หลง
หอมใดแห่งมวลดอกไม้พฤกษชาติ
มิอาจหอมเท่ากลิ่นแก้มน้อง
เพลงพริ้วเพราะเสนาะทำนอง
หรือกล้าลองเจรจาเสียงสำเนียงนาง
งามรูปวิจิตรแห่งจิตรกรเอก
ต่างเสกสรรปั้นแต่งแข่งอวดอ้าง
เพียงพบเจอเอวองค์อนงค์สล้าง
ภาพหมู่นางต่างมองพร้อมเขินอาย
หรือเทวีองค์ใดมากำเนิด
ถึงบรรเจิดเพริศพริ้งเกินใครหมาย
มาสำแดงอิทธิฤทธิ์นิมิตรกาย
ให้ใจชายชม้ายมองจ้องเนื้อนวล
ไม่อาจอ้างอุปมาใดมาเปรยเปรียบ
หาสิ่งเทียบในโลกหล้ามากำสรวล
ชาวมายาต่างพากันคร่ำครวญ
ใจเซซวนด้วยความหลงอวิชชา
ลืมหลงไปภายในคือไฟร้อน
ที่กัดกร่อนซ่อนเร้นเป็นตัณหา
พร้อมกวัดแกว่งแปลงร่างพลางเวลา
หมดศรัทธาด้วยหมายมั่นจะปั้นดาว
หอมใดแห่งมวลพฤกษชาติ
มิอาจซ่อนเร้นกลิ่นเนื้อสาว
มัวหมองด้วยกลิ่นคลุ้งคาว
เพลงกล่อมดาวกลับประหม่าด้วยอาลัย
หมดงามรูปภายนอกแห่งจิตรกรเอก
คลายคาถาเสกสมอารมณ์ให้
เคยปั้นดาวดวงนี้เลิศกว่าใคร
อำลาไกลด้วยมองเห็นเป็นอนิจจา
อนิจจาลาแล้วน้องแก้วพี่
วาสนามีคงประสบชาติภพหน้า
แก้มเคยหอมกลบเกลื่อนเปื้อนน้ำตา
โบกมือลาด้วยพระธรรมประจำใจ
...........
เขียนในวันหนึ่งที่บรรยากาศสวยสดใส ชานกรุง
18 สิงหาคม 2555
ใช้ถ้อยคำอ่อนหวาน นุ่มนวล ละมุนละไม อ่านแล้วเย็นจิตเย็นใจ เคลิ้มเหมือนกันนะ แต่ตอนจบเศร้าหน่อย ขอให้คนเขียนเข้มแข็งนะครับ
ใช้ถ้อยคำอ่อนหวาน... นุ่มนวล... ละมุนละไม... อ่านแล้วเย็นจิตเย็นใจ...เหมืนที่ ผอ. ชยันต์ บอก... "มันก็น่าหลงอยู่นะคะ???"
ขอบคุณมากนะคะที่แบ่งปันข้อมูลดีดีให้อ่าน
มาอ่านบทกวีนี้ในเวลาที่ฝนโปรยเม็ด มืดครึ้มค่ะ :)
อ่านจบแล้ว เห็นคล้อยตาม และปลงไปด้วยครับ คุณ พ.แจ่มจำรัส
ชอบสรุปมากๆ .... "โบกมือลาด้วยพระธรรมประจำใจ"
บทกวีที่ละเมียดละไม...และบทเพลงที่แสนไพเราะ...แต่เช้าเลยครับ...จนต้องรีบไปมองท้องฟ้า...ขอบคุณครับ
ขอบคุณมากครับ
ชลัญธร
วอญ่า-ผู้เฒ่า-natachoei--
ขอบคุณดอกไม้ทั้งสองท่าน
วี๊ดวิ้วว ครับผม ;)...
ขอบคุณอ.วัส Wasawat Deemarn ที่ให้เกียรติ์มา วิ๊ด วิ้ววว ครับ...
|