหลือคนอื่นอย่างพระโพธิสัตว์) เพราะเอาเข้าจริงแล้วก็ไม่ได้มี "ข้อห้ามกิน" ซึ่งหมายความว่าก็ต้องมีส่วนในการทำลายพืชผลทางอ้อมอยู่ดีครับ

เท่าที่ผมอ่านๆ มา เถรวาทนั้นถูกมองทางลบก็มากอยู่ครับ เรื่องการกินเนื้อสัตว์ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ถูกโจมตีคล้ายๆ กับเรื่องพรากของเขียวครับ

ศาสนาหนึ่งที่ผมคิดว่าเน้นการอยู่ร่วมกับธรรมชาติอย่างสมดุลย์คืออิสลาม (แต่ผมก็วิจารณ์ไม่ได้มากเพราะไม่รู้จริงและศาสนาอิสลามไม่อนุญาตให้คนนอกศาสนาหรือผู้ไม่ได้ศึกษามาอย่างจริงจังวิเคราะห์ศาสนา) แต่อิสลามดูเหมือนจะเป็นศาสนาที่ถูกเข้าใจผิดมากที่สุดของโลกด้วยเหตุการณ์รุนแรงที่เกิดขึ้นทั่วโลกแล้วถูกติดป้ายว่าเป็นเพราะศาสนาอิสลามครับ

โดยสรุปแล้วผมคิดว่าอยู่ที่การตีความจริงๆ ข้อความและข้อห้ามในคำสอนของศาสนาต่างๆ นั้นถ้าจะตีความให้ดีก็ได้ จะตีความให้ผิดก็ได้ครับ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท