ใส่เงินไม่ปิดซอง เมื่อต้องเอาไปช่วยงานแต่งงาน


...............ต้องไม่ปิดซอง เพราะสิ่งที่ไม่คาดคิดจะเกิดขึ้น.....................

เมื่อสองสามวันมานี้ ไปงานแต่งงานของลูกหลาน ที่เขาแต่งงานกันที่โรงแรมแรมแห่งหนึ่งที่จังหวัดยะลา    มีผู้คนพลุกพล่าน มีงานแต่งและงานอื่นๆ  จนมีคนเดินแทบชนกัน      

ขาไปก็นั่งรถขับกันไป และก็คุยกันไปถึงการไปงานแต่งงานโดยทั่ว ๆ ไปที่ไม่ใช่งานแต่งของลูกหลานญาติพี่น้อง  ผมก็ได้ความรู้ใหม่ หรือ จะเป็นความรู้เก่าของใครอื่น ก็ได้

การไปงานแต่งงานสมัยนี้  มีจะมีการจัดงานกันที่บ้าน ร้านอาหาร ภัตตาคาร โรงแรม  คนที่ไปงานต้องดูว่าควรจะให้เงินช่วยงานสักเท่าไหร่จึงจะดี  ซึ่งแล้วแต่ฐานะของตนเอง  แต่ก็ไม่แน่เสมอไป เพราะบางคนใจเล็กใจใหญ่ต่างกัน หรือ แล้วแต่ความผูกพันที่มีมาก่อนหน้า  หรือว่า จะหวังผลในอนาคตจากการไปแสดงความยินดีในโอกาสที่มีการแต่งงานของลูกหลานญาติพี่น้องเพื่อนฝูง

คนที่พาไปเล่าให้ฟังว่า การไปงานแต่งงานโดยทั่วไปที่ไม่ใช่ลูกหลาน หรือคนที่มีบุญคุณกันมานานต้องเตรียมเงินใส่ซอง  โดยพิจารณาจาก สถานที่ ที่จัดงาน ให้พอเหมาะ  เช่น 200 300  500 1000 แต่ก็ต้องไม่ปิดซอง เพราะสิ่งที่ไม่คาดคิดจะเกิดขึ้น  เช่น ไปงานที่จัดที่บ้าน  อาหารที่คาดการณ์ไว้ล่วงหน้าก็คืออาหารธรรมดา  แต่ว่าพอไปถึงในบางทีก็จะเกินคาด  ทั้งอาหารและการต้อนรับ เอาใจใส่ดูแลเป็นอย่างดี กลายเป็นแขกวีไอพีของงาน ที่ใส่ซองไว้ เช่น 500 ก็ต้องเอาซองมาสอดใส่ลงไปอีก  หรือ

บางทีงานแต่งงานที่จัดกันที่โรงแรม  พอไปถึง ต้องเดินเวียนหาโต๊ะนั่งเอง   นั่งไปรอนานกว่าอาหารจะมา  มาแล้วก็เจอกับอาหารที่ทานกันอยู่ที่บ้านทุกวัน      และรายการอาหารก็ไม่ประทับใจ ไม่เหมาะกับเงินในซองที่เตรียมมา  หากพบอย่างนี้ ซองที่เปิดไว้ก็จะถูกดึงออกมาบางส่วน เช่น เอาใบ 500  ออก   และใสใบร้อยเข้าไปแทนตามจำนวนที่พิจารณาแล้วว่าสมควรจะให้สักเท่าไร    

นี่เป็นความรู้ใหม่ของผม  ที่เห็นความเปลี่ยนแปลงของสังคม  ที่ไม่แน่ใจว่าโดยทั่ว ๆ ไป เป็นอย่างนี้กันมากหรือไม่ก็   นำมาเล่าให้อ่าน  เพื่อเป็นข้อคิดสำหรับคนที่จะจัดงานแต่งงาน และไปงานแต่งงาน ให้จัดการที่ไม่เอาเปรียบกันเกิน

พูดถึงการเอาเปรียบกันในงานแต่งงาน จากประสบการณ์ที่เคยพบเห็น และรับฟังมาก็มีอยู่บ้าง  เช่น  เจ้าพิธีการในงานแต่งงานที่คิดจะเอาเปรียบกันนับตั้งแต่การแบ่งขันหมาก หลังจากเสร็จพิธี  เจ้าพิธีที่ต้องการเอาใจฝ่ายตัวเอง ก็จะหาทางเอาฤกษ์ด้วยการเอาเปรียบให้ฝ่ายตน  ด้วยการแบ่งขันหมากให้ฝ่ายตนได้มากว่า  และใช้วิธีเชิงไสยศาสตร์แบบเอาเคล็ด  เช่น ขณะที่แบ่งขันหมากให้อีกฝ่าย ก็ใช้มีดตัดกล้วยอ้อย แล้วใส่ภาชนะเอาไว้เพื่อมอบให้อีกฝ่าย  ตอนที่มีการไว้บรรพบุรุษ ก็จะให้ฝ่ายตนเป็นคนประกอบพิธีแต่ฝ่ายเดียว  หรือ ก่อนหน้าก็จะมีสารพัดวิธีเชิงไสยศาสตร์  เช่น ถ้าเป็นฝ่ายเจ้าบ่าว ก็จะพยายามหาทางให้ไม่มีการขวางทางเข้าหาเจ้าสาวให้เข้าไปหาได้ง่าย ๆ  ไม่ต้องจ่ายค่าผ่านประตูเงินประตูทอง 

และที่ร้ายกว่านั้นก็คือ การที่เจ้าพิธีจะสั่งให้สมุนใช้ตีนเปิดห้องเข้าประตูนำเจ้าบ่าวไปหาเจ้าสาว  หรือ การให้เจ้าสาวลงมาหาเจ้าบ่าวด้วยตัวเอง โดยไม่ต้องไปรับมา  เป็นต้น

พิธีการทั้งหลาย ฝ่ายเจ้าบ่าว ฝ่ายเจ้าสาวอาจไม่รู้  แต่พิธีกรเจ้าพิธีการที่ใช้ไม่ได้ ก็อาจทำให้งานมงคล เป็นอัปมงคลได้เหมือนกัน  เพราะฉะนั้น เมื่อใครจะหาใครเป็นเจ้าพิธีก็ต้องเลือกเจ้าพิธีที่ถูกต้องและเป็นธรรม เพื่อให้บ่าวสาวคู่สมรสได้แต่มงคล และต้องไม่ลืมว่าในพิธีการอย่างนี้ มีแต่คนจ้อง และไม่มีทางที่จะหลุดจากสายตาของทุกฝ่ายไปได้ว่าตรงไหน เป็นธรรม หรือไม่เป็นธรรม  เพราะวันนี้โลกมันไปไกลเกินกว่าไสยศาสตร์แบบชาวบ้านไปมากแล้ว

อย่างน้อย ๆ เช่น การไปงานแต่งงานที่ใส่เงินโดยไม่ต้องปิดซอง ก็เป็นตัวชี้ว่าวันนี้โลกมันเปลี่ยนไป จะตัดสินใจทำอะไรก็ต้องพิจารณาจากสภาพที่เป็นจริง เป็นสิ่งที่ยืนยันว่าทุกวันนี้ คนทันคนกันทั้งนั้น เว้นไว้เสียแต่ว่าจะพูดหรือไม่พูด  

หมายเลขบันทึก: 500726เขียนเมื่อ 31 สิงหาคม 2012 14:23 น. ()แก้ไขเมื่อ 5 กันยายน 2012 13:46 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (2)

จะขอหมายเหตุไว้ในที่นี้สักนิดว่า การโพสต์บันทึกนี้ได้ต้องพยายามมาสองวัน โพสต์เป็นครั้งที่ 6 จึงจะได้ ยังไม่เข้าใจว่าเป็นเพราะอะไร แต่ที่สังเกตได้ในแอร๋การ์ดที่ใช้มีสัญญาณอยู่ขีดเดียว ทั้ง ๆ ที่อยู่ห่างจากเสาส่งประมาณ1 กิโลเมตร

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท