แม่ของฉัน


เล่าเรื่อง..เนื่องในวันแม่

 

“ถึงพ่อกับแม่จะเลิกกันก็เป็นเรื่องของผู้ใหญ่ เจี๊ยบกับ โจ้มีหน้าที่เรียนหนังสือก็ตั้งใจเรียนไป”

            แม้ว่าตอนนั้นฉันจะอายุเพียงแค่สิบปี แต่ก็คิดว่าตัวเองตัดสินใจไม่ผิดเมื่อลุงทนาย(นายสุธี ภูวพันธ์) มาถามฉันและน้อง

“อยากให้พ่อกับแม่อยู่ด้วยกันหรือแยกกันอยู่”

 “อยากให้แยกกันดีกว่าค่ะ...”ฉันตอบออกไปโดยไม่ต้องคิด

              “ถ้าพ่อกับแม่เลิกกัน จะเลือกอยู่กับใคร” ลุงทนายถามต่อ

               “อยากอยู่กับแม่ค่ะ ตอนนี้หนูอยากไปหาแม่”

            ลุงทนายกลับไปนานแล้ว แต่ฉันกับน้องยังนั่งคุยกันอยู่ เราไม่รู้เรื่องอะไรมากนัก แต่ไม่ได้เห็นหน้าแม่มานานเป็นเดือน พี่เลี้ยงที่ช่วยทำงานบ้านบอกว่าแม่ถูกยิงตอนนี้นอนอยู่ที่โรงพยาบาลในตัวจังหวัด อยากไปหาแม่ใจแทบขาด แต่ก็ไม่รู้ว่าโรงพยาบาลนี้มันไกลจากบ้านที่ฉันอยู่แค่ไหน

“เจี๊ยบ เขาคิดถึงแม่” น้องชายคนกลางพูดกับฉัน

“อืมม  เขาก็คิดถึงเหมือนกัน”

เวลาผ่านไปอีกเกือบเดือนก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะได้ไปเยี่ยมแม่ พ่อซื้อจักรยานสีม่วงคันใหม่ให้หนึ่งคัน “จะได้หายคิดถึงแม่” พ่อบอกแบบนั้น ฉันปั่นไปโรงเรียนทุกวัน ถึงแม้ว่าบ้านจะอยู่แค่หน้าประตูโรงเรียน และมันก็ทำให้ฉันหายคิดถึงแม่ได้จริงด้วย  น่าเสียดายที่มีโอกาสชื่นชมไม่ถึงสองอาทิตย์ ก็ต้องตัดใจ..ทิ้งมันไป

“เจี๊ยบ โจ้ เดี๋ยวยายจะพาไปหาแม่ที่โรงพยาบาลนะ” ยายเช่ารถยนต์มาจากในตัวเมืองเพื่อมาขโมยตัวฉันและน้อง ในขณะที่ไปโรงเรียน ฉันยังไม่ทันได้บอกลาเพื่อนในห้องสักคนเดียว

“จักรยานเจี๊ยบเหลา” ฉันถามยายพร้อมคิดถึงจักรยานที่จอดรอฉันอยู่

“ไม่เป็นไร เดี๋ยวยายซื้อให้ใหม่ ตอนนี้รีบไปก่อน เดี๋ยวพ่อมา แล้วจะไม่ให้เราไปหาแม่”

“แล้วไก่ล่ะยาย” ฉันถามถึงน้องชายคนเล็กที่ยังไม่เข้าเรียน

“ไปสองคนก่อน ยายเข้าบ้านไปเอาไก่มาไม่ได้” 

 

          ยายพาเราสองคนไปหาแม่ที่โรงพยาบาลในตัวจังหวัด ยายบอกว่าแม่ถูกผู้หญิงคนใหม่ของพ่อยิง กระสุนโดนโคนขาขวา หมอว่าเฉี่ยวเส้นเลือดใหญ่ไปนิดเดียว แม่เกือบถูกฆ่าตาย แต่ยังได้สติร้องขอให้คนแถวนั้นช่วยหารถพามาส่งที่โรงพยาบาลนี้  จริงๆแล้วแม่มีบ้านเดิมอยู่ในตัวเมือง ญาติพี่น้องต่างอยู่ที่นี่กันเกือบหมด แต่แม่ไปเป็นครูที่อำเภอสังขะซึ่งห่างออกไปประมาณห้าสิบกิโลเมตรตั้งแต่เป็นสาวจนได้แต่งงานกับพ่อ มีลูกด้วยกันสามคนและตั้งรกรากอยู่ที่โน่น

            ฉันเดินตามยายเข้าไปในห้องพิเศษ อาคารสอง โรงพยาบาลสุรินทร์ เจอแม่นอนอยู่บนเตียงคนไข้ แม่ดูแปลกตาไปจากเดิมมาก ไม่รู้ว่ามีเชือกอะไรห้อยระโยงรยางค์อยู่เต็มไปหมด ตั้งแต่เหนือเตียงจนถึงท้ายเตียง แถมมีเชือกผูกถุงทรายห้อยออกมาจากขา ที่มีเหล็กเจาะเสียบคาอยู่ ดูน่ากลัวจนฉันไม่กล้ามอง “มานี่สิ ไม่ต้องกลัว” แม่เรียกให้ฉันเข้าไปหา

          “แม่ขาหัก หมอกำลังต่อกระดูกให้ แม่ต้องนอนที่นี่นานเป็นปี เดี๋ยวเจี๊ยบ โจ้ก็ย้ายมาอยู่ที่นี่เลย แม่หาโรงเรียนใหม่ให้แล้ว”

           ฉันเลยได้ย้ายเข้ามาเรียนในเมืองตั้งแต่ประถมศึกษาปีที่สี่ในช่วงกลางปี รั้วโรงเรียนอยู่ติดกับรั้วโรงพยาบาล ฉันจึงเดินไปโรงเรียนเองได้อย่างสบาย ด้านหลังของโรงพยาบาลจะมี “สระโบราณ” ที่ดูน่ากลัว เวลาเดินผ่านสระนี้ทีไรจะต้องรีบวิ่งผ่านไปอย่างเร็วเพราะยายบอกว่า “อย่าเข้าไปใกล้สระนี้นะ ที่นี่จะศักดิ์สิทธิ์มาก ขนาดเครื่องบินหรือนกบินผ่าน ยังตกลงมาได้” ฉันก็กลัวว่าถ้าเดินเข้าไปใกล้จะถูกสระดูดเข้าไปบ้าง

           “แม่ ขอตังค์สองบาท เจี๊ยบอยากกินขนม” ฉันเรียกแม่มาจากชั้นล่างของอาคารเรียน แม่ออกมาจากโรงพยาบาลเมื่อเดือนก่อน แต่ยังเดินเองไม่ได้ ต้องใช้ไม้เท้าพยุงสองข้าง พวกเราสามคนย้ายไปอยู่กับป้า แม่ได้มาสอนในโรงเรียนเดียวกับที่ฉันเรียนอยู่

“วันนี้แม่ไม่มีเงินเลย เดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยกินนะ” ฉันกำลังจะอ้าปากพูดว่าฉันหิวขนมจริงๆ แต่เห็นแม่น้ำตาไหล เลยไม่อยากกวนใจ จึงออกไปวิ่งเล่นกับเพื่อนแทน มารู้ทีหลังว่าวันนั้นแม่ใช้ให้น้าชายลูกพี่ลูกน้อง เอาสร้อยทองไปจำนำเพื่อจะได้มีเงินให้ฉันกินขนม แต่น้าชายเอาเงินที่ได้หนีไปอีก จะไปตามหาที่ไหนก็เดินไม่สะดวก ต้องปล่อยเลยตามเลย ฉันก็พลอยอดกินขนมไปหลายวัน
             ...
           “แม่ เจี๊ยบสอบได้เจ็ดสิบเก้าเปอร์เซ็นต์” ฉันถือสมุดประกาศคะแนนสอบที่ได้จากครู ให้แม่ที่กำลังนอนอยู่ในโรงพยาบาลเพื่อผ่าตัดอีกรอบดู  แม่ยิ้มกว้าง เอามือลูบหัวฉัน

          “เก่งมาก ตั้งใจเรียนนะ เดี๋ยวแม่ออกจากโรงพยาบาลครั้งนี้แม่จะย้ายกลับไปสังขะแล้วนะ เจี๊ยบกับโจ้ต้องอยู่เรียนในเมือง วันเสาร์ อาทิตย์ค่อยกลับไปหาแม่ ถึงพ่อกับแม่จะเลิกกันก็เป็นเรื่องของผู้ใหญ่ เจี๊ยบและน้องมีหน้าที่เรียนหนังสือก็ต้องตั้งใจเรียนนะ

            “โจ้ ร้อนจนน่ะ เขานอนไม่หลับเลย” ฉันบอกน้องชายในคืนหน้าร้อนวันหนึ่ง ขณะนอนในมุ้งที่บ้านป้าในเมือง ฉันเคยบอกแม่ว่าเวลานอนตอนกลางคืนร้อนมาก แม่บอกให้อดทน แม่มีเงินไม่มากนัก เงินเดือนแต่ละเดือนก็ถูกหักหนี้สหกรณ์ไปเกือบหมด ป้าก็มีลูกถึงสามคนคงจะลำบากเหมือนกัน

“งั้นเดี๋ยวเขาทำพัดลมให้นะ” น้องชายลุกออกจากมุ้งไปเอามอเตอร์เล็กในเรือของเล่น ที่ซื้อมาจากงานช้างเมื่อปีก่อน มาประกอบกับใบยางอินเดีย ยังไงก็ไม่รู้ รู้แต่ว่ามันกลายเป็นพัดลมขนาดเล็ก แล้วเอามาผูกกับเพดานมุ้ง นั่นเป็นพัดลมเครื่องแรก ที่ฉันไม่มีวันลืม

แม่ย้ายไปสอนหนังสือที่โรงเรียนใกล้บ้านและแย่งน้องชายคนเล็กมาจากพ่อหลังจากที่ลุงทนายคนนั้นช่วยให้ฟ้องหย่าได้สำเร็จ แม่ส่งเสียเลี้ยงดูให้ฉันและน้องได้เรียนในโรงเรียนประจำจังหวัด  ฉันและน้องยังคงอยู่ในตัวเมือง เวียนไปอยู่บ้านป้า บ้านน้า บ้านยายบ้างสลับกันไป  พ่อไม่ได้กลับมาบ้านอีกเลย  แม่ต้องทำหน้าที่เป็นแม่และพ่อไปพร้อมๆกัน เวลาที่โรงเรียนแม่เขามีจัดนำเที่ยวทัศนาจร ประจำปีแม่ก็จะพาลูกทั้งสามคนไปเที่ยวแทบทุกครั้ง ครั้งแรกที่เราเห็นทะเล กลัวแทบแย่  ทะเลเป็นสระน้ำขนาดใหญ่โต แถมยังวิ่งไล่เราได้ด้วย แม่หัวเราะชอบใจเมื่อเห็นฉันและน้องวิ่งหนีคลื่นทะเล  แม่จับมือชวนเราเดินลงไปบนหาดทรายจนเราเลิกกลัวและเพลินกับการเล่นน้ำ ไม่ทันได้ดูว่าน้ำเริ่มมีระดับสูงขึ้นเรื่อยๆ  แม่นั่งคอยอยู่ที่ฝั่งหันมาอีกทีเห็นว่าเราอยู่ไกลมากแล้ว ตะโกนเรียกด้วยความตกใจ ร้องขอความช่วยเหลือให้คนลงไปเอาเราทั้งสามคนขึ้นมาให้หน่อย

ทุกครั้งเมื่อถึงวันศุกร์ฉันจะดีใจมากเพราะวันนี้ฉันจะได้กลับบ้านที่สังขะ ไปอยู่กับแม่ แม่ชอบทอดปลาทูให้กิน อาจเป็นเพราะแม่ไม่มีเงินซื้ออาหารอย่างอื่นให้กิน ปลาทูทอดกับข้าวสวยอุ่นจากหม้อข้าวเป็นอาหารโปรดประจำบ้าน ความสุขของฉันช่างสั้นเหลือเกิน เพราะว่าถึงวันอาทิตย์เมื่อไหร่ ใจฉันก็จะห่อเหี่ยวทั้งวันเพราะรู้ว่าต้องออกไปอยู่ที่อื่นอีกตั้งหลายวัน แม่ขี่มอเตอร์ไซด์มาส่งฉันที่ท่ารถในเย็นวันอาทิตย์ มาถึงบ้านป้ามักจะได้ยินเสียงเพลงเคารพธงชาติและรายการสยามมานุสติที่ลุงชอบฟัง ฉันเกลียดรายการวิทยุในช่วงเย็นวันอาทิตย์เข้ากระดูกดำ มันทำให้ใจที่ห่อเหี่ยวอยู่แล้วยิ่งเศร้าไปกันใหญ่ จนถึงมัธยมปีที่สี่

“แม่ เจี๊ยบขอนั่งรถบัสไปเช้ากลับเย็นได้ไม๊  ไม่อยากอยู่ในเมืองแล้วน่ะ” แม่พยักหน้าอนุญาต แม้ว่าเดินทางไปโรงเรียนแต่เช้ากลับมืด จะทำให้ฉันเหนื่อยและมีเวลาทำการบ้านน้อยกว่าอยู่ในเมือง แต่ก็ดีกว่าการทนต่อสู้กับความคิดถึงแม่ตลอดทั้งสัปดาห์

“เจี๊ยบ ตื่นได้แล้ว เดี๋ยวไม่ทันรถ” แม่ตะโกนปลุกฉันจากชั้นล่างตอนตีห้า  ฉันงัวเงียเดินออกจากห้องนอนและเหยียบบันไดพลาด ทำให้ตกลงมาถึงชั้นล่าง แม่ตะโกนสุดเสียง  “ลู๊ก เป็นไรมั้ย”

ฉันยังงัวเงียเหมือนเดิม เหมือนยังไม่ตื่น แม่หัวเราะ “โธ่เอ๊ย ห่วงแทบแย่ ยังไม่ยอมตื่นอีก”  และให้ไปอาบน้ำ แต่งตัว เตรียมไปโรงเรียน

“จะไม่ทันรถอยู่แล้ว มาขึ้นรถเร็ว แม่จะรีบไปส่ง นั่งกินข้าวบนมอเตอร์ไซด์ไปเลย” แม่เรียกฉันพร้อมยื่นจานข้าวที่เตรียมไว้ทุกเช้าให้นั่งกินขณะซ้อนท้ายเพื่อ ไปขึ้นรถบัสเที่ยวหกโมงเช้า

... จนกระทั่งฉันจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่หก

“ เจี๊ยบไปสอบเรียนต่อเป็นพยาบาลให้แม่หน่อย ถ้าสอบได้แล้วไม่เอาก็ไม่เป็นไร” แม่แนะนำฉัน แม้จะรู้ว่าฉันไม่ชอบวิชาพยาบาลและสอบติดมหาวิทยาลัยขอนแก่นในคณะที่ตัวเองชอบแล้ว ฉันไม่ชอบใจนักแต่ก็ลองไปสอบให้แม่สบายใจ

“สอบติดทุนพยาบาลแล้วก็ไปเรียนให้แม่หน่อยนะ แม่ไม่มีเงินส่งเรียน” ฉันร้องไห้อยู่สองวันที่ถูกแม่บังคับ แม่หลอกให้ฉันไปสอบ แล้วยังจะให้ไปเรียนอีก แต่ก็ยอมทำตามแต่โดยดีเพราะไม่มีทางเลือกมากไปกว่านี้ คำว่า “ไม่มีเงินส่งเรียน” มันเป็นเหตุผลที่ยิ่งใหญ่ที่ใครก็ช่วยฉันไม่ได้

ตลอดสี่ปีที่เรียนวิชาพยาบาล ฉันไม่ตั้งใจเรียนมากนัก บอกกับตัวเองว่าเรียนแค่ให้ผ่านก็พอแล้ว แบ่งเวลาไปทำกิจกรรมอื่นบ้างแม่ก็ไม่ได้ว่าอะไร

“เจี๊ยบบอกแม่แล้วว่า อย่าให้เจี๊ยบเรียนพยาบาลแม่ก็ไม่เชื่อ ...” เมื่อจบออกมาฉันได้บรรจุและทำงานในโรงพยาบาลที่บ้าน  แม่ต้องตื่นกลางดึกเพื่อเปิดประตูบ้านรอรับฉันลงจากเวรบ่าย ฉันเจอเรื่องราวมากมายในแต่ละวันที่ทำให้เจ็บปวดใจ ฉันจะเล่าให้แม่ฟังเกือบทุกคืน แม่นั่งพิงฝาบ้านดูฉันร้องไห้  โวยวาย จนกว่าฉันจะเหนื่อยและง่วงนอน  แล้วแม่ก็จะบอกว่า

 “ถ้าง่วงก็ไปนอนซะ มีอะไรก็อดทนไว้ เดี๋ยวก็จะชิน ตอนนี้แม่ทำอะไรไม่ได้ น้องๆยังไม่จบ แม่ต้องส่งน้องเรียน เจี๊ยบก็ทำงานใช้ทุนเขาไปก่อน ถ้าใช้หมดแล้วจะลาออก แม่ก็ไม่ว่าอะไร อยากเรียนอะไรเดี๋ยวก็ค่อยไปเรียน” ซึ่งมันทำให้ฉันอึดอัดใจเป็นที่สุด

...

              สิบสองปีผ่านไป ฉันแต่งงานมีลูกหนึ่งคน  น้องชายทั้งสองคนเรียนจบได้อาชีพการงานที่ดี ทำงานอยู่ต่างจังหวัด คนกลางเรียนเก่งเกี่ยวกับการคำนวณจึงได้เป็นวิศวกร (ฉันยังจำพัดลมของเขาได้)  คนเล็กเป็นสัตวแพทย์ ฉันเองยังเป็นพยาบาลเหมือนเดิม แต่เปลี่ยนมาทำงานด้านชุมชนที่ดูจะเหมาะกับตัวเอง มีความสุขระดับหนึ่ง ส่วนแม่เกษียณราชการออกมาแล้ว ความเป็นอยู่ของบ้านเราดีขึ้นมาก ก่อนที่แม่จะเกษียณแม่ได้รับรางวัลครูดีเด่นหลายปีติดกัน ฉันชวนแม่ออกมาทำงานให้กับหมู่บ้าน แม่จึงกลายมาเป็นอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน เป็นกรรมการผู้สูงอายุ เราช่วยกันทำงานจนพัฒนาชมรมผู้สูงอายุที่แม่เป็นกรรมการได้รับรางวัลชมรมผู้สูงอายุดีเด่น ระดับประเทศ ส่วนตัวแม่เองก็ได้เป็นอาสาสมัครสาธารณสุขดีเด่นระดับจังหวัด  เป็นผู้สูงอายุดีเด่นแห่งชาติและรางวัลอื่นอีกมากมาย  มีรุ่นน้องของแม่(อาจารย์ฉัตรชัย  ชุมนุม) บอกฉันว่า

             “รู้จักพี่สงบ พิศวง เพราะเป็นครูสังขะด้วยกัน พี่สงบเป็นคนสวยและเก่ง ใครๆก็รู้จัก เมื่อเป็นครูก็เป็นครูที่สอนเก่ง มีวิทยฐานะสูงก่อนเพื่อน พี่สงบใจดีต่อน้องเสมอ”

ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไร กระนั้นแม่ก็ยังไม่ลืมสัญญา แม่ถามฉันว่า

“เจี๊ยบ อยากเรียนต่อมั้ย เรียนวิชาอื่นที่เจี๊ยบชอบน่ะ แม่จะจ่ายค่าเทอมให้เองและจะช่วยดูลูกให้”  ฉันจึงได้ไปเรียนต่อระดับปริญญาโท และสำเร็จใช้เวลาประมาณสามปี  ก่อนจบแม่ยังถามอีกว่า

“จะเรียนอะไรต่ออีกมั้ย อะไรที่อยากเรียน อะไรที่ชอบก็เรียนเลย”

“มันใช้เงินเยอะเกือบล้านเลยนะแม่” ฉันบอก เพราะใจอยากเรียนต่อปริญญาเอก

“เยอะแค่ไหนแม่ก็จะส่งให้เรียน เดี๋ยวแม่ดูลูกให้เอง ไปหาที่เรียนต่อเลย” ฉันไม่รอช้ารีบหาที่เรียนอย่างที่ตัวเองตั้งใจ ทุกคำพูดที่แม่ให้สัญญา แม่ไม่เคยลืม

ถึงแม้ว่าฉันจะเรียนจบ ก็ไม่ได้หมายความว่าสัญญาของแม่จะสิ้นสุด ความรักของแม่ยังคงอยู่รอบตัวฉันมากมาย แม่เป็นคนเก่ง และแกร่ง ทุกปัญหาของแม่จะมีทางออกเสมอ แม่ไม่เคยยอมแพ้หรือหวั่นกลัวต่อสิ่งใด  ชีวิตส่วนที่ขาดหายไปของฉัน ถูกเติมเต็มทำให้สมบูรณ์เหมือนใครเขาด้วยความรักของแม่ การเรียนต่อทั้งสองครั้ง ไม่ใช่เพื่อหนีออกจากพยาบาล อาชีพแรกที่แม่เลือกให้ แต่เป็นการเรียนที่จะทำให้ฉันสร้างประโยชน์กับบ้านเกิดได้มากขึ้น ให้คนเขาพูดได้ว่า..

“เพราะแม่เขาสั่งสอนมาดี”     และ   “เพราะฉันเป็นลูก...ของแม่”

คำสำคัญ (Tags): #แม่
หมายเลขบันทึก: 498457เขียนเมื่อ 13 สิงหาคม 2012 10:50 น. ()แก้ไขเมื่อ 13 สิงหาคม 2012 19:06 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (2)

มีโอกาส ทางสมาคมลูกจ้างสาสุขฯ จะไปเยี่ยมสังขละบ้าง

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท