บางคนเจอกับกับความบังเอิญที่ดีมีความรู้สึกดีๆ ประทับใจกับความบังเอิญที่ได้เจอ แต่!!!! บางคนก็เจอกับความ เจ็บปวดรวดร้าวใจเหลือจะทนกับความบังเอิญหลายๆอย่างที่พบเจอในชีวิต
ผู้เขียนเองได้มีโอกาสเจอกับความบังเอิญเช่นกัน ในครั้งนี้เป็นความบังเอิญที่ผู้เขียนรู้สึกอิ่มใจและมีความสุขมากที่ได้ทำความบังเอิญนี้ให้ลงตัวจนได้เห็นรอยยิ้มของหลาย ๆ คน ซึ่งทุกอย่างเกิดจากการที่ตัวผู้เขียนได้เข้าร่วมอบรมโครงการคัดกรองสุขภาพผู้สูงอายุ ในชุมชนแห่งหนึ่งที่อยู่ห่างจากตัวอำเภอพอสมควร การอบรมดำเนินไปจนถึงวันสุดท้าย(ใน 3 วัน) และเป็นช่วงเวลาบ่ายที่ใกล้จะปิดการอบรมแล้ว ทีมวิทยากรเริ่มเปลี่ยนบรรยากาศการอบรม หลังจากที่ให้เนื้อหาสาระต่างๆมากมาย กับผู้เข้าอบรม เพื่อให้บรรยากาศ คลื่นเครงและดูอบอุ่นเป็นกันเองกับผู้สูงอายุที่มาร่วมโครงการ ทีมวิทยากรใช้วิธีการพาผู้สูงอายุรำวงเพื่อออกกำลังกาย โดยนักกายภาพบำบัดเป็นผู้ในการรำวงออกำลังกาย
ผู้เขียนเองก็ร่วมกิจกรรมด้วย จากการสังเกตผู้สูงอายุดูจะถูกใจและมีความสุขกับกิจกรรมนี้มากเป็นพิเศษ ใบหน้าของทุกคนเปื้อนรอยยิ้มที่มองแล้วรู้สึกได้ถึงความอิ่มเอมใจ จนผู้เขียนเองก็อดที่จะยิ้มตามไม่ได้ ในขณะที่ร่วมกิจกรรมก็กวาดสายตาไปรอบๆเพื่อแอบเก็บภาพรอยยิ้มของทุกๆคน แล้วสายตาทั้งคู่ก็ต้องหยุดอยู่กับเด็กผู้ชายคนหนึ่ง ตัวผอมๆ ดำๆ ที่เต้นอย่างเต็มที่กับชีวิตมากกว่าคนอื่นโดยไม่สนใจว่าการเต้นของเขาเข้ากับจังหวะเสียงดนตรีหรือไม่ เด็กคนนั้นไม่สนใจสายตาที่มองเขาเลย
ทุกคนที่มองเขาก็จะอมยิ้มที่มุมปากทุกอย่างอดไม่ได้ ผู้เขียน ถามพี่ อสม.ที่อยู่ใกล้ๆ ว่า “ น้องมากับยายหรอค่ะ” พี่ อสม. บอกว่ากับผู้เขียนว่า
”เขามาเองค่ะหมอ”
“อยากไปไสเขากะไปเลยครับหมอ” อีกเสียงหนึ่งแทรกมา
บ้าน ของน้องอยู่ไม่ไกลจากสถานที่จัดอบรมมากเท่าไหร่ อสม.คนนั้นเล่าต่ออีกว่าน้องมีปัญหาทางด้านสติปัญญา และพ่อแม่เองก็ไม่รู้หนังสือเลย
ฉันถามต่อทันทีว่า: ”น้องได้เรียนหนังสือหรือเปล่าคะ”
พี่อสม. : “คุณหมอถ่าคาวหนึ่งเด้อค้า” (คุณหมอรอแป๊บหนึ่งนะคะ)
แล้วเธอก็เดินจากไป ........สักพักหนึ่งเธอก็กลับมาพร้อมกับหญิงชราคนหนึ่ง ตัวผอม ๆ ดำๆ ฉันยกมือไหว้คุณยายคนนั้นทันที่ แต่ก็ยังงงๆ ว่าเป็นใคร
“สวัสดิ์ค่ะคุณหมอฉันเป็นยายของปอยฝ้าย(นานสมมุติ)”
ผู้เขียนถึงได้หายงง และถามคุณยายต่อว่า ”น้องปอยฝ่ายเคยเรียนหนังสือไหมคะคุณยาย”
คุณยายเล่าให้ฟังว่าปอยฝ้ายเคยไปเรียนที่ รร.การศึกษาพิเศษในจังหวัดเมื่อปีที่ผ่านมา เป็นเวลา 1 เทอม หลังจากปิดเทอมกลับมาอยู่บ้านแล้วก็ไม่ได้ไปอีกเพราะแม่จำทางที่จะไปส่งไม่ได้บวกกับไม่มีค่ารถไปส่ง ผู้เขียนได้คุยกับน้องอยู่สักพักหนึ่ง พอมีเสียงเพลงดังขึ้นน้องก็วิ่งไปเต้นกับบรรดาคุณตาคุณยายทั้งหลายอย่างสนุกสนาน ..... ผู้เขียนเลยต้องหาข้อมูลที่เพิ่มเติมจากคุณยายมราบว่าพ่อแม่ของน้องเองก็มีปัญหาเรื่องสติปัญญาทั้งคู่ เวลาไปไหนไกลๆก็จำทางกลับไม่ค่อยได้ ผู้เขียนฟังคุณยายเล่าไปมองน้องไป แล้วก็บอกกับตัวเองในใจเราต้องทำอะไรสักอย่าง น้องปอยฝ้ายไม่มีความทุกโศกหรือเศร้าเสียใจใดๆบนใบหน้าของเขาเลย ตรงกันข้ามผู้เขียนกลับมองเห็นแต่ความร่าเริง และความเป็นมิตรกับผู้อื่น
ผู้เขียนนำเรื่องนี้ไปปรึกษากับทีมและพี่พยาบาลประจำรพ.สต.ที่ไปจัดอบรมหาทางช่วยเหลือน้อง ในการนำส่งเข้าเรียนต่อที่โรงเรียนการศึกษาพิเศษอีกครั้ง ผู้เขียนได้สอบถามพี่ที่รพ.สต.ว่าผู้เขียน: พี่คะอบต.อยู่ห่างจากที่จัดอบรมมากไหมคะ???
พยาบาล: ประมาณ 10 กม.คะเราขึ้นกับอบต.สามขา
ผู้เขียน : พี่พัฒนาชุมชนทราบเรื่องราวของน้องหรือเปล่าคะ
พยาบาล: ไม่แน่ใจค่ะ ลองติดต่อสอบถามดูก่อนก็ได้นะคะ พี่ทราบว่าเขาเป็นเพื่อนกับคุณมะลิ
(พี่นักพัฒนาชุมชนที่ผู้เขียนรู้จักและทำงานร่วมกัน): ซึ่งผู้เขียนคิดว่าเป็นอีกหนึ่งความบังเอิญ
ที่ดีมากๆ ในขณะนั้น
ผู้เขียน: ขอบคุณมากค่ะพี่ที่แนะนำ
หลังจากจบการสนทนาผู้เขียนรีบติดต่อไปยังคุณมะลิ(นักพัฒนาชุมชน) ที่ผู้เขียนรู้จักและปรึกษาเรื่องงานด้วยบ่อยๆ เพื่อขอข้อมูลและเบอร์ติดต่อนักพัฒนาชุมชนขององค์การบริหารส่วนตำบล.ที่น้องปอยฝ้ายอาศัยอยู่ ซึ้งได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดี พอได้ข้อมูลคร่าวๆของฝ่ายตรงข้ามในการรบเราก็ถือว่าชนะไปครึ่งหนึ่ง การสนทนาทางสายโทรศัพท์ก็เริ่มขึ้นทั้งที่คู่สนทนายังไม่เคยเห็นหน้ากันมาก่อน แต่การสนทนาของผู้เขียนกับพี่ตุ๊กตา(นักพัฒนาชุมชนของอบต.ที่น้องปอยฝ้ายอาศัยอยู่) ก็ดำเนินไปด้วยดีเป็นการสนทนาลักษณะที่ถ่อยทีถ่อยอาศัยร่วมด้วยช่วยกันในการทำงาน พี่ตุ๊กตารับปากจะเป็นธุระเรื่องรถที่จะไปส่งน้องที่ รร.กาฬสินธุ์ปัญญานุกูล และตกลงกันว่าวันที่ 5 มิ.ย. 55 จะไปส่งน้องปอยฝ้ายที่โรงเรียนฯทพี่ตุ๊กตาบอกว่าจะมารับผู้เขียนไปส่งน้องด้วยกัน เพราะพี่เขายังไม่เคยไปเลยไม่รู้จักโรงเรียนฯว่าอยู่แถวไหน ผู้เขียนเองตอนนั้นรู้สึกดีใจมากรีบรับคำว่าจะไปส่งน้องด้วย
ถึงวันที่ 5 มิ.ย.55 เวลาประมาณ 09.00น. เสียงโทรศัพท์มือถือของผู้เขียนดังขึ้น ......”ตอนเธอกอดฉัน!!! หัวใจเธอกอดใครที่รัก เธออยู่กับฉัน!!!! แล้วใจเธอมันยังคงเป็นของใคร” (เสียรอสายของผู้เขียนเอง)
ผู้เขียน: สวัสดีคะ
พช.พี่ตุ๊กตา: สวัสดีค่ะ พี่ตุ๊กตานะคะ ตอนนี้พี่อยู่บ้านน้องปอยฝ้ายแล้ว กำลังจะไปรับน้องเปิ้ลคะ
(ชื่อของผู้เขียนที่พี่ๆเรียกกัน) อีกประมาณ 10 นาทีก็ถึงนะคะ
ผู้เขียน : ขอบคุณค่ะพี่ เดี๋ยวเปิ้ลจะไปรอที่หน้าโรงพยาบาลฯ นะคะ
อีกประมาณ 10 นาที ก็มีรถของอบต.สามขามาจอดที่หน้าโรงพยาบาล ผู้เขียนเดินตรงไปที่รถพรางนึกในใจว่า นี้เป็นครั้งแรกที่จะได้เจอหน้าพี่ตุ๊กตา(นักพัฒนาชุมชนอบต.สามขา) หลังจากที่ได้คุยกันทางโทรศัพท์อยู่นานพอสมควร นึกแล้วก็รู้สึกตื่นเต้นเหมือนกัน พอรถจอดก็มีผู้หญิงตัวเล็กๆขาวๆเดินมารับผู้เขียนพร้อมกล่าวทักทายด้วยน้ำเสียงที่เป็นกันเอง “น้องเปิ้ลใช่ไหมค่ะ รอนานไหมค่ะ”ผู้เขียนยิ้มรับพร้อมกับยกมือไหว้ แล้วก็เดินตามไปขึ้นรถ ในรถมีน้องปอยฝ้ายกับคุณแม่ และพี่ผู้ช่วยของพี่ตุ๊กตาซึ่งทำหน้าที่เป็นคนขับรถให้อีกคน ชื่อพี่แอน หลังจากทำความรู้จักกันแล้วพี่แอน โชว์เฟอร์คนสวยก็ออกรถพาเรามุ่งหน้าไปยังโรงเรียนกาฬสินธุ์ปัญญานุกูล ซึ่งอยู่ห่างจากอำเภอที่เราอยู่เกือบๆร้อยกิโลเมตร บรรยากาศบนรถระหว่างเดินทางอบอุ่นและเป็นกันเองมาก น้องปอยฝ้ายเองดูยิ้มแย้มและคุยเก่งกว่าที่เคยคุยมา ผู้เขียนถามคุณแม่น้องปอยฝ้ายถึงความรู้สึกในตอนนี้
ผู้เขียน: คุณแม่เป็นยังไงบ้างคะ
แม่น้องปอยฝ้าย: ดีใจหลายคะคุณหมอ(ดีใจมากคะคุณหมอา))
ผู้เขียน:คุณแม่ถ้าคิดถึงน้องปอยฝ้ายจะทำยังไงคะ (ผู้เขียนชวนคุยเพราะเห็นคุณแม่ไม่ค่อยพูด)
แม่น้องปอยฝ้าย: อดทนคะ อยากให้ปอยฝ้ายได้เรียนหนังสือ ไปมาแล้วครั้งหนึ่งนิสัยดีขึ้น
ผู้เขียน:ปอยฝ้ายละครับดีใจไหมจะได้ไปโรงเรียนแล้ว
น้องปอยฝ้าย: ดีใจครับ แล้วก็ยิ้ม
ระหว่างทางเราแวะทานข้าวที่ร้านค้าริมถนน และคุยกันหลายต่อหลายเรื่องทำให้ผู้เขียนได้รับรู้ว่าการที่เราทำงานร่วมกับท้องถิ่นนั้นไม่เพียงแต่ท้องถิ่นที่รู้สึกดีที่มีส่วนร่วมดูแลชาวบ้านในพื้นที่ของเขาให้เป็นสุข แต่ตัวชาวบ้านเองก็รู้สึกอบอุ่นมากขึ้นเป็นองเท่าที่เขาได้รับความเอาใจดูแลจากทั้งสองฝ่าย
หลังจากที่ทุกคนทานข้าวเสร็จเราก็ขึ้นรถไปต่อใช้เวลาไม่นานนักก็ถึงโรงเรียนฯ ซึ่งมีคุณครูสุพักน์ หัวฝ่ายวิชาการรอต้อนรับอยู่ เพราะเขียนได้ประสานไว้ก่อนจะเดินทางมาถึง เนื่องจากน้องปอยฝ้ายเคยมาเรียนที่นี้แล้ว เหล่าคุณครูก็เลยจำได้ต่างก็ทักทายน้องปอยฝ้ายกันใหญ่เลย ทำเอาปอยฝ้ายยิ้มไม่ยอมหุบ และคงไม่รู้สึกโดดเดี่ยวมากนักที่ต้องจากอ้อมอกของแม่อีกครั้ง พอส่งน้องปอยฝ้ายเข้าห้องเรียนแล้วเราก็เดินทางกลับ และระหว่างทางกลับบ้านพี่ตุ๊กตา(พช.)บอกกับผู้เขียนว่า” น้องเปิ้ลถ้าต่อไปมีอะไรที่พี่สามารถช่วยได้ ก็บอกได้เลยนะคะ ” ผู้เขียนรีบยกมือไหว้ขอบคุณพี่ๆทั้งสองและบอกต่อว่า”จริงๆแล้วถ้าเป็นไปได้อยากชวนพี่ๆออกเยี่ยมบ้านด้วยกันคะ”อยากให้เห็นสภาพความเป็นอยู่ของชาวบ้านด้วยตัวเอง และถ้าเกิดมีกรณีที่ต้องการความช่วยเหลือจะได้ช่วยกันดูแลได้ พี่ทั้งสองคนก็เห็นด้วยกับสิ่งที่ผู้เขียนเสนอและยินดีที่จะร่วมออกเยี่ยมบ้านกับทีมแต่ก็คงจะไม่ใช่ทุกครั้ง
ใช้เวลาไม่นานนักรถก็วิ่งมาถึงโรงยาบาลฯ พอส่งผู้เขียนลงเรียบร้อยรถก็ค่อยๆเคลื่อนออกไปช้าๆผู้เขียนยืนมองรถคันนั้น พรางยิ้มและคิดในใจว่ามันช่างเป็นอะไรที่ดีมากๆเลย รู้สึกมีความสุขและอิ่มใจจนต้องย้อนถามตัวเองเพื่อความแน่ใจ ว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันเกิดจากความบังเอิญเหรอเนี๊ยะ มันช่างเป็นความบังเอิญที่ลงได้ดีเหลือเกิน ผู้เขียนบอกกับตัวเองว่า “ถ้าวันนั้นเราปล่อยความบังเอิญที่ได้เจอกับน้องปอยฝ้ายให้ผ่านเลยไป เราคงไม่สัมผัสกับความรู้สึกแบบนี้แน่” ผู้เขียนย้ำกับตัวเองว่า
”การที่เราใช้หัวใจในการมองสิ่งต่างๆรอบตัวเรา คนทุกคนที่เราทำงานด้วย ชีวิตทุกชีวิตที่ผ่านเข้ามาให้เรารู้จักและทักทาย หรือแม้แต่การใช้ชีวิตประจำวันของตัวเราเอง เราจะไม่กล้าละเลยสิ่งที่เราพบเจอให้ผ่านไปเฉยๆได้เลย ไม่ว่าสิ่งที่เราเจอจะเป็นเรื่องยากหรือง่าย จะบังเอิญหรือตั้งใจก็ตาม เราก็จะพยายามหาคำตอบหรือทางออกที่ถูกต้องและเหมาะสมได้เสมอ อย่างเช่นความบังเอิญที่ได้มาเจอกันระหว่างผู้เขียนกับน้องปอยฝ้าย กลายมาเป็นความบังเอิญที่ลงตัวแบบนี้ได้ เพราะหัวใจที่ใส่ใจในความเป็นมนุษย์ด้วยกันอย่างจริงใจไม่ได้หวังสิ่งใดตอบแทน”
ปล.ประมาณหนึ่งเดือนผ่านไป ผู้เขียนได้มีโอกาสกลับไปที่โรงเรียนกาฬสินธุ์ปัญญานุกูลอีกครั้งเป็นที่หน้าปลื้มใจมากเพราะผู้เขียนแวะไปเยี่ยมน้องปอยฝ้ายแล้วน้องจำผู้เขียนได้พอเจอหน้ากันน้องรีบวิ่งเข้ามาหาและสวัสดีด้วยรอยยิ้มที่เห็นแล้วอิ่มใจเป็นอย่างมาก
เล่าโดย คุณพิกุล โพธิ์ศรี นักสังคมสงเคราะห์
รพ.สมเด็จพระยุพราชกุฉินารายณ์
การที่เราใช้...หัวใจ....ในการมองสิ่งต่างๆ รอบตัวเรา ...
ขอบคุณบทความดีดีนี้นะคะ