กัมพูชา : ความทรงจำร่วม เรื่องการอพยพเคลื่อนย้ายของผู้เฒ่าใน อาเซียน
รภิญญ์ ด้วงลอย/พลอยบุตร
1.บทนำ
เหตุที่ต้องเขียนบทความนี้เกิดขึ้นเพราะว่า หลังจากที่คณะนักวิจัยได้เสนอโครงการวิจัยต่อ “กรมวัฒนธรรม” กระทรวงวัฒนธรรม และได้รับการคัดเลือกให้รับทุน ทำวิจัยเกี่ยวกับอาเซียน ในเรื่อง “ความทรงจำร่วม เรื่องการอพยพเคลื่อนย้ายของผู้เฒ่าในอาเซียน” ในชื่อภาษาอังกฤษว่า Old People ’s Common Memory of Diaspoars in ASEAN Region ซึ่งผู้เขียนก็เป็นหนึ่งในนักวิจัยร่วม โดยรับผิดชอบพื้นที่วิจัยกัมพูชา ทั้งได้สนทนากับ “หัวหน้าโครงการวิจัย” ทางโทรศัพท์ เพื่อลงรายละเอียดในภาพรวมต่อพื้นที่การวิจัยว่า “มีความสำคัญต่อการวิจัยอย่างไร?” ทำให้ต้องเขียนเพื่อให้ข้อมูลว่าตกลงเรื่องที่ทำวิจัยมีความสำคัญอย่างไร ? ถึงขนาดว่าต้องไปศึกษา และจะมีประโยชน์อะไรต่อประเทศไทยในฐานะเป็นภาษาที่ทำการวิจัย และจะพึงเกิดมีขึ้นในปัจจุบัน อย่างสอดคล้องกับสถานการณ์ทางการเมือง สังคม เศรษฐกิจ วัฒนธรรมที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา การแสวงหาองค์ความรู้ เพื่อสร้างความเข้าใจ ปรับท่าที หรือการกำหนดยุทธศาสตร์เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลง ในความเป็นประชาชาติ สู่ความเป็นประชาคมอาเซียน ใน พ.ศ.2558 ซึ่งสิ่งที่สำคัญและมีความจำเป็นเบื้องต้นคือ ความรู้ และความเข้าใจต่อนานาชาติที่มาจะมาร่วมกัน ภายใต้แนวคิด “หนึ่งวิสัยทัศน์ หนึ่งเอกลักษณ์ หนึ่งประชาคม” ดังนั้นการศึกษาซึ่งกันและกันจึงเป็นไปเพื่อกำหนดบทบาท ความรู้ ความเข้าใจ และการวางท่าทีที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ผ่านเรื่องเล่าอันเป็นความทรงจำร่วมกัน อันเป็นบริบทร่วมทางชาติพันธุ์ ของประชาชาติในอาเซียน
2.ชุมชนตัวอย่างที่เลือกใช้เป็นสถานที่เก็บข้อมูล
ชุมชนที่เลือกคือสถาโป อำเภอบ่อแว่น (Bavel) จังหวัดพระตะบอง ถามว่าทำไมจึงเลือกชุมชนของการอพยพที่แห่งนี้ ตามที่หัวหน้าโครงการวิจัยตั้งคำถามปลายเปิดมาให้ ในฐานะผู้ที่จะต้องลงพื้นที่จริงกับผู้เฒ่าของกัมพูชา ก็ต้องตอบว่า ด้วยครั้งหนึ่งผู้วิจัยเคยเข้าไปในฐานะผู้ไปเก็บข้อมูลเพื่อทำวิจัยงานสาระนิพนธ์ในคราวเป็นนักศึกษาปริญญาโท ประวัติศาสตร์ คือไปเก็บ ข้อมูลกลุ่มพระพุทธศาสนาในกัมพูชา อาจมีคำถามว่าแล้วพุทธศาสนาอะไรต้องมาอยู่ในบริเวณพื้นที่ป่าหรือชุมชนแห่งนี้ ก็ต้องตอบว่า เขมรแดงเคยปกครองประเทศกัมพูชาระหว่าง ค.ศ.1975-1979 และดำเนินนโยบายทางการเมือต่อกลุ่มทางศาสนาอย่างรุนแรง มีทั้งบังคับไปใช้แรงงานในชนบท จับสึก และฆ่า จนพระพุทธศาสนาหายไปจากประเทศกัมพูชาในช่วงเวลาหนึ่ง เมื่อเขมรแดงแพ้สงครามต่อรัฐบาลเฮงสัมริน ภายใต้การสนับสนุนโดยเวียดนาม เขมรแดงจึงอพยพมาเป็นผู้ต่อต้านรัฐบาลกลาง ที่เขตปลดปล่อยตามแนวชายแดนไทย ซึ่งพื้นที่สถาโป ก็คือพื้นที่หนึ่งที่เป็นเขตปลดปล่อยต่อสู้ และเป็นพื้นที่ของการอพยพแต่ครั้งนั้น เมื่อสงครามกลางเมืองสงบลง แหล่งข้อมูลคือเขมรแดงที่กระทำต่อกลุ่มทางศาสนาจึงอยู่ที่นี่ ย้อนกลับมาที่งานวิจัยล่าสุดนี้ เหตุผลที่ต้องไปหาข้อมูลในบริเวณการตั้งชุมชนนี้ และมีสัมพันธ์เก่า ๆ บ้างจึงเป็นเหตุผลต่อเนื่อง ในการมาทำวิจัยอีกครั้ง พื้นที่และกลุ่มตัวอย่างจึงมีความสำคัญ และมีนัยยะทางประวัติศาสตร์ และการเมืองของกัมพูชาโดยตรง เมื่อผู้เขียนเคยมีประสบการณ์ลงพื้นที่มาแล้วในอดีต จึงง่ายที่จะเข้าไป แม้จะจบสาระนิพนธ์ระดับปริญญาโทแล้ว ก็ยังเคยเข้าไปอีกหลายครั้งในฐานะผู้สังเกตการณ์เชิงพิธีกรรม และความเชื่อของชาวเขมรในชุมชนแห่งนี้ เพราะคนเขมรนับถือพระพุทธศาสนา จึงมีการจัดตั้งวัดขึ้นมาในภายหลัง นิมนต์พระสงฆ์ไปประกอบพิธี อยู่ประจำ การจัดสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานเข้าไป เช่นถนน การขุดบ่อน้ำเก็บน้ำไว้ใช้หน้าแล้งเป็นต้น
เมื่อตัดสินใจเลือกชุมชนสถาโป (สถาพร) ซึ่งเป็นชุมชนที่เคยมีประสบการณ์และเข้าไปเกี่ยวข้องแม้จะนานแล้ว ซึ่งในปัจจุบัน มีความเปลี่ยนแปลงทางกายภาพไปพอสมควร เช่น ถนนหนทางเปลี่ยนไป จากคันนา เป็นถนนดิน ลาดหินคลุกลูกรัง มีการสัญจรที่สะดวก มีโรงเรียน มีวัด และสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน ไฟฟ้า เป็นต้น แต่ประเด็นสาระไม่ได้อยู่ตรงที่กายภาพ ยังคงอยู่ที่พื้นนี้มีการอพยพเคลื่อนย้าย และมีผู้สูงอายุ ที่จะเป็น “คนต้นเรื่อง” ในฐานะแหล่งข้อมูลทางประวัติศาสตร์ที่จะเกาะเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ในภาพใหญ่ต่อไป
3.ความสำคัญต่อการวิจัย
หมู่บ้านแห่งนี้จะมีความจำเป็นในฐานะเป็นแหล่งข้อมูลที่ใช้ในการทำวิจัยในเบื้องต้น จะเห็นได้ว่า มีความสำคัญต่อประเด็นการวิจัยในหลาย ๆ กรณีอาทิ
1.จะเห็นพัฒนาการวิถีการอพยพเคลื่อนย้ายของผู้เฒ่า ที่อพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานประกอบอาชีพในบริเวณหมู่บ้านสถาโป (สถาพร) ที่มีพัฒนาการมาพร้อมกับประวัติศาสตร์ของกัมพูชา กล่าวคือในช่วงการต่อสู้ทางการเมืองระหว่าง ค.ศ.1979-1989 ที่เขมรแดงใช้พื้นที่ดังกล่าวเป็นเขตปลดปล่อยในการต่อสู้ทางการเมืองระหว่างรัฐบาลภายเฮง สัมริน ใต้การสนับสนุนของเวียดนาม การอพยพจึงเกิดขึ้นภายใต้สถานการณ์ทางการเมือง และสงคราม จนกระทั่งสถานการณ์สงครามเมืองและการสู้รบได้ยุติลงมีการเลือกตั้งใน ค.ศ.1993 มีการเลือกตั้งมีรัฐบาล สงครามกลางเมืองยุติลง การอพยพเพื่อจับจองพื้นที่ทางการเกษตร อันเนื่องด้วยทางเศรษฐกิจการดำรงชีวิต จึงเกิดขึ้นอีกครั้ง และต่อเนื่องจนกระทั่งปัจจุบัน
โดยแนวคิดหลัก ๆ ของการอพยพเคลื่อนย้ายจะเป็นไปตามเหตุผลทางการเมืองในช่วงการอพยพในครั้งแรก และเงื่อนไขทางเศรษฐกิจ การดำรงชีพ การจับจองเพื่อเป็นเจ้าของที่ดินภายหลังสงครามกลางเมืองสงบและยุติ
2. การเคลื่อนย้ายอพยพ เป็นจุดสร้างวัฒนธรรมชุมชนที่มาพร้อมกับศาสนาและความเชื่อ หมายถึง เมื่อมีการมารวมตัวกันจำนวนมากขึ้น การสร้างความเชื่ออันเป็นเป็นวัฒนธรรมหลักที่มีอยู่แต่เดิม ถูกนำมาเป็นหลักปฏิบัติโดยผู้ที่สูงอายุ คือกลุ่มตัวอย่างที่จะนำไปสู่การศึกษาและก่อให้เกิดวัฒนธรรมเดิมที่ถูกนำมาปฏิบัติให้สอดคล้องกับสภาพพื้นถิ่นและการดำเนินชีวิต โดยมีจุดเชื่อมโยงกับวัฒนธรรมเดิมที่มีอยู่ในสังคมกัมพูชาแต่ก่อนสมัยสงครามกลางเมือง
3. ความสำคัญในฐานะเป็นจุดเชื่อมต่อกับประวัติศาสตร์การต่อสู้ทางการเมืองในภาพรวม มีความสำคัญในฐานะที่เป็นจุดที่เคลื่อนไหวของกลุ่มต่อต้าน ที่สะท้อนให้เห็นประวัติศาสตร์กัมพูชาในภาคส่วนเชิงพื้นที่เกี่ยวเนื่องกับประวัติศาสตร์ชาติในภาพกว้าง ที่เรียกว่าการต่อสู้ของทหารกลุ่มน้อย เมื่อเทียบกับกองกำลังผสมของเวียดนามที่เข้ามายึดครองพร้อมให้กับการสนับสนุนรัฐบาลกลาง แต่ในเวลาเดียวถือว่าเป็นกลุ่มที่เข้มแข็งที่สุด ที่กระจายตัวอยู่ตามแนวตะเข็บชายแดนไทย โดยมีการสนับสนุนจากรัฐมหาอำนาจอื่น ๆ ทั้งอาวุธ การเงิน และพื้นที่ ด้วยเป้าหมายอุดมการณ์ทางการเมืองในยุคของการเผชิญหน้าด้วยสงครามตัวแทน ในยุคสงครามเย็น
4.ความสำคัญทางเศรษฐกิจ และการค้าชายแดน หมายถึง ชุมชนที่ทำการศึกษา มีความสำคัญชุมชนทางการค้า-และการกระจายสินค้า ที่เหมือนกับชายแดนอื่น ๆ กล่าวคือชุมชนที่รายรอบชายแดนไทยกัมพูชามีความ มีสัมพันธ์กับเศรษฐกิจการค้าชายแดน มีข้อมูลว่าการค้าชายแดนของกัมพูชาในแต่ละปีที่ผ่านมามีมูลค่าเกินดุล และหมู่บ้าน ชุมชนที่อยู่ติดชายแดนไทยจะทำหน้าที่รับ และระบายสินค้าเข้าสู่กัมพูชาที่ลึกเข้าไปจากชายแดน เช่นเมือง พระตระบอง ไพลิน เป็นต้น ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญในเชิงยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจอีกชุมชนหนึ่งที่นอกเหนือจากชุมชนอื่น ๆ ที่อยู่ตามแนวชายแดนระหว่างไทยกัมพูชา-ตั้งแต่ตราดจนถึงอุบลราชธานี เฉพาะในส่วนจังหวัดจันทบุรีที่เป็นจุดเชื่อมของชุมชนสถาโป มีมูลค่าการส่งออก 2,253.23 ล้านบาท ในปี พ.ศ.2553 และเพิ่มขึ้นเป็น 2,772.95 ในปี พ.ศ.2554 และแม้กระทั่งในในปี พ.ศ.2555 ครึ่งปีมีมูลค่าการส่งออกไปยังกัมพูชาเฉพาะด่านจังหวัดจันทบุรี 1,787.13 ล้านบาท[1] ซึ่งก็แปลว่าชุมชน หมู่บ้าน และเมืองที่อยู่บริเวณชายแดนมีความสำคัญทางเศรษฐกิจทั้งในทางตรง และทางอ้อม ในทางตรงคือการกระจายสินค้าเข้าสู่พื้นที่ ในทางอ้อมคือการเป็นจุดผ่านสินค้า และการค้าจากประเทศไทยสู่จุดลึกเข้าไปในกัมพูชา ที่การขนส่งทางบกด้วยการเดินทางจากชายแดนทำให้ประหยัดการลงทุนในเชิงพาณิชย์ได้อย่างสูง
[หมู่บ้านสถาพร ตั้งอยู่อำเภอบ่อแวน จังหวัดพระตะบอง]
3.ความสำคัญต่อการวิจัย
หมู่บ้านแห่งนี้จะมีความจำเป็นในฐานะเป็นแหล่งข้อมูลที่ใช้ในการทำวิจัยในเบื้องต้น จะเห็นได้ว่า มีความสำคัญต่อประเด็นการวิจัยในหลาย ๆ กรณีอาทิ
1.จะเห็นพัฒนาการวิถีการอพยพเคลื่อนย้ายของผู้เฒ่า ที่อพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานประกอบอาชีพในบริเวณหมู่บ้านสถาโป (สถาพร) ที่มีพัฒนาการมาพร้อมกับประวัติศาสตร์ของกัมพูชา กล่าวคือในช่วงการต่อสู้ทางการเมืองระหว่าง ค.ศ.1979-1989 ที่เขมรแดงใช้พื้นที่ดังกล่าวเป็นเขตปลดปล่อยในการต่อสู้ทางการเมืองระหว่างรัฐบาลภายเฮง สัมริน ใต้การสนับสนุนของเวียดนาม การอพยพจึงเกิดขึ้นภายใต้สถานการณ์ทางการเมือง และสงคราม จนกระทั่งสถานการณ์สงครามเมืองและการสู้รบได้ยุติลงมีการเลือกตั้งใน ค.ศ.1993 มีการเลือกตั้งมีรัฐบาล สงครามกลางเมืองยุติลง การอพยพเพื่อจับจองพื้นที่ทางการเกษตร อันเนื่องด้วยทางเศรษฐกิจการดำรงชีวิต จึงเกิดขึ้นอีกครั้ง และต่อเนื่องจนกระทั่งปัจจุบัน
โดยแนวคิดหลัก ๆ ของการอพยพเคลื่อนย้ายจะเป็นไปตามเหตุผลทางการเมืองในช่วงการอพยพในครั้งแรก และเงื่อนไขทางเศรษฐกิจ การดำรงชีพ การจับจองเพื่อเป็นเจ้าของที่ดินภายหลังสงครามกลางเมืองสงบและยุติ
2. การเคลื่อนย้ายอพยพ เป็นจุดสร้างวัฒนธรรมชุมชนที่มาพร้อมกับศาสนาและความเชื่อ หมายถึง เมื่อมีการมารวมตัวกันจำนวนมากขึ้น การสร้างความเชื่ออันเป็นเป็นวัฒนธรรมหลักที่มีอยู่แต่เดิม ถูกนำมาเป็นหลักปฏิบัติโดยผู้ที่สูงอายุ คือกลุ่มตัวอย่างที่จะนำไปสู่การศึกษาและก่อให้เกิดวัฒนธรรมเดิมที่ถูกนำมาปฏิบัติให้สอดคล้องกับสภาพพื้นถิ่นและการดำเนินชีวิต โดยมีจุดเชื่อมโยงกับวัฒนธรรมเดิมที่มีอยู่ในสังคมกัมพูชาแต่ก่อนสมัยสงครามกลางเมือง
3. ความสำคัญในฐานะเป็นจุดเชื่อมต่อกับประวัติศาสตร์การต่อสู้ทางการเมืองในภาพรวม มีความสำคัญในฐานะที่เป็นจุดที่เคลื่อนไหวของกลุ่มต่อต้าน ที่สะท้อนให้เห็นประวัติศาสตร์กัมพูชาในภาคส่วนเชิงพื้นที่เกี่ยวเนื่องกับประวัติศาสตร์ชาติในภาพกว้าง ที่เรียกว่าการต่อสู้ของทหารกลุ่มน้อย เมื่อเทียบกับกองกำลังผสมของเวียดนามที่เข้ามายึดครองพร้อมให้กับการสนับสนุนรัฐบาลกลาง แต่ในเวลาเดียวถือว่าเป็นกลุ่มที่เข้มแข็งที่สุด ที่กระจายตัวอยู่ตามแนวตะเข็บชายแดนไทย โดยมีการสนับสนุนจากรัฐมหาอำนาจอื่น ๆ ทั้งอาวุธ การเงิน และพื้นที่ ด้วยเป้าหมายอุดมการณ์ทางการเมืองในยุคของการเผชิญหน้าด้วยสงครามตัวแทน ในยุคสงครามเย็น
4.ความสำคัญทางเศรษฐกิจ และการค้าชายแดน หมายถึง ชุมชนที่ทำการศึกษา มีความสำคัญชุมชนทางการค้า-และการกระจายสินค้า ที่เหมือนกับชายแดนอื่น ๆ กล่าวคือชุมชนที่รายรอบชายแดนไทยกัมพูชามีความ มีสัมพันธ์กับเศรษฐกิจการค้าชายแดนที่มีข้อมูลว่าการค้าชายแดนของกัมพูชาในแต่ละปีที่ผ่านมามีมูลค่าเกินดุล และหมู่บ้าน ชุมชนที่อยู่ติดชายแดนไทยจะทำหน้าที่รับ และระบายสินค้าเข้าสู่กัมพูชาที่ลึกเข้าไปจากชายแดน เช่นเมือง พระตระบอง ไพลิน เป็นต้น ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญในเชิงยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจอีกชุมชนหนึ่งที่นอกเหนือจากชุมชนอื่น ๆ ที่อยู่ตามแนวชายแดนระหว่างไทยกัมพูชา-ตั้งแต่ตราดจนถึงอุบลราชธานี เฉพาะในส่วนจังหวัดจันทบุรีที่เป็นจุดเชื่อมของชุมชนสถาโป มีมูลค่าการส่งออก 2,253.23 ล้านบาท ในปี พ.ศ.2553 และเพิ่มขึ้นเป็น 2,772.95 ในปี พ.ศ.2554 และแม้กระทั่งในในปี พ.ศ.2555 ครึ่งปีมีมูลค่าการส่งออกไปยังกัมพูชาเฉพาะด่านจังหวัดจันทบุรี 1,787.13 ล้านบาท[1] ซึ่งก็แปลว่าชุมชน หมู่บ้าน และเมืองที่อยู่บริเวณชายแดนมีความสำคัญทางเศรษฐกิจทั้งในทางตรง และทางอ้อม ในทางตรงคือการกระจายสินค้าเข้าสู่พื้นที่ ในทางอ้อมคือการเป็นจุดผ่านสินค้า และการค้าจากประเทศไทยสู่จุดลึกเข้าไปในกัมพูชา ที่การขนส่งทางบกด้วยการเดินทางจากชายแดนทำให้ประหยัดการลงทุนในเชิงพาณิชย์ได้อย่างสูง
ปี | ประเภท | 2553 | 2554 | 2554 | 2555 | %∆ 2554/2553 | %∆ 2555/2554 |
---|---|---|---|---|---|---|---|
ด่าน | มกราคม - มิถุนายน | ม.ค. - มิ.ย. | |||||
ด่านศุลกากรจันทบุรี (ศภ.1) จังหวัด จันทบุรี |
มูลค่ารวม | 3,630.24 | 3,400.76 | 1,945.80 | 2,474.78 | -6.32 | 27.19 |
ส่งออก | 2,253.23 | 2,772.95 | 1,452.62 | 1,787.13 | 23.07 | 23.03 | |
นำเข้า | 1,377.01 | 627.81 | 493.18 | 687.65 | -54.41 | 39.43 | |
ดุลการค้า | 876.22 | 2,145.13 | 959.45 | 1,099.49 | 144.82 | 14.60 | |
ด่านศุลกากรคลองใหญ่ (ศภ.1) จังหวัด ตราด |
มูลค่ารวม | 19,019.11 | 28,452.48 | 10,504.35 | 11,924.88 | 49.60 | 13.52 |
ส่งออก | 18,917.54 | 28,302.40 | 10,426.28 | 11,803.86 | 49.61 | 13.21 | |
นำเข้า | 101.57 | 150.08 | 78.07 | 121.03 | 47.76 | 55.02 | |
ดุลการค้า | 18,815.96 | 28,152.31 | 10,348.21 | 11,682.83 | 49.62 | 12.90 | |
จุดผ่อนปรนบ้านเขาดิน (ศภ.1) จังหวัด สระแก้ว |
มูลค่ารวม | 488.66 | 348.14 | 198.97 | 647.04 | -28.76 | 225.19 |
ส่งออก | 0.00 | 0.00 | 0.00 | 0.00 | N/A | N/A | |
นำเข้า | 488.66 | 348.14 | 198.97 | 647.04 | -28.76 | 225.19 | |
ดุลการค้า | -488.66 | -348.14 | -198.97 | -647.04 | 28.76 | -225.19 | |
จุดผ่อนปรนบ้านตาพระยา (ศภ.1) จังหวัด สระแก้ว |
มูลค่ารวม | 38.40 | 178.28 | 124.79 | 426.53 | 364.32 | 241.80 |
ส่งออก | 2.22 | 1.02 | 0.00 | 0.28 | -54.17 | N/A | |
นำเข้า | 36.17 | 177.26 | 124.79 | 426.25 | 390.04 | 241.57 | |
ดุลการค้า | -33.95 | -176.24 | -124.79 | -425.97 | -419.14 | -241.35 | |
จุดผ่อนปรนบ้านหนองปรือ (ศภ.1) จังหวัด สระแก้ว |
มูลค่ารวม | 76.46 | 168.15 | 116.90 | 473.14 | 119.91 | 304.73 |
ส่งออก | 0.00 | 0.00 | 0.00 | 0.00 | N/A | N/A | |
นำเข้า | 76.46 | 168.15 | 116.90 | 473.14 | 119.91 | 304.73 | |
ดุลการค้า | -76.46 | -168.15 | -116.90 | -473.14 | -119.91 | -304.73 | |
ด่านศุลกากรอรัญประเทศ (ศภ.1) จังหวัด สระแก้ว |
มูลค่ารวม | 30,300.22 | 36,785.76 | 18,544.12 | 22,363.33 | 21.40 | 20.60 |
ส่งออก | 28,087.65 | 33,371.92 | 16,774.24 | 20,875.38 | 18.81 | 24.45 | |
นำเข้า | 2,212.57 | 3,413.83 | 1,769.88 | 1,487.95 | 54.29 | -15.93 | |
ดุลการค้า | 25,875.08 | 29,958.09 | 15,004.36 | 19,387.44 | 15.78 | 29.21 | |
ด่านศุลกากรช่องจอม (ศภ.2) จังหวัด สุรินทร์ |
มูลค่ารวม | 1,611.70 | 831.61 | 354.74 | 734.19 | -48.40 | 106.96 |
ส่งออก | 1,600.27 | 804.82 | 335.88 | 623.94 | -49.71 | 85.77 | |
นำเข้า | 11.43 | 26.79 | 18.87 | 110.25 | 134.36 | 484.39 | |
ดุลการค้า | 1,588.84 | 778.04 | 317.01 | 513.69 | -51.03 | 62.04 | |
ด่านศุลกากรพิบูลมังสาหาร (ศภ.2) จังหวัด อุบลราชธานี |
มูลค่ารวม | 251.54 | 353.00 | 142.26 | 281.35 | 40.34 | 97.77 |
ส่งออก | 251.54 | 353.00 | 142.26 | 281.35 | 40.34 | 97.77 | |
นำเข้า | 0.00 | 0.00 | 0.00 | 0.00 | N/A | N/A | |
ดุลการค้า | 251.54 | 353.00 | 142.26 | 281.35 | 40.34 | 97.77 | |
รวม | มูลค่ารวม | 55,416.33 | 70,518.17 | 31,931.94 | 39,325.24 | 27.25 | 23.15 |
ส่งออก | 51,112.45 | 65,606.11 | 29,131.28 | 35,371.94 | 28.36 | 21.42 | |
นำเข้า | 4,303.88 | 4,912.06 | 2,800.66 | 3,953.30 | 14.13 | 41.16 | |
ดุลการค้า | 46,808.57 | 60,694.05 | 26,330.62 | 31,418.64 | 29.66 | 19.32 |
เมื่อกล่าวโดยสรุปปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดการอพยพย้ายถิ่นฐาน ที่ทำให้มีการเคลื่อนย้ายของประชากรจากท้องถิ่นหนึ่งไปยังอีกท้องถิ่นหนึ่ง ซึ่งจะมีผลกระทบต่อโครงสร้างและจำนวนประชากรในท้องถิ่น ซึ่งนักทฤษฎีส่วนใหญ่ให้รายละเอียดไว้รวม ๆ คล้าย ๆ กัน คือ
1. ปัจจัยด้านสภาพแวดล้อม ถ้าพื้นที่ใด มีภูมิอากาศที่เหมาะสมและมีทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ ย่อมดึงดูดใจให้ผู้คนย้ายถิ่นเข้าไปอยู่มากกว่าท้องถิ่นที่มีสภาพแวดล้อมแห้งแล้ง และขาดแคลนทรัพยากร เช่น ภูมิประเทศได้ผล ผู้คนจึงอพยพไปยังภูมิภาคอื่น ๆ เพื่อตั้งถิ่นฐาน ประกอบอาชีพ
2. ปัจจัยด้านเศรษฐกิจ พื้นที่ใดมีการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ดี และมีอาชีพที่หลากหลายทั้งด้านการเกษตร อุตสาหกรรมการค้าและบริการย่อมทำให้ประชากรพากันเข้าไปประกอบอาชีพเป็นจำนวนมาก เป็นการเพิ่มรายได้ ยกฐานะทางเศรษฐกิจและสังคมของตนเองและครอบครัวให้สูงขึ้น เพื่อให้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
3. ปัจจัยด้านความปลอดภัย ถ้าพื้นที่ใดมีภัยอันตรายต่าง ๆ เกิดขึ้น เช่น การจราจล สงคราม โรคระบาด โจรผู้ร้าย หรือภัยธรรมชาติ ย่อมทำให้เกิดการอพยพย้ายถิ่น เพื่อไปหาที่อยู่ใหม่ที่ให้ความปลอดภัยกว่า
4.วิธีการเข้าไปไปยังพื้นที่ในการทำวิจัย
ความที่เคยไปศึกษาภาษาเขมรในกัมพูชา และพอมีความรู้ในภาษาของประเทศที่ทำวิจัยบ้าง แม้หลังจากเรียนมาจะไม่ได้ใช้กระทำการใด ๆ และทิ้งระยะห่างพอสมควรจนกระทั่งปัจจุบัน แต่ก็คิดว่าคงไม่เป็นอุปสรรคหรือปัญญาใด ๆ ต่อการลงพื้นที่เพื่อเก็บข้อมูลในการทำวิจัยแต่อย่างใด ก็เกิดคำถามต่อไปว่าแล้วไปอย่างไร ? สำหรับจากประสบการณ์ส่วนตัวในฐานะที่เคยไปพื้นที่ดังกล่าวด้วยตัวเองมาหลายครั้ง ทั้งโดยตั้งใจ หรือเป็นทางผ่านก็ตาม พอนิยามวิธีการเดินทางได้ คือ
(1) การนั่งเครื่องจาก กรุงเทพ-พนมเปญ จากนั้นหาเครื่องภายในจากพนมเปญ-มายังพระตะบอง พร้อมเดินทางด้วยรถประจำทางหรือรถเช่าเหมาจากพระตะบองมายังบ่อแว่น (Bovel) จากบ่อแว่นไปที่สถาโป ซึ่งอาจดูวกวนสับสนเสียหน่อย แต่คงเหมาะสำหรับผู้ที่ชอบการเดินทางด้วยเครื่องบิน และมีเงินเพียงพอสำหรับการใช้จ่ายในการเดินทาง
(2) การเดินทางด้วยรถยนต์ โดยต้องเดินทางจากกรุงเทพไปยังชายแดนอรัญประเทศ จากนั้นหารถประจำทางหรือรถเช่าเหมา จากชายแดนอรัญประเทศไปที่จังหวัดพระตะบอง วิธีการนี้ ไม่ยาก เพราะพระตะบองเป็นเมืองใหญ่และรถส่วนใหญ่ที่วิ่งเข้าไปเมืองอื่น ๆ จากชายแดน เช่น ไปพนมเปญ กำปงชนัง สวายศรีโสภณ ล้วนเชื่อมมาถึงพระตะบอง เมื่อถึงเมืองใหญ่แล้วหารถต่อไปที่บอแว่น ซึ่งก็เป็นรถสายสั้นที่วิ่งจากบ่อแว่นเข้าไปถึงพระตะบอง หรือรถสายยาวจากสถาโป ไปถึงพระตะบองโดยตรง อันนั้นก็ต้องนับแต่จังหวะและโชค เพราะอาจมีแค่คันหรือสองคัน ตามอุปทานอุปสงค์ของผู้เดินทาง หรือให้ชัวร์หน่อยก็ลงบ่อแว่นแล้วไปวัดดวงเอาหารถ หรือรวมถึงรถประจำทางหรือรถเหมาเพื่อไปยังหมู่บ้านสถาโปต่อไป
(3) อีกวิธีการหนึ่งคือนั่งรถไปที่อำเภอสอยดาว โป่งน้ำร้อน แล้วหารถจากโป่งน้ำร้อนไปที่ชายแดน ซึ่งไม่แน่ใจว่าจะผ่านด่านไปได้หรือไม่ ? เพราะจากประสบการณ์ของตัวเองต้องบอกว่า เคยไปแล้วแต่ไม่มีจุดผ่านแดนปกติ จึงไม่มีด่านตรวจคนเข้าเมือง ให้ตีหนังสือเดินทางออก ก็แปลว่าผ่านไปได้ ออกได้ แต่ต้องไปเดินผ่านด่านใหม่อีกครั้งที่อรัญเพื่อให้เขาตีหนังสือออกจากด่าน แปลง่าย ๆ ตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศก็เรียกว่า “ลักลอบเข้าเมือง” แม้จะเป็นคนไทย เพราะนั่นเป็นประสบการณ์ของการเดินทางด้วยเส้นทางดังกล่าวจากที่ประสบมา
[ชายแดนอรัญ/ปอยเปตจุดที่น่าจะเดินทางด้วยรถสะดวกที่สุด]
ถามว่าวิธีการไหนสะดวกสบายที่สุดคงตอบไม่ได้ เพราะว่าแต่ละสถานที่มีเหตุและเงื่อนไขแตกต่างกัน และในเวลาเดียวกันก็มีความเป็นไปได้ตามแต่ปัจจัย ซึ่งการเดินทางคงสะดวกสบายไปตามแบบไม่มีเกณฑ์ว่าจะลำบากหรือไม่ แต่ถ้าเป็นสมัยก่อนเมื่อสิบปีกว่าที่แล้ว ต้องบอกว่าเขมรคงเป็นแดนแห่งความ “ทุรกันดาร” อีกแห่งหนึ่ง ตอนนั้นยังติดอันดับประเทศที่ยากจนหนึ่งในโลก ที่ผู้วิจัยเองมีประสบการณ์และรู้สึกว่า ทำไมต้องเลือกเขมรเพราะแสนจะลำบาก ซึ่งคนเขมรอาจมองเป็นเรื่องธรรมดา หรือในส่วนผู้วิจัยอาจเป็นเพราะชีวิตไม่มีโอกาสเลือกอะไรได้มาก หรือเลือกได้เท่าที่มีอยู่กระมัง เพราะแต่เดิม หมายถึงสิบกว่าปีที่แล้ว (ค.ศ.2000-2001) จากประสบการณ์ที่เคยเดินทาง เรียกว่าต้องเดินทางกันเป็นวัน ๆ รถไปไม่ถึง จากจุดที่รถไปถึงต้องเดินเท้าเปล่า ลัดน้ำ ลัดท้องนาเข้าไป เริ่มแต่เช้าตรู่ ไปถึงบริเวณที่เป็นสถาโปตอนนั้นเที่ยงพอดี อยู่จนถึงบ่ายสี่ก็เดินกลับมาถึงจุดที่รถจอดไว้ จนเกือบสี่ทุ่ม และเดินทางต่อไม่ได้ ต้องเอาเปลมาผูกนอน รอจนสว่าง จึงเดินทางต่อกลับเข้าเมือง นั่นคือฉากของพื้นที่เมื่อสิบปีกว่าปีที่แล้ว แต่สถานการณ์เปลี่ยน ปัจจุบันใช้รถวิ่งถึงหมู่บ้าน ไม่มีเขตปลดปล่อย หรือการต่อสู้ทางทหาร ไม่มีจุดที่เป็นจุดห้ามเพราะมีกับระเบิด ที่ระเบิดยังทำงานอยู่ ยังไม่ได้เก็บกู้ รถยนต์ที่เข้าไปยังบริเวณดังกล่าว ต้องห้ามออกนอกเส้นทาง และมีสัญลักษณ์ว่า “ระเบิด” แต่สภาพปัจจุบันภาพเก่า ๆ ได้เปลี่ยนไปแล้ว เพราะพื้นที่ดังกล่าวเป็นที่จับจองประกอบอาชีพ ทำมาหากิน ก่อตั้งชุมชนและเป็นกลุ่มที่เราจะเข้าไปทำการศึกษาต่อไป
5.กลุ่มเป้าหมายเชิงบุคคล
ต้องบอกว่าคนคือทรัพยากร หรือวัตถุดิบของการทำวิจัยแนวนี้ เพราะหัวข้อวิจัย คือเรื่องเล่า ก็ต้องหาเรื่องเล่าจากประสบการณ์ตรง ก็ต้องบอกอีกว่า มีประสบการณ์ด้านภาษา เรียกว่าภาษาช่วยเข้าถึงแหล่งข้อมูลได้ง่ายขึ้นอีกหน่อย เพราะมีความรู้บ้างแม้จะลืมไปบ้าง หรือออกเสียงในการสนทนาได้ไม่ตรงกับเสียงก็ตาม คงเข้าทำนอง “ของกินไม่ได้กินก็เน่า ของเก่าไม่เล่าก็ลืม” อาจไม่ถึงกลับต้องไปเริ่มหนึ่งใหม่แต่ก็ทำให้เห็นว่าภาษามีความสำคัญต่อการเข้าถึงแหล่งข้อมูล ดังนั้นประชาคมอาเซียนจะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ และภาษาของอาเซียนก็คือ “อังกฤษ” แต่ในเวลาเดียวกันความจำเป็นของภาษาเพื่อนบ้าน หรือภาษาอื่น ๆ ที่จะใช้เป็นแหล่งศึกษา ค้นคว้า แสวงหาข้อมูลก็ยังมีความจำเป็น ต่อการทำความเข้าใจต่อความเป็นประชาคมด้วยกัน เหมือนคำพูดที่ว่า “ภาษา” เป็นหน้าต่าง หลาย ๆ บานที่มนุษย์คนหนึ่งสามารถจะก้าวไปสู่โลกกว้างด้วยภาษา เหมือนเราคนไทยเวลามีชาวต่างชาติพูดภาษาของตัวเอง ก็จะรู้สึกเป็นมิตร หรือมีความใกล้ชิดกว่าคนที่ไม่รู้ภาษาของเราเลย ฉันใดก็ฉันนั้นกระมัง
วกกลับมาที่คนที่จะใช้ทำการวิจัยก็ต้องบอกว่าเป็นคนที่มีอายุก่อนปี 1975 หรือ พ.ศ.2518 คนที่เกิด พ.ศ.นั้นก็คงยังจำความหรือจะเล่าอะไรให้ฟังไม่ได้ ก็ต้องเป็นคนที่มีอายุพอจำความได้ ก็ต้องเกินกว่าปีนั้น และรวมเป็นอายุ จึงเกณฑ์ประมาณคร่าว ๆ ว่าน่าจะเกิน 50 ปี ถึงจะถือว่าเป็นกลุ่มตัวอย่างในการวิจัยครั้งนี้ เมื่อสรุปออกมาแล้วใครจะเป็นวัตถุดิบในการวิจัย ก็ต้องบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการอพยพ มีประสบการณ์ มีวัยที่พอจะเล่าเรื่องให้ได้ ก็อาทิ
1.ผู้นำชุมชน หมายถึง ผู้นำชุมชนที่นำการอพยพเคลื่อนย้ายเข้ามาตั้งถิ่นฐาน ที่มีประสบการณ์ตรง
2.พระสงฆ์ ผู้นำชาวพุทธ หมายถึง ตัวแทนทางวัฒนธรรมหรือก่อให้เกิดวัฒนธรรมความเชื่อ รวมทั้งอยู่ในฐานะเป็นตัววัฒนธรรมเอง ซึ่งเป็นส่วนผลิต สร้าง กระทำทางวัฒนธรรม
3. ผู้สูงอายุ หมายถึง ผู้มีประสบการณ์ตรงทางวัฒนธรรมความเชื่อ เช่น เป็นผู้นำประกอบพิธีกรรมวิถีชาวบ้าน เช่นการรักษารูปแบบทางวัฒนธรรมประเพณีเดิม เช่น การเซ่นสรวงบูชาบรรพบุรุษ การเป็นผู้นำประกอบพิธีกรรมประชุมเบญ (การทำบุญบูชาบรรพบุรุษ)
โดยหลักใหญ่ใจความบุคคลเหล่าต้องเป็นผู้ที่มี “ความทรงจำร่วม” อันเกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ใหญ่ ที่พร้อมจะเล่าและถ่ายทอด โดยเราผู้วิจัยคงตั้งประเด็นคำถามเพื่อแสวงหาคำตอบต่อประเด็นทางประวัติศาสตร์ สังคม และวิถีชีวิตผ่านการอพยพนั้น ๆ
มีต่อ / กัมพูชา : ความทรงจำร่วม เรื่องการอพยพเคลื่อนย้ายของผู้เฒ่าในอาเซียน ตอน 2