หน้าแรก
สมาชิก
ห้องสมุดกรมบัญชีก...
สมุด
สรุปข่าวประจำวันข...
โยนหินถามทางขึ้นแ...
ห้องสมุดกรมบัญชีกลาง CGD Library
สมุด
บันทึก
อนุทิน
ความเห็น
ติดต่อ
โยนหินถามทางขึ้นแวต 10% 'ทนง' แลกลด นิติบุคคลยาหอมดึงทุนต่างชาติ
โยนหินถามทางขึ้นแวต 10% 'ทนง' แลกลด นิติบุคคลยาหอมดึงทุนต่างชาติ
นายทนง พิทยะ รมว.คลัง เปิดเผยภายหลังเป็นประธานเปิดงานเสวนาเรื่อง
“
จุดเปลี่ยนเศรษฐกิจไทย : มิติ
เชิงนโยบายเศรษฐกิจ
”
ที่จัดโดยสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ว่า ได้มอบนโยบายให้ สศค. ไปศึกษาถึงภาวะเศรษฐกิจของประเทศไทยในอีก
20
ปีข้างหน้าว่าจะเป็นอย่างไร ก็ได้รับคำตอบว่า ในแง่อัตราการขยายตัว
เศรษฐกิจไทยจะอยู่ในระดับเฉลี่ย
5.5%
และมีมูลค่าของผลิตภัณฑ์ มวลรวมภายในประเทศหรือจีดีพี อยู่ที่
26
ล้าน
ล้านบาท จากปัจจุบันอยู่ที่
7
ล้านล้านบาท โดยคาดว่ารายได้ประชากรจะอยู่ที่
400,000
บาทต่อหัวต่อปี จาก
120,000
บาท แต่ประเด็นอยู่ที่ว่า ภายใต้การเปลี่ยนแปลงของโลกจะทำอย่างไรให้ระดับเศรษฐกิจมีการเติบโต
ระดับที่ประเมินได้
“
ตัวเลขข้างต้นถือเป็นสิ่งที่น่าสนใจ เพราะมีการเติบโตค่อนข้างมาก หากสามารถทำได้ตามที่
คาดการณ์ถือว่าประเทศไทยจะไม่ใช่ประเทศที่กำลังพัฒนาอีกต่อไป ที่สำคัญหากเติบโตได้ในระดับนี้
โครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศต้องมีการเปลี่ยนแปลงไปแน่นอน โดยประเมินว่า รายได้ของภาคเกษตร
จะไม่
ปรับตัวเพิ่มขึ้น อยู่ที่ระดับ
7.5%
ของรายได้ประชาชาติ รายได้ภาคอุตสาหกรรมจะปรับตัวลดลงอยู่ที่ระดับ
37.5%
และรายได้ภาคบริการจะปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็น
55%
จากปัจจุบัน
44%”
ทั้งนี้ หากรัฐบาลไม่มีความคิดแบบเบ็ดเสร็จ จะทำให้เศรษฐกิจเติบโตในระดับดังกล่าวได้ยาก และอาจทำให้ประสบปัญหาวิกฤติได้อีก เนื่องจากประเทศไทยอ่อนแอทั้งด้านเทคโนโลยี และการศึกษา ฉะนั้น จึงต้องพัฒนา
ระบบการเงินการคลังให้ดีขึ้น ซึ่งในการประชุมความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศในคาบสมุทรเอเชีย
แปซิฟิกหรือเอเปค ได้แสดงความกังวลเรื่องระบบการจัดเก็บภาษีประเทศที่กำลังพัฒนา เพราะส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับการจัดเก็บภาษีนิติบุคคล บุคคลธรรมดาและภาษีนำเข้าเป็นหลัก แต่เมื่อโลกเปลี่ยนแปลงไป โดยมีการเปิดเสรีหลายด้าน ทำให้ภาษีนำเข้าลดลง เพราะมีการทำสัญญาทวิภาคีเรื่องการค้าและการลงทุนมีมากขึ้น
สำหรับสิ่งที่กระทรวงการคลังต้องเร่งดำเนินการมีด้วยกัน
2
ด้าน คือ
1.
การขจัดปัญหาความยากจน
ด้วยการวางกรอบงบประมาณรายจ่ายให้เหมาะสม โดยลดงบสนับสนุนรัฐวิสาหกิจและนำงบประมาณไปช่วยคน
จน ส่วนงบอุดหนุนรัฐวิสาหกิจที่หายไปจะชดเชยด้วยการแปรรูป และให้เอกชนเข้ามามีส่วนร่วมบริหาร เพื่อลดภาระของรัฐบาลและทำด้วยความโปร่งใส ซึ่งเป็นสิ่งที่ประชาชนต้องการ จึงหนีไม่พ้นเรื่องการแปรรูป
2.
การปรับปรุง
โครงสร้างภาษี เพื่อขีดความสามารถในการแข่งขัน ซึ่งปัจจุบันภาษีเงินได้นิติบุคคลของไทยอยู่ที่
30%
แต่เมื่อหัก
ลดหย่อนแล้ว เอกชนเสียภาษีจริงเพียง
17%
ซึ่งสูงกว่าประเทศอื่นหรือไม่
เป็นประเด็นสำคัญต่อการตัดสินใจเข้าลงทุนของต่างชาติ จึงต้องศึกษาว่าหากจัดเก็บรายได้ได้น้อยลง จะมีรายได้ภาษีตัวใดมาทดแทน
“
ยกตัวอย่าง
ประเทศแถบยุโรปลดภาษีนิติบุคคล โดยเพิ่มอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มแทน ประเทศญี่ปุ่นเริ่มรู้ตัวว่ารายได้จากภาษี นิติ
บุคคลไม่เพียงพอ ก็คิดหาเพิ่มอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มจากปัจจุบันอยู่ที่
5%
จะเพิ่มเป็น
10%
ในส่วนของไทยนั้นปัจจุบันจัดเก็บ
7%
เป็นตัวเลขที่มหัศจรรย์ที่สุด ขึ้นก็ไม่ได้ ลดลงก็จัดเก็บรายได้ไม่เข้าเป้า แต่ในฝั่งภาษีเงินได้
นิติบุคคลนั้น ในที่สุดแล้วต้องปรับลดลงเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน
”
นายทนงกล่าวต่อว่า การขึ้นอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มจาก
7%
ปัจจุบันถือเป็นเรื่องยาก แต่ในอนาคตก็ต้องเพิ่ม แต่จะเป็นเมื่อไหร่นั้น ยังตอบไม่ได้ เพราะการศึกษาเรื่องนี้ มองไปในอนาคตถึง
20
ปี ลองพิจารณาว่า ปัจจุบันรายได้จากภาษีเงินได้ นิติบุคคลทั้งหมด ประมาณ
40%
มาจากบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ประมาณ
500
บริษัท ส่วนที่เหลืออีก
60%
มีบริษัทที่เสียภาษีมากถึง
600,000
บริษัท ซึ่งสัดส่วนต่างกันมาก จึงทำให้รัฐบาล
พยายามลดต้นทุนให้กับบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์มากกว่า เพราะบริษัทเหล่านี้มีธรรมาภิบาล
จึงทำ
ให้มองว่ามาตรการภาษีเป็นเหมือนฝนตกไม่ทั่วฟ้า
ขณะที่นายโฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ ประธานกรรมการบริหารธนาคารกรุงเทพ กล่าวว่า จุดเปลี่ยนสำคัญ
ในแง่นโยบายคือ การใช้นโยบายเศรษฐกิจแบบคู่ขนาน ที่พึ่งพาภาคการส่งออกและการใช้ จ่ายในประเทศ
แต่เมื่อปี
ที่แล้วและปัจจุบัน การพึ่งพาการใช้จ่ายในประเทศลดน้อยลง ขณะที่ภาคการส่งออกมีสัดส่วนมากขึ้น
กรณีนี้น่าสนใจ เพราะไม่มีประเทศกำลังพัฒนาไม่พึ่งพาการส่งออก ขณะที่ประเทศที่พัฒนาแล้วอย่างสหรัฐฯ
ที่ใช้การบริโภคในประเทศดันเศรษฐกิจ ยังไม่แน่ใจว่า จะใช้นโยบายเศรษฐกิจคู่ขนานได้นานแค่ไหน
“
สาเหตุที่การ
กระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการบริโภคทำได้ไม่นาน เพราะมีข้อจำกัดด้านหนี้สินครัวเรือน และการใช้จ่ายภาครัฐ
ที่มากจะทำให้เกิดปัญหาขาดดุลงบประมาณ และจะทำให้มีการขาดดุลตัวอื่นตามมา ส่งผลต่อเสถียรภาพ
เศรษฐกิจ และดีใจที่คำว่าเศรษฐกิจคู่ขนานเริ่มหายไปแล้ว
”
ไทยรัฐ 12 ก.ย. 49
เขียนใน
GotoKnow
โดย
ห้องสมุดกรมบัญชีกลาง CGD Library
ใน
สรุปข่าวประจำวันของห้องสมุดกรมบัญชีกลาง
คำสำคัญ (Tags):
#นโยบายเศรษฐกิจ
หมายเลขบันทึก: 49824
เขียนเมื่อ 13 กันยายน 2006 07:05 น. (
)
แก้ไขเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2012 15:53 น. (
)
สัญญาอนุญาต:
จำนวนที่อ่าน
จำนวนที่อ่าน:
ความเห็น (0)
ไม่มีความเห็น
ชื่อ
อีเมล
เนื้อหา
จัดเก็บข้อมูล
หน้าแรก
สมาชิก
ห้องสมุดกรมบัญชีก...
สมุด
สรุปข่าวประจำวันข...
โยนหินถามทางขึ้นแ...
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID
@gotoknow
สงวนลิขสิทธิ์ © 2005-2023 บจก. ปิยะวัฒนา
และผู้เขียนเนื้อหาทุกท่าน
นโยบายความเป็นส่วนตัว (Privacy Policy)
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท