ครูเพื่อศิษย์สร้างห้องเรียนกลับทาง : 5. ห้องเรียนกลับทางและเรียนให้รู้จริง
หนังสือ Flip Your Classroom : Reach Every Student in Every Class Every Day บทที่ ๕ ชื่อ Tne Flipped–Mastery Classroom ซึ่งหมายความว่าเป็นห้องเรียนกลับทางที่นักเรียนได้เรียนรู้แบบสร้างความรู้ขึ้นในสมองของตน
การเรียนแบบรู้จริง (mastery learning) เกิดขึ้นมานานแล้ว คือประมาณ ๙๐ ปี แต่ไม่มีคนสนใจ รวมทั้งเป็นภาระแก่ครูมากเกินไป แต่ปัจจุบัน ไอซีที ช่วยให้การเรียนแบบรู้จริงนี้ทำได้โดยครูไม่ต้องทำงานมากขึ้น
มีผลการวิจัยบอกว่า การเรียนรู้แบบรู้จริง จะช่วยให้เด็กประมาณร้อยละ ๘๐ สามารถเรียนเนื้อหาสำคัญได้ เทียบกับร้อยละ ๒๐ เมื่อใช้วิธีสอนแบบที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน
หลักการสำคัญของการเรียนแบบรู้จริง คือ ให้นักเรียนได้เรียนรู้ตามวัตถุประสงค์ชุดหนึ่งตามอัตราเร็วของการเรียนรู้ของตน ไม่ใช่ต้องเรียนตามอัตราเร็วที่ครูหรือชั้นเรียนกำหนด การเรียนแบบนี้ นักเรียนต้องเรียนวัตถุประสงค์ไล่ตามลำดับพื้นความรู้ก่อนหลัง คือต้องเข้าใจพื้นความรู้ชุดที่ ๑ เสียก่อน จึงจะสามารถเรียนรู้และเข้าใจบทเรียนที่ ๒ ได้
ลักษณะสำคัญของการเรียนแบบรู้จริงคือ
ผลการวิจัยบอกว่า การเรียนแบบรู้จริง ช่วยเพิ่มผลสัมฤทธิ์ของเด็ก เพิ่มความร่วมมือระหว่างนักเรียน เพิ่มความมั่นใจตนเองของนักเรียน และช่วยให้โอกาสนักเรียนได้แก้ตัวในการเรียนรู้ให้บรรลุผลสัมฤทธิ์หากพลาดในรอบแรก
อ่านถึงตอนนี้ ผมคิดว่า นี่คือที่มาของหลักการศึกษาแบบไม่มีการสอบตก คือนักเรียนต้องได้รับโอกาสให้เรียนและสอบแก้ตัว จนบรรลุผลสัมฤทธิ์จริงๆ
เมื่อเรียนแบบรู้จริงในชั้นต้นๆ พื้นความรู้ก็แข็งพอที่จะขึ้นไปเรียนชั้นสูงขึ้นไปได้โดยไม่ยากลำบาก
เพราะมีวิดีทัศน์ให้ดูเองกี่รอบก็ได้ หยุดบันทึกช่วยความเข้าใจก็ได้ ถอยหลังกลับไปดูบางตอนใหม่ก็ได้ นักเรียนจึงสามารถเรียนวิชาหรือทฤษฎีจนเข้าใจ หากยังไม่เข้าใจแจ่มแจ้งก็ยังมีชั่วโมงเรียนในชั้นเรียนให้ฝึกทำแบบฝึกหัดโดยมี เพื่อนและครูคอยช่วยเหลือ
ห้องเรียนแบบกลับทาง จึงช่วยให้การเรียนแบบรู้จริงไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป
เทคโนโลยีคลังข้อสอบ และการสอบโดยใช้ ไอซีที เป็นเครื่องมือ ช่วยให้เด็กสามารถทดสอบความเข้าใจของตนเองกี่ครั้งก็ได้ สอบแต่ละครั้งข้อสอบต่างกัน ทั้ง formative assessment และ summative assessment จึงไม่เป็นภาระหนักของนักเรียนและครูอีกต่อไป
ห้องเรียนกลับทางและเรียนให้รู้จริง (flipped-mastery classroom) เป็นอย่างไร
เป็นการนำเอาวิธีการสองอย่างมาใช้ร่วมกัน โดยนำเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้าช่วยสร้างบรรยากาศของการเรียนรู้ที่นักเรียนรู้จริง มีลักษณะเป็นห้องเรียนที่นักเรียนแต่ละคน (หรือแต่ละกลุ่ม) เรียนบทเรียนของตน ที่ไม่ตรงกับของคน (หรือกลุ่ม) อื่น แต่ละคน (กลุ่ม) ง่วนอยู่กับกิจกรรมของตน นักเรียนทำกิจกรรมเพื่อการเรียนรู้ของตน ครูเดินไปรอบๆ ห้องเพื่อตรวจสอบการเรียนรู้ของศิษย์แต่ละคน (กลุ่ม) และคอยช่วยเชียร์หรือให้กำลังใจ หรือช่วยตั้งคำถาม หรือแนะวิธีช่วยตัวเอง ให้แก่ศิษย์
นักเรียนจะหาวิธีแสดงให้ครูเห็นว่าตนเข้าใจวัตถุประสงค์ของการเรียนรู้ขั้นตอนนั้น โดยอาจไม่ใช่การตอบข้อสอบที่มีอยู่ในคอมพิวเตอร์ก็ได้
ในขณะที่ห้องเรียนแบบเดิมจะมีลักษณะเป็นระเบียบเรียบร้อย นักเรียนทุกคนทำกิจกรรมเดียวกัน ทำพร้อมกัน ห้องเรียนแบบกลับทางและเรียนให้รู้จริง มีลักษณะไม่เป็นระเบียบ นักเรียนทำกิจกรรมที่ต่างกัน เรียนไม่พร้อมกัน แต่ละคนมีอัตราเร็วของการเรียนตามที่เหมาะกับตน
ครูต้องรู้เนื้อหาวิชาอย่างรู้จริง
ห้องเรียนแบบกลับทางและเรียนแบบรู้จริงนี้ ครูต้องมีความสามารถเปลี่ยนสวิตช์สมองจากเรื่องหนึ่งไปสู่อีกเรื่องหนึ่งได้ทันท่วงที รวมทั้งต้องเข้าใจความเชื่อมระหว่างสาระวิชา
ครูต้องไม่อายที่จะสารภาพกับเด็กว่าตนไม่รู้ในบางเรื่อง
นั่นคือครูต้องทำตัวเป็น “ผู้เรียนรู้” มากกว่าเป็น “ผู้รอบรู้”
องค์ประกอบของห้องเรียนกลับทางและเรียนให้รู้จริง
วิจารณ์ พานิช
๑๑ ก.ย. ๕๕
ไม่มีความเห็น