วิชญธรรม
ผศ. ดร. สิริวิชญ์ เตชะเจษฎารังษี

Offline ดูใจ ของ คุณครู หยั่งราก ฝากใบ


การฝึกที่จะละ “สุข” แล้วทำให้เห็น “ทุกข์” ซึ่งเมื่อเรามองเห็น “ทุกข์” (ยิ่งได้ชัดมากเท่าไหร่) เราก็จะสามารถจัดการกับมันได้ นั้นเราจะได้ “สุขทางธรรม”

สืบเนื่องมาจาก บทบันทึก ดูใจ (2-125) ของ คุณครู หยั่งราก ฝากใบ Blank

ที่สงสัยซ้อนสงสัย โดยเกิดจากความสงสัยของผม....(หาเรื่อง)

จากคำถามงานเข้า.......มีอยู่ว่า

".......ไม่แน่ใจว่าตัวเองเข้าใจถูกหรือไม่ว่าคือ ความคิด 1 (ของผู้เขียน) ที่คอยห้าม คอยตักเตือนในยึดมั่นในความตั้งใจหรือไม่ และอยากรับฟังความคิดเห็นของอาจารย์ด้วยค่ะว่า...  "จะพาเราพบสัจธรรมบางอย่างถ้าเราตามเขาไปถึงจุดหนึ่ง..."  สัจธรรม นั้นคืออะไรคะ?........"

ความคิดที่ถูกถ่ายทอดออกมาเป็นบันทึกอย่างเป็นลำดับ......ผมอ่านแล้วทำให้นึกถึงตัวเองตอน “อบรมจิต” ของตน"

 การโต้แย้งของ “สติ” กับ “กิเลส” มันต่อสู้กันอย่างดุเดือด......

จากที่ท่านบรรยาย.......ถ้าสังเกตคำนิยามของ “ความคิด 1” นั้นท่านได้ให้ไว้ในประโยคแรกแล้ว อย่างชัดเจน (สำหรับผม)

".....อาการที่เกิดขึ้น : เมื่อถึงช่วงสายๆ ที่เคย on line แล้วไม่เข้าไป จะรู้สึกอึดอัดใจ สังเกตเห็นว่า เมื่อนั่งลงหน้าคอมพิวเตอร์ มือก็จะกดไปที่ลิงก์ที่เคยเข้า แต่    สติ” เตือนได้ทัน   คราวนี้เป็นบทสนทนาของความคิดสองความคิดของผู้เขียน

ผมเลยมองว่า ท่านกำลังปฏิบัติธรรมอยู่ ซึ่งผมพยายามสื่อสารกับทุกคนว่า  “เราต้องฝึก”  และนี่คือ

การฝึกที่จะละ “สุข” แล้วทำให้เห็น “ทุกข์” ซึ่งเมื่อเรามองเห็น “ทุกข์” (ยิ่งได้ชัดมากเท่าไหร่) เราก็จะสามารถจัดการกับมันได้ นั้นเราจะได้ “สุขทางธรรม” 

ผมเลยเขียนเชิงท้าทาย และชักชวนว่า ถ้าท่านตาม “สติ” ความระลึกได้ ของท่านไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ  จนเป็นปกติแล้ว.......”สัมปชัญญะ” ความรู้ตัว  ก็จะเกิด และก็จะนำไปสู่ “ปัญญา”  นั่นคือ "สัจธรรม" ครับ

ที่ผมไม่ได้อธิบายให้ชัดเจนใน comment เพราะผมเองก็ยังทำไม่ได้ครับ...... เช่นวันนี้การตามอารมณ์โกรธ ที่จะดุนักศึกษาที่ไม่ยอมทำงานทั้งเทอม แล้วมาเดือดร้อนขอความช่วยเหลือ ให้วุ่นวายทั้งวัน เห็นอารมณ์เริ่มขุ่นมัว มีการปรับอารมณ์ใหม่ มีการโต้ตอบระหว่าง “สติ” กับ “กิเลส” ไม่ต่างจากที่ท่านบรรยาย สุดท้ายด้วยความแยบยลของ “กิเลส” ที่สู้กันมาทั้งวัน เพียงเรา  “อ้าปาก” พูด ก็รู้ตัวว่าเราพลาดอีกแล้ววันนี้  .......

ฝึกบ่อยๆ กำลังของสติ เราจะเริ่มแข็งแรงขึ้น ก็จะไปจัดการกับ “กิเลส” ตัวที่ยากขึ้น ละเอียดขึ้น ไปเรื่อยๆ.......  ผลดีจะเกิดแก่เราและคนรอบข้าง (ถ้าไม่ว่าเราบ้า ก็ร่วมวงบ้ากับเราเลย 555 .......)

.. สำหรับผมเป็น “บ้า” ตอนเรารู้ตัว เพื่อที่จะไม่เป็น “บ้า” ตอนเราไม่รู้ตัว....

อีกตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนและที่วัดได้คือ.....ระยะเวลาการนั่งสมาธิเราเริ่มนานขึ้น .....ไม่ร้องแบบสติแตกในใจกับความปวดเหมือนเมื่อก่อน  (สมัยก่อนแค่ 5-10 นาทีก็ตะโกน นิมนต์ครูบาอาจารย์ลงมาช่วยกันจ้าละหวั่น เป็นที่สนุกสนานในใจ ใช้ครูบาอาจารย์เปลืองมากตอนนั้น หุหุ)

หาเวลาเลิกความบันเทิงทางโลก Thailand Got Talent  มาหาเวลาสร้างความบันเทิงทางธรรม บ้างนะครับ DHAMMA GOT TALENT  <ประโยคนี้ไม่จริงหลอกครับ เป็นการมาเรียนรู้ “ทุกข์” ไม่สนุกหลอกครับ .....ป้องกัน...ไม่ใช่เมื่อถึงเวลาก็มาร้องไห้หลอกตัวเองแล้วบอกว่า น้ำตาไหล เล่น MV หนีทุกข์ เราจะหนีไปไหนได้ครับ......พี่น้องครับ!!!!!>

สำหรับมวยวัดอย่างผม เริ่มต้นจาก อ่านหนังสือพระวัดป่าสายปฏิบัติจริงๆ อ่านหลายๆรอบ (เลือกเล่มถนัดๆมือหน่อย อิอิ!!!)ไม่ใช่เพื่ออะไร ไม่ใช่เพื่อสอบนักธรรม แต่กลับไปได้ใช้สำหรับฟังภาษาพระให้รู้เรื่อง.....:):)  ก็เหมือนเรียนภาษาอังกฤษ ก็เพื่อไปฟัง/คุยกับ ฝรั่งให้รู้เรื่อง ฉันใดฉันนั้น   .....ไม่งั้นเข้าวัดก็....งง!!! เป็น Chicken Eye Broke !!!!! กันพอดี 5555    (เขียนมาดีๆ ชอบมาทำเสียตอนท้ายอยู่เรื่อยเลยเรา 5555)  

ประมาณนี้นะครับ....พี่น้องครับ..... อ้าว....เชิญรับประทานไอติมชานม กับหนังสือธรรมะไปก่อนเด้อครับ....:):)

หมายเลขบันทึก: 501184เขียนเมื่อ 4 กันยายน 2012 22:07 น. ()แก้ไขเมื่อ 27 ตุลาคม 2013 15:27 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (14)

สวัสดีค่ะ

ตามมาอ่านเป็นรอบที่สอง หลังเสร็จภารกิจค่ะ

อ่านไปยิ้มไป สนุกกับการเล่าประสบการณ์ทางธรรมของอาจารย์อย่างยิ่งเลยค่ะ

ขออนุญาตแบ่งปันประสบการณ์บ้างนะคะ...

ส่วนตัวแล้ว คิดว่ายังอ่อนด้อย เตาะแตะศึกษาธรรมค่ะ หลังพบทุกข์ใหญ่เพราะแม่จากไปด้วยการนอนหลับไปเฉยๆ ทั้งที่ไม่ได้ป่วยอะไรเมื่อปี 2548 (เมื่อพบทุกข์ก็วิ่งหาธรรม) ศึกษาธรรมด้วยการอ่านหนังสือเพราะชอบอ่านหนังสือมากกว่าการไปหาพระสงฆ์ที่วัด อ่านไปมากๆเข้าก็คิดว่าตัวเอง"มีธรรมะ"แล้ว ทั้งที่แค่ "รู้ธรรมะ" บางข้อ แถมก็ยังรู้/เข้าใจผิดๆอีกด้วยค่ะ

พระอาจารย์ที่ยกตัวเองไปเป็นศิษย์ท่านคือ "พระไพศาล วิสาโล" ส่วนท่านที่แนะนำให้นั่งสมาธิคือ ท่านอาจารย์บุญทัน ดอกไธสง ท่านบอกว่า หากอยากรู้ว่าแม่ไปดีหรือไม่อยู่ที่ไหน ก็ต้องหัด "นั่งสมาธิ" (ซึ่งก็ได้เพียงสมถะกรรมฐาน)  ทำบ้างหยุดบ้างตามอัธยาศัย ช่วงที่คิดถึงแม่มากๆ ก็นั่งบ่อยเช้า-เย็น พอยุ่งเรื่องอื่นๆ ลืมแม่ ก็นั่งบ้างไม่นั่งบ้าง... (ฮาๆๆๆ) โดยปรึกษากับรุ่นพี่ซึ่งท่านศึกษาธรรมะมาก่อนแล้ว นอกจากนี้ก็หาโอกาสไปเข้าคอร์สปฏิบัิติธรรมต่างๆ ตามโอกาส (ตามความนิยมสมัยนี้ ...อิอิ)

สรุปว่า ก็ยังคงวนๆเวียนๆ ไม่ไปถึงไหน เพราะเกิดและโตในครอบครัวจีนที่ไหว้เจ้าไหว้ผี ทำบุญบ้างตามความนิยม แต่เข้าใจว่าตัวเองโชคดีที่มี "เตี่ยกับแม่" เป็น "กัลยาณมิตร" เพราะท่าน "ทำตัวอย่างที่ดี" ให้ลูกๆหลานๆเห็นเสมอ เตี่ยกับแม่ชอบช่วยเหลือคนไม่เลือกชนชั้นวรรณะทั้งที่เป็นเพื่อน/ญาติ/คนไม่รู้จัก/คนที่ดี/ไม่ดี  ท่านก็ให้ความเชื่อเหลือเมื่อมีการร้องขอ ท่านสอนลูกๆไม่ให้เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น  ท่านยอมล้มละลายขายบ้าน แต่ไม่ยอมให้ใครเดือดร้อนเพราะท่าน ให้กฎทองคำ 3 ข้อของครอบครัวคือ "ซื่อสัตย์ กตัญญู อ่อนน้อมถ่อมตน" ...ฯลฯ นั่นคือ หากทำตามที่ท่านทั้งสองทำเพียงครึ่งก็อยู่ในสังคมได้อย่างไม่เดือดร้อนมากนักค่ะ

สำหรับการ "ดูใจ" เป็นคำที่ใช้เสมอ เพราะแม่สอนแต่เด็กทำนองว่า "ทำอะไรให้คิดก่อน ทำแล้วสบายใจไหม?" นั่นคือให้ถามใจตัวเองก่อนทุกครั้งที่จะคิด พูด ทำอะไร จึงติดนิสัยมาจนปัจจุบันค่ะ

และขอบพระคุณค่ะสำหรับคำเตือนให้หาทางบันเทิงในธรรมบ้าง...

เหมือนอาจารย์จะรู้ใจ....ตอนนี้ก็เริ่มหันมาใช้เวลาในการ "นั่งสมาธิ" ช่วงก่อนนอน หลังการทำงานบางอย่าง (เพื่อคนอื่น) ในช่วงเย็น แทนการท่องโลกออนไลน์เหมือนเคยค่ะ  :)

ขอบพระคุณอาจารย์Blank มากครับ...  ผมก็พยายามที่จะนั่งสมาธิทุกวันเช่นกันครับ 

  • มีหนังสืออาจารย์มิตซูโอ๊ะด้วย
  • มีเรื่องอ่านง่ายๆหลายเรื่องนะครับ

อ่านดูคล้ายๆกับว่า.... อ. ขจิตกำลังจะแจกหนังสือธรรมะนะเนี่ย......แซวเล่นครับ

ผมเข้าโครงการหนังสือของพระอาจารย์ ได้หนังสือมาแจกนศ. เพียบเลยครับ......:):)

ผมเลยเขียนเชิงท้าทาย และชักชวนว่า ถ้าท่านตาม “สติ” ความระลึกได้ ของท่านไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ  จนเป็นปกติแล้ว.......”สัมปชัญญะ” ความรู้ตัว  ก็จะเกิด และก็จะนำไปสู่ “ปัญญา”  นั่นคือ "สัจธรรม" ครับ

 

ตรงนี้ เป็นส่วนที่ ไม่ค่อยเข้าใจค่ะ

เวลาเราระลึกรู้ตัวเรา เช่นเรารู้ว่าเราใจลอย แล้วเราก็ดึงใจกลับมาที่งานข้างหน้า

เรากลับมาทำงาน ลืมเรื่องใจลอยเมื่อกี้ไป..

 

แล้วยังไงต่อ..นะคะ

เกิดปัญญาเมื่อไหร่

 

ถามแบบคนไม่รู้อะไรเลยค่ะ 

งานนี้คนไม่รู้กับคนไม่รู้คุยกันนะครับคุณหมอ....:):) (คนรู้แล้วเขาคงไม่มาตอบครับ...เขาให้เราคิดได้เอง!!!  บอกคำตอบได้แต่เราก็อาจไม่เข้าใจ.....คือมันเป็นปัจจัตตัง..นะครับ)

คำถามสั้นๆแต่ ตอบยากสำหรับผม...

ผมเคยถามหลวงปู่คล้ายกับที่คุณหมอสงสัยนี้ล่ะครับ .....คำตอบที่ผมได้กลับมา ก็เป็นคำตอบเฉพาะตน และ เฉพาะเวลานั้นๆด้วย

ผมคิดว่าเราอย่าเพิ่งไปยึดติดกับ ความหมายของคำศัพท์เลยครับ ปวดหัวเปล่าๆ

1. ผมว่าทุกอย่างจะมีคำตอบถ้าเรา อดทน และฝึกฝน "จิต" เราบ่อยๆ เช่น

“................."ฟังธรรม" บ่อยๆ...ได้ยินบ่อยๆ....ได้ฟังบ่อยๆ......เมื่อได้ยินบ่อยๆ ..เมื่อได้ฟังบ่อยๆ.......ความรู้ก็เกิดขึ้นบ่อยๆ........”

“......เมื่อความรู้ก็เกิดขึ้นบ่อยๆ....... ความฉลาดเกิดขึ้นบ่อยๆ........ความพ้นทุกข์ก็เกิดมีมาเรื่อยๆ....”  (คำสอนหลวงพ่อชา)  <ถ้าไม่เน้น "พ้นทุกข์" ก็ ความ "สงบ" จะเกิดขึ้นครับ> 

นั่นแหละตอนนั้น "ปัญญา" ถึงจะเกิด.......

2. หากต้องการเรียงลำดับ.....ความสำคัญ

  • 1. มีศีล.....ที่บริสุทธิ์ และสมบูรณ์ (สำหรับผมนี้สำคัญมาก ครูบาอาจารย์เขาทำให้เห็นเป็นตัวอย่างแล้วครับ)
  • 2. ที่ตามมาคือ สติ  ........อันนี้เราต้องฝึกเอาเอง แล้วแต่จริตของแต่ละคน แต่จากพื้นฐานข้อแรกจะช่วยส่งเสริมให้เราผ่านการฝึกฝนมาได้ เช่นเมื่อว่างจากงานก็มามองลมหายใจ บางท่านฝึกทั้งวัน จนจิตกับสติไปด้วยกันโดยอัตโนมัติ
  • 3. สัมปชัญญะ ก็จะตามมา....
  • 4. สุดท้าย.....ไม่ต้องกังวล เราจะได้คำตอบเองว่า "ปัญญา" จะเกิดเมื่อไหร่ อย่างไร.....

3. "ปัญญา" ที่ว่าเป็น "ปัญญา" ทางธรรมนะครับ ไม่ใช่ "ปัญญา" ทางโลกที่ใช้แก้ปัญหาวิจัย และปากท้อง......  ผมคิดว่า "ปัญญา" ทางธรรม  ครอบคลุม "ปัญญา" ทางโลก ไปแล้ว

4. ไม่ต้องไปสนใจเรื่อง "ปัญญา" อะไร........ ครับ หมั่นฝึกอบรม "จิต" เรานี่แหละ....ก็พอแล้วครับ  ถึงจุดๆหนึ่ง คำตอบนั่นเราจะเป็นคนเฉลยเองครับ

 

ไม่รู้ตอบคำถามคุณหมอ Blankหรือเปล่าครับ.....   "ปัญญา" ผมมีเท่านี้นะครับ ......:):)

โอ๊ย...ดูแล้วปัญญา   ไม่น้อยเลยท่าน เหลืองอ๋อยเชียว

มีแซว..... ไงว่ามามาดใหม่ งัยครับ Blank

และที่สำคัญเมื่อเราเข้ามาฝึกปฏิบัติจริงๆ คำตอบมันมาเองจริงๆครับ....... เช่นเมื่อเช้าขณะขับรถและฟังเทศน์ไป ใจก็ไปจับที่ประโยคหนึ่ง เฉพาะประโยค นั้น "คำตอบ" ก็ได้มา......

เราจะสงสัย และถาม และตอบตัวเองไปเรื่อยๆครับ....... ฝึกฝน+อดทน+เพียร งานนี้ "ชก" มัน!!!!!

ดูๆไป เออจริงง่ะ!!!! "ปัญญา"   เพียบเลย...... 555555  ถ้าจะ 0.99 อีกแล้ว 555

(ทำให้ผู้อื่น หมดศรัทรานั่นไม่ดีนะครับ  มีฟอร์มหน่อย)

อ่ะ ..ลืมตัว ...สัญชาตญาณน่ะท่าน

  • ความสงสัยคือกิเลสพามา
  • จึงเห็นมันตัวใหญ่ขอกลับไปลดมันลงก่อน
  • ขอบคุณดอกไม้แห่งจิตใจ
  • และยินดีที่มีสุขค่ะ

ขอบคุณครับ อาจารย์ Blank 

ถ้าจำไม่ผิดนะครับ หลวงตามหาบัวบอกว่า  ฆ่ากิเกสไม่บาป........อิอิ :):) 

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท