ชวนขุดทองในสมองของ เจ้าของพิซซ่าคอมพานี


(ต้องอยากก่อนจึงจะทำได้ดี อยากนั้น ต้องอยากติดต่อกันนาน ๆ หากอยากบ้างไม่อยากบ้าง ก็จงระวัง เพราะมันอาจมาใช่อยากจริง แล้วทุ่งสิ่งก็จะพังได้เหมือนกัน)

หลายท่านต้องเคยรับประทาน พิซซา  ท่านรู้ไหมว่าใครเป๋นคนเอาเข้ามาในประเทศไทย เป็นคนแรก ตั้งแต่เมื่อไร ทำไมจึงคิดว่าคนไทยก็ชอบ
ถ้ายังไม่รู้จัก ก็จะแนะนำ มร.วิลเลี่ยม อี. ไฮเนคกี้”  ตอนนี้อายุ 63  อ่อนกว่าผมปีเดียว  เทียบกันไม่ได้ในความรวย  เพราะคนนี้เขารวยล้นฟ้า  แต่ถ้าความสุขในชีวิตก็น่าจะพอเทียบกันได้ 555  ดีไม่ดี ผมอาจสูงกว่าก็ได้ 555 (ต้องหาเรื่องภูมิใจในตัวเอง)

นิตยสารฟอร์บส์  จัดให้วิลเลี่ยมรวยอันดับ 23 ของไทย ด้วยสินทรัพย์ในครอบครองมากกว่า 425 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (รวบฉิบ…)

วิลเลี่ยม  อเมริกันคนนี้ ติดตามพ่อที่เคยมาเป็นนาวิกโยธิน มาอยู่ในประเทศไทย นักธุรกิจต่างชาติที่ประสบความสำเร็จสูงสุดในเมืองไทย ตั้งแต่อายุ 14 ปี  ต่อมาพ่อผันตัวมาเป็นนักเขียนประจำสำนักข่าวสารอเมริกัน จำได้สมัยนั้นเขาเรียกว่า USIS สังกัดสถานกงสุลสหรัฐอเมริกา และถูก ส่งตัวมาปฏิบัติหน้าที่ในภูมิภาคเอเชียช่วงสงครามเวียดนาม

วิลเลี่ยมเรียนที่โรงเรียนนานาชาติ ในกรุงเทพฯ  เริ่มหารายได้พิเศษ  ตั้งแต่ชั้นมัธยม ด้วยการขายโฆษณา  และเขียนคอลัมน์เกี่ยวกับรถในหนังสือพิมพ์บางกอกเวิลด์ พอเรียนจบมัธยมปลาย มีเงินออมอยู่ 1,000  ดอลลาร์ จึงไปหาสำนักงานทนายความเพื่อจดทะเบียนตั้งบริษัทพร้อมกัน 2 บริษัท คือ บริษัทอินเตอร์เอเชียน เอนเทอร์ไพรซ์ และ อินเตอร์เอเชียน พับลิซิตี้   แล้วไปกู้เงินมาลงทุนซื้อถังพลาสติก ม็อบถูพื้น และเวลาโฆษณาทางสถานีวิทยุ 2-3 นาที เพื่อรับจ้างทำความสะอาด และเขียนโฆษณา

เขาคิดได้ไง เราผมกับเขาอายุใกล้เคียงกัน  ตอนนั้นไม่มีความคิดอะไรอยู่มนหัวเกี่ยวกับการทำงาน  คิดว่าเพราะวัฒนธรรมอเมริกัน ที่เด็ก ๆ ต้องทำงานตั้งแต่มัธยมไอ้เราก็ดีแต่คอยแต่พ่อแม่ส่งให้เรียน  ยิ่งสมัยนี้ก็มาเรียน  ฝึกให้เป็นหนี้มาตั้งแต่เด็กๆ จะดีหรือไม่ ก็ขอไม่พูดในที่นี้)

วันนี้ วิลเลี่ยมมีหลายบริษัท ที่อยู่ในเครือที่ชื่อว่า เดอะไมเนอร์กรุ๊ป และไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) ทำธุรกิจอาหารฟาสต์ฟู้ด, โรงแรมและรีสอร์ต ตลอดจนแฟชั่นเสื้อผ้า และเครื่องสำอาง ในเอเชีย

ไทยรัฐออนไลน์ http://www.thairath.co.th/content/life/286244 ไปสัมภาษณ์เขามา ผมขอเอาวิพากษ์  ดังนี้  (ส่วนที่เป็นสีเขียวเป็นคำวิพากษ์ของผม)


ตอนนั้นฝันอะไรไว้ จึงตัดสินใจทิ้งการเรียน แล้วออกมาเป็นเถ้าแก่น้อย


บอกตรงๆว่าผมไม่ได้คิดถึงเรื่องธุรกิจหรือความมั่งคั่ง แต่คิดถึงสิ่งที่ชอบและอยากทำ (นี่คือความความฝัน  ที่เป็นความอยากของคน และต้องมีอะไรสักอย่างที่สร้างแรงบันดาลใจให้วิลเลี่ยมใช่ไหมครับ) ผมชอบรถโกคาร์ทและรถมอเตอร์ไซค์มาก แต่ในเมื่อไม่มีเงินจะซื้อ และไม่ได้เกิดในครอบครัวร่ำรวย จึง ต้องหาวิธีทำเงินด้วยตัวเอง ผมทำงานตั้งแต่อายุน้อยๆ โดยเริ่มจากงานหนังสือพิมพ์ เขียนคอลัมน์เกี่ยวกับรถ และช่วยหาโฆษณาด้วย กระทั่งได้เป็นผู้จัดการฝ่ายโฆษณาของบางกอกเวิลด์ ขณะอายุ 17 ปี จึงตัดสินใจทิ้งการเรียน แล้วออกมาทำธุรกิจของตัวเอง  (ข้อสังเกตอย่างหนึ่ง ก็คือพวกสมองใสทั้งหลาย เช่น วิลเกตเจ้าของไมโครซอล์ฟ มาร์ค เจ้าของเฟซบุ๊ค พวกนี้เรียนไม่จบ คนไทยที่จำได้ เรียนน้อยแต่รวยเละก็คือ เจ้าของสวนสยาม  วิลเลี่ยมอายุ 17  ได้เป็นผู้จัดการ  นี่มันเป็นอะไรที่ไม่ธรรมดาและคนไทยก็คงมีไม่น้อย ผมเคยไปประเมินนักเรียนรางวัลพระราชทานสำหรับโรงเรียนมัธยม จำไม่ได้ว่าชื่ออะไร ที่โรงเรียนศรีสวัสดิ์ จังหวัดน่าน อายุสิบห้าสิบหกปี ความคิดอ่านและการทำงานขายจิฟฟารีน โดยไม่กลัวว่าเพื่อนจะว่าเป็นตุ๊ด เป็นมัคคุเทศก์ให้เทศบาล กลางคืนเล่นดนตรีเอาอย่างพ่อ  เช้าตื่นขึ้นมาหุงข้าวให้ยายกิน แล้วเอายายไปส่งขายของที่ตลาด  กลับมาบ้านแต่งตัวไปโรงเรียน ทำหน้าที่ประธานนักเรียน  วันหยุดก็ไปรณรงค์เรื่องการรักษาสิ่งแวดล้อม  ตอนนี้น่าจะไปไกล เสียดายจำชื่อไม่ได้ มิฉนั้นจะตามหามาสัมภาษณ์ดู 555 ว่าไปได้ขนาดวิลเลี่ยมหรือเปล่า  ที่จริงแม้จะสมองไม่ใส แต่ถ้าหากใส่ใจ เอาจริง ในสิ่งที่อยากตั้งแต่เด็ก ๆ ก็จะรุ่งได้ เรียนก็เรียนไป หากทำงานได้เองช่วยตัวเองได้ตั้งแต่เยาว์วัย อนาคตไกลแน่นอน)

พ่อแม่คัดค้านไหมคะที่ลูกชายเลิกเรียนหนังสือกลางคัน

พวกท่านไม่พอใจมาก!! เพราะอยากให้กลับไปเรียนมหาวิทยาลัยที่อเมริกา ถือเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของชีวิต ผมต้องตัดสินใจเลือกระหว่างการอยู่เมืองไทยลำพัง กับการเดินทางไปอเมริกาเพื่อเรียนต่อ ซึ่งต้องใช้เวลาราว 5 ปี ผมบอกตัวเองว่า ถ้าทิ้งโอกาสนี้ไปเมื่อถึงเวลานั้น ผมอาจจะไม่ได้กลับมาเมืองไทยอีกแล้ว  และทุกอย่างคงเปลี่ยนแปลงไปหมดแล้ว ถ้าก้าวขาออกไปจากตรงนี้ ตอนนั้นครอบครัว ผมกำลังจะย้ายออกจากเมืองไทย ผมจึงตัดสินใจขอพ่อแม่อยู่ที่นี่ตามลำพังเพื่อตามหาความฝัน

(จบชั้นมัธยมแล้ว ตัดสินทำอะไรได้อย่างนี้ ส่วนหนึ่งที่เป็นปัจจัยหนุนนำก็คือวัฒนธรรมที่ฝังหัว และการเลี้ยงดูของพ่อแม่ที่ให้ลูกฝึกช่วยตัวเอง  หันมาวัฒนธรรมบางส่วน  วันหนึ่งเมื่อปี 2553  ไปช่วยอบรมครูที่ขอนแก่น คนเชิญหาที่พักโรงแรม หอพัก เกสเฮ้าส์ ให้ผมไม่ได้เต็มหมด ถามว่าทำไมคนเต็ม รถติดเต็มเมือง ก็ทราบว่าเด็ก ๆ มัธยมมาสอบเข้ามหาวิทยาลัยขอนแก่น  ลูกมาหนึ่งพ่อแม่พี่ป้าน้าอามาส่งกันเต็มคันรถ มุมหนึ่งก็ดีที่เป็นแบบไทย ๆ แล้วอีกมุมละ แล้วเมื่อไรจึงจะเลี้ยงโต ตอนผมมาสอบมาเรียนกรุงเทพฯ ในวัยหลังจบมัธยมปลาย ก็น่าจะใช้ได้ เพราะพ่อแม่ไม่เคยรู้ว่าผมไปเรียนที่ไหน อยู่ที่ไหน กับใคร  พ่อแม่ไม่เคยรู้  ก็คุยซะหน่อย)

วิลเลี่ยมบอกว่า “ผมบอกตัวเองว่า ถ้าทิ้งโอกาสนี้ไปเมื่อถึงเวลานั้น ผมอาจจะไม่ได้กลับมาเมืองไทยอีกแล้ว  และทุกอย่างคงเปลี่ยนแปลงไปหมดแล้ว

(นี่สะท้อนถึงอะไร วิสัยทัศน์  และจับตลาดหรือความต้องการของคนไทยในสมัยนั้น ได้ว่าควรจะทำอะไร แล้วขายได้ดีเกินธรรมดา   เรียกว่าคิดไกลกว่าคนทั่วไปหลายพันหมื่นก้าว  จึงคิดและตัดสินใจหยุดเรียนต่อ เพื่อทำทำอะไรให้ได้ก่อนใครอื่น) 

เล็งเห็นโอกาสทองอะไรใน เมืองไทย

(วิลเลี่ยมเรียนโรงเรียนนานาชาติ และอยู่มานานจนพูดภาษาไทยได้เหมือนคนไทย  ตรงนี้ได้เปรียบ  เมื่อวันที่ 16 ที่ผ่านมาที่เคยเล่าไว้ในบันทึกที่ว่าไปดูงานสองรายการนั้น คนที่ขับรถเจ้าของกิจการที่มาพาไป http://www.siamhrtablet.com/home.html คุยกับบริษัทหุ้นส่วนแทปเล็ตในเสินเจิ้นทางโทรศัพท์ให้ผมได้ยิน  เขาพูดกันเป็นภาษาไทยยังกะเป็นเพื่อนซี้กันมานานปี  เขาและเราคนไทยจึงเป็นหุ้นส่วนกันได้เป็นอย่างดี   ตรงนี้อยากย้ำว่า อย่าคิดแต่จะพูดอังกฤษเก่งแต่อย่างเดียวนะครับ เขมร พม่า อินโด มาเลย์ เวียตนาม ฯลฯ  ก็ต้องพยายามพูดให้ได้ ถ้าคิดไกลจะไปทำงานในอาเซียน) 

 
ตอนที่ผมตั้งบริษัท ไมเนอร์ โฮลดิ้งส์ (ไทย) จำกัด ในปี 1970 ผมเชื่อว่า ตลาดเมืองไทยพร้อมแล้วสำหรับอาหารจานด่วนแบบตะวันตก ในขณะที่คนส่วนใหญ่มองว่า คนไทยไม่มีทางกินพิซซ่าหรอก ผมกลับมองมุมต่าง และเห็นโอกาสว่า นี่คือเวลาเหมาะเจาะที่คนไทยจะเริ่มเปิดรับวัฒนธรรมต่างๆของตะวันตก โดยเมื่อปี 1975 ผมชิมลางเปิดมิสเตอร์ โดนัท ซึ่งเป็นแฟรนไชส์อาหารจานด่วนแห่งแรกในเมืองไทย ต่อมา ในปี 1980 ก็เปิดพิซซ่า ฮัท สาขาแรกที่พัทยา ผมเป็นคนชักนำคนไทย ซึ่งชอบกินเครื่องเทศเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ให้หันมาทานพิซซ่าอย่างคึกคัก ปรากฏว่าประสบความสำเร็จมาก “พิซซ่า  ฮัท” ขยายสาขาถึงสองร้อยแห่ง ภายในเวลา 18 ปี

(การคิด การมองอะไรที่ไม่เหมือนใครนี่แหละที่เรียกว่าความคิดสร้างสรรค์ ที่เกิดจากการคิด การสังเกต  คนไทยกินอาหารฝรั่งอิตาเลี่ยนไม่เป็น แต่กินเครื่องเทศกันอยู่แล้ว  บวกกับคนไทยหรือคนชาติไหนก็แล้วแต่ หากทำร้านให้สวยๆ ดูดี มีคำฝรั่งโก้ ๆ ประดับซะหน่อย ก็ค่อย ๆ ขายได้  พิซซ่าฮัท ฟรานไชน์ จึงถูกนำมาขายในไทยด้วยความสมองใสของวิลเลี่ยม)

กระทั่งเกิดคดีความกับบริษัทไทรคอน ในปี 2000 ทำให้ต้องสร้างแบรนด์ใหม่คือ “เดอะพิซซ่า คอมปะนี” ส่วนร้านไอศกรีมสเวนเซ่นส์แห่งแรกเปิดบริการในปี 1986 และขยายสาขาไปทั่วประเทศอย่างรวดเร็ว เช่นเดียวกับไอศกรีมแดรี่ควีน, ซิซซ์เลอร์ และเบอร์เกอร์ คิง ต่อมาในปี 1991 เราได้นำบริษัทเดอะพิซซ่า จำกัด, บริษัท ไมเนอร์ คอร์ปอเรชั่น และรอยัล การ์เด้น รีสอร์ท เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศ ไทย โดยภายใต้อาณาจักรไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน)

(เป็นบทเรียนนะครับว่าธุรกิจฟรานไชน์  หากทำไป ทำไป ก็อาจมีปัญหา ถ้าฉลาดก็ต้องคิดดัดแปลง ให้ใหม่กว่า แล้วทำไปทำมาให้เป็นของตัวเอง  โอกาสก็ทำเป็นฟรานไชน์ต่อ ก็จะเจริญรุ่งเรื่อง ระยะใหม่ ๆ ที่ไม่ออกว่าจะทำอะไรดี ถ้ามีทุนก็ใช้ฟรานไชน์ไปก่อนก็เป็นทางเลือกหนึ่งในการทำมาหากินไปก่อน เก็บทุนรอนไว้ทำเองต่อไป)

ปัจจุบันมีร้านอาหารในเครือมากกว่า 1,200 สาขา ใน 18 ประเทศทั่วเอเชีย และน้องใหม่ล่าสุดก็คือ “เดอะ คอฟฟี่ คลับ” นอกจากธุรกิจอาหารแล้ว ผมยังลงทุนทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และขยายแฟรน-ไชส์โรงแรมร่วมกับกลุ่มแมริออท โดยขณะนี้มีโรงแรมในเครือมากกว่า 70 แห่ง ใน  10 ประเทศทั่วโลก อยู่ภายใต้เครื่องหมายการค้าอนันตรา, แมริออท, โฟร์ซีซั่น, เอเลวาน่า และโอคส์

ดูเหมือนจะหยิบจับอะไรก็เป็นเงินเป็นทองไปหมด

ผมเจอความล้มเหลวมามาก...แต่ ไม่ เคยกลัว!! เพราะคิดเสมอว่า หากยังมีชีวิตอยู่...คุณสามารถ เรียนรู้จากข้อบกพร่องและความผิดพลาดได้ ชีวิตผมผ่านฝันร้ายมาเยอะ การทำธุรกิจ ไม่ว่าคุณ จะมีโชคหรือมีความสามารถแค่ไหน มันก็มีวันที่จะพลาดได้ บทเรียนสำคัญที่สุดคือ เมื่อพลาดแล้วต้องไม่ย่อท้อ ต้องสู้ต่อไป  หรือหาสิ่งใหม่ๆ ที่เรามีโอกาสจะทำให้สำเร็จได้ ถ้าคุณยอมรับความล้มเหลว ก็จะพัฒนาขึ้นได้ และไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ชีวิตต้องเดินต่อไปข้างหน้า

(ท่านใดที่กำลังทำธุรกิจอยู่ก็ควรทวนอ่านคำสัมภาษณ์ข้างบนนี้สักสามรอบถ้ายังไม่เกิดปัญหาอะไรก็นับว่าเก่ง   แต่ก็อย่าวางใจ จะอยู่ได้ต่อยอดได้ต้องเรียนต้องรู้ตลอดชีวิต  หนังสือ  หนังสือพิมพ์เชิงธุรกิจ  เศรษฐกิจ ต้องอ่านทุกวัน อย่างอรหันต์ที่นอน http://ยางพาราไทย.com/   พันธมิตรคนสำคัญของผมที่อ่านแล้วบอกให้ผมช่วยมาเขียนขยายผลต่อ เพื่อขอให้บันทึกสิ่งดี ๆ ที่คิดว่าจะเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยให้คนไทยทันโลกทันคน ได้เอาไปใช้ในการทำงาน การธุรกิจ)   


ตั้งแต่บุกเบิกธุรกิจมา วิกฤตการณ์ไหน หนักหนาสาหัสที่สุด

สำหรับผม เหตุการณ์ร้ายแรงที่สุดในชีวิตคือ โศกนาฏกรรมสึนามิ เมื่อปี 1997 ตอนนั้น โรงแรมอนันตราของเรา ซึ่งอยู่ที่เขาหลัก จังหวัดพังงา พังพินาศหมด มีคนตายจำนวนมาก ทั้งพนักงานและลูกค้า มันเป็นเหตุการณ์ที่น่ากลัวมาก เหมือนอยู่ในสภาวะสงคราม ผมแทบไม่เห็นหนทางว่าจะกอบกู้โรงแรมคืนมาอย่างไร แต่ด้วยหัวใจที่แกร่งของคนไทย พวกเราสามารถลืมเลือนฝันร้ายนี้ในเวลารวดเร็ว แล้วกลับมาสู้กันใหม่  สิ่งที่ผมค้นพบจากวิกฤตการณ์หลายๆครั้งก็คือ คุณล้มได้ แต่ต้องรีบแก้ไขปัญหาเร็วที่สุด!! พยายามพลิกวิกฤติให้เป็นโอกาส ผมไม่เคยได้ยินคำว่า “คุณลงมือเร็วเกินไป” ได้ยินแต่คำว่า “ลงมือช้าเกินไป” ผู้นำที่ดีมักจะแสดงความเป็นผู้นำในยามคับขัน ที่สำคัญก็คือ การมีทีมเวิร์กเข้มแข็ง พร้อมเติบโตและพัฒนาไปกับองค์กร ดูอย่างวิกฤติการเงินยุโรปที่ยืดเยื้อมาถึงปัจจุบัน ก็เพราะรัฐบาลไม่ลงมือทำอะไรสักอย่างและปล่อยให้เหตุการณ์เลวร้ายขึ้นเรื่อยๆ ในที่สุดก็จะสายเกินเยียวยา
(ไม่ว่าองค์กรที่เรียกว่าประเทศ  หรือองค์กรที่เป็นหน่วยงานราชการเอกชน จะอยู่ที่ผู้นำ และภาวะผู้นำ ของประชาชน และบุคลากรขององค์กร  ที่รู้อดีต ปัจจุบันและหยั่งรู้อนาคตได้ และรู้ว่าควรจะทำอะไรในวันนี้ แล้วนำให้เกิดการทำที่จะทำให้เจริญก้าวหน้าในอนาคต หรือ ทำให้ปัญหาในวันนี้ เช่น ปัญหายาเสพติด ปัญหาคอรัปชั่น ปัญหาภาคใต้   ฯลฯ ลดหรือหมดไปได้ ซึ่งต้องอาศัยคนเก่งในทำนองวิธีคิดของวิลเลี่ยมเหมือนกัน  ยิ่งเป็นประเทศนั้นต้องเก่งกว่า และต้องเป็นผู้นำที่โปร่งใสไม่โกงนอกโกงในให้เห็นกันจริง ๆ)


ในฐานะนักการตลาดมือทอง ควรนำเสนออะไรเป็นจุดขายเพื่อโปรโมตเมืองไทย

เมืองไทยมีจุดแข็งอยู่ที่เรื่องการท่องเที่ยวและบริการระดับเวิลด์คลาส ยากที่ใครจะแข่งขันได้ (เป็นเรื่องจริง ที่เราภาคภูมิใจ หากเราไม่ไปเห็นในประเทศอื่นๆ…ผมเคยไปดูงานโรงเรียนที่มาเลเซียมาสองสามครั้ง  ผมว่าการต้องรับของโรงเรียนที่เชียงใหม่ เมื่อใครไปใครมา ผมก็ว่าสุดยอดแล้ว  แต่ที่ไปพบจริงๆ ที่โรงเรียนในมาเลเซีย  เขาก็ไม่ยิ่งหย่อน  แขกต่างประเทศไป นักเรียนต้องตั้งแถว  เล่นดนตรีพื้นเมืองต้อนรับตั้งแต่ประตูหน้าโรงเรียนไปจนถึงอาคารเรียน อาหารการกินก็เพียบเหมือนกัน  พูดอย่างนี้  ใครที่ไปได้ก็ขอให้หาโอกาสไปเยี่ยมเยียนประเทศเพื่อนบ้านบ้าง จะได้รู้ว่า ไอ้ที่ว่าแข็งของเรา จะเอาไอเดียอะไรมาปรับปรุงได้บ้าง)

ด้วยเหตุนี้เราจึงมีโรงแรมที่ดีที่สุดในโลก มีสายการบินยอดเยี่ยมอันดับต้นๆ จุดขายของเมืองไทยไม่ใช่เรื่องโอกาสทางธุรกิจอย่างเดียว แต่ยังมีเสน่ห์ดึงดูดผู้คนจากทั่วโลก เพราะบริการที่มาจากหัวใจ ใครก็ตามที่มาเยือนเมืองไทย ผมท้าได้เลยว่า ไม่ว่าเขาจะเป็นใครมาจากไหน ก็ได้รับการดูแลเอาใจใส่เหมือนกัน เรื่องนี้ไม่มีชาติใดในโลก สู้อัธยาศัยไมตรีจิตของคนไทยได้ ศักยภาพของเมืองไทยยังอยู่ที่ “คุณภาพของคน” ซึ่งอ่อนหวานนุ่มนวลและมีเอกลักษณ์มาก

(ประเทศอื่นๆ  ก็ควรหาโอกาสไป  เพราะเราจะได้เปรียบเทียบแล้วภาคภูมิใจกับคนไทยของเราจริงๆ ที่คนไทย ยิ้มได้ คุยได้ ผูกมิตรได้กับใครๆ ได้ง่าย ๆ  ไม่เกี่ยงว่าว่าจะเป็นชาติไหน ศาสนาอะไร คนไทยคบได้หมด)

ถามจริงๆนะคะ อะไรเป็นอุปสรรคใหญ่ขวางการพัฒนาประเทศไทย

ไม่ใช่เรื่องการเมืองหรือการแบ่งสีในสังคมไทย!! แต่อุปสรรคสำคัญคือ “สื่อ” ซึ่งมักนำเสนอภาพความขัดแย้งที่ดูรุนแรงเกินจริง!! สำหรับผมแล้ว เมืองไทยปลอดภัยที่สุดในโลก ตอนที่มีการก่อม็อบราชประสงค์ ผมไม่เคยคิดจะส่งลูกๆกลับอเมริกา เพราะรู้ว่าเมืองไทยปลอดภัยร้อยเปอร์เซ็นต์  แต่ซีเอ็นเอ็น กับบีบีซี ฉายภาพเมืองไทยไปทั่วโลก ราวกับว่า เรากำลังตกอยู่ในภาวะสงครามกลางเมือง ในความคิดของผม ถ้าไปอยู่นิวยอร์ก อาจถูกจี้ปล้นง่ายกว่าอยู่เมืองไทยซะอีก หรืออย่างช่วงที่เกิดเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่เมื่อปลายปีที่แล้ว “สื่อ” ก็นำเสนอภาพเสมือนว่า เมืองไทยจมอยู่ใต้บาดาลทั้งประเทศ ทั้งๆที่มีเพียงบางส่วนเท่านั้นที่ถูกน้ำท่วม แต่พอประโคมข่าวออก ไปแบบนี้ นักท่องเที่ยวก็หนีกระเจิงหมด ทำให้โรงแรมร้างไม่มีคนพัก ทั้งๆที่เชียงใหม่ ภูเก็ต และสมุย ยังเป็นปกติทุกอย่าง

(วิลเลี่ยมอยู่เมืองไทยตั้งแต่เล็กจนเฒ่า  จึงเข้าใจคนไทย ว่าม็อบจะตีกันตาย ก็เป็นเรื่องของเขา  เขาจะไม่ไปยุ่งเกี่ยวกับคน  ที่ไม่ไปยุ่งด้วย  ยิ่งกับชาวต่างประเทศ หากหลงเดินไปกลางม็อบ ไม่ว่าจะเป็นเสื้อสีไหน รับรองได้รับแจกข้าวกินฟรีไปเลย แถมคุ้มกันให้ด้วย 555 คนพวกนี้ตีกันไป  บางคนไม่รู้ ตายฟรี เพราะคนพวกนี้เบื้องหลังรู้จักกันทั้งนั้น วันก่อนเห็น จะตุพอน กับ สุริญะศัย  ในหนังสือพิมพ์ นั่งใกล้ ๆ แทบกอดคอ  หลายคนก็เป็นเพื่อนกันทั้งนั้นตั้งแต่สมัยเรียน  นี่คือประเทศไทยที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ที่วิลเลี่ยมเขารู้จริง)

 
จนถึงขณะนี้ “เจ้าพ่อไมเนอร์ กรุ๊ป” มีความเป็นไทยกี่เปอร์เซ็นต์

ผมโอนสัญชาติเป็นพลเมืองไทยเมื่อปี 1991 ผมอยู่เมืองไทยมาตั้งแต่อายุ 14 ปี จนทุกวันนี้อายุ 63 ปีแล้ว เรียกว่าใช้ชีวิตและทำงานอยู่เมืองไทยเกือบ 5 ทศวรรษ ภรรยาของผมเป็นอเมริกัน แต่ก็พูดภาษาไทยคล่องแคล่วมาก เช่นเดียวกับลูกชายทั้งสองคน เพราะพวกเขาเกิดและโตในเมืองไทย สำหรับครอบครัวเรา เมืองไทยคือบ้านแสนอบอุ่น

(ว่าไปแล้วประเทศไทย  ใคร ๆ ก็อยากมาอยู่  ผมอยู่เชียงใหม่ เห็นเขย สะใภ้ฝรั่งเดินแทบชนกันในห้าง  นั่งบนรถไฟเมื่อไม่กี่วันมานี้ เห็นฝรั่งถือหนังสือ How to buy land  หรือจะซื้อที่ดินในประเทศไทยได้อย่างไร  ก็จงระวังให้ดีอีกกรณีหนึ่ง  จริงอยู่เขาเอากลับบ้าไม่ได้  แต่อย่าลืมพวกฉลาด ๆ ฉกฉวยโอกาสครองแผ่นได้ จนคนไทยต้องไปรุกป่าสงวนทำมาหากิน)

จนถึงวินาทีนี้ อะไรคือความท้าทายใหม่ที่อยากทำ

ผมตอบไม่ได้จริงๆ รู้แต่ว่า เมื่อโอกาสมาถึง เราก็คว้าไว้เท่านั้นเอง ผมทำทุกอย่างด้วยแพสชั่น คือต้องรู้สึกว่ารักและอยากทำก่อน จึงจะสามารถทำงานออกมาได้ดี ถ้ามองแต่เรื่องเงินอย่างเดียว คงประสบความสำเร็จไม่ได้

(ต้องอยากก่อนจึงจะทำได้ดี อยากนั้น ต้องอยากติดต่อกันนาน ๆ  หากอยากบ้างไม่อยากบ้าง ก็จงระวัง เพราะมันอาจมาใช่อยากจริง แล้วทุ่งสิ่งก็จะพังได้เหมือนกัน)


ชีวิตนี้มีวันเกษียณไหมคะ

ผมมีแผนจะหยุด และจะหยุดเมื่อไม่สามารถทำประโยชน์ได้แล้ว!! ผมคิดว่าเมื่อคุณไม่เรียนรู้แล้ว คุณควรหยุดและลงจากตำแหน่ง ผมชอบเดินทางเพราะได้เห็นสิ่งใหม่ๆ จากนี้ไปผมคงใช้เวลามากขึ้นกับสิ่งที่รัก เช่น การสะสมรถเก่า, ขับรถแข่ง, ขับเครื่องบินส่วนตัว และดำน้ำ.

 
ทีมข่าวหน้าสตรี

ขอขอบคุณ ไทยรัฐออนไลน์ http://www.thairath.co.th/content/life/286244

ไว้ในที่นี้ด้วยครับ  จะดูต้นฉบับ ดูภาพประกอบก็คลิ๊กดูได้ในต้นฉบับข้างบนนี้

หมายเลขบันทึก: 500274เขียนเมื่อ 27 สิงหาคม 2012 15:49 น. ()แก้ไขเมื่อ 13 ธันวาคม 2012 16:26 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (1)

 "ชวนขุดทองในสมอง" ... ของ.....เจ้าของพิซซ่าคอมพานี....ท่าน(ชัด)สอนเรื่องดีดี...ให้ได้รู้ + คิด + เกิดปัญญา ....

ขอบคุณมากนะคะ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท