แม่ดาวได้รับตำแหน่ง "แม่" มา 5 ปีแล้วค่ะ เป็นคุณแม่แบบเต็มตัว เต็มใจ เต็มเวลา หากถามความรู้สึกตลอดระยะเวลาที่ได้รับตำแหน่งนี้มา แม่ดาวรู้สึกภาคภูมิใจ ท้าทาย สนุกปนเศร้าคละเคล้ากันไป มีทั้งสุขและทุกข์ ไม่มีอะไรอยู่กับเราถาวร ตั้งอยู่แล้วดับไปเป็นอนิจจัง ดังคำสอนของพระพุทธเจ้าที่พวกเราชาวพุทธเคยได้ยิน หรือได้ศึกษากันมา
เป้าหมายในการเลี้ยงลูกของแม่ดาว คือ อยากให้ลูกเป็นคนดีและมีความสุข ดีทั้งต่อตัวเอง ดีต่อครอบครัว ดีต่อสังคม สุขแบบที่เขาสามารถมีความสุขได้ด้วยตัวเขาเอง สุขแบบที่มีเหลือเฟือมากพอที่จะแบ่งปันความสุขนั้นไปสู่ทุก ๆ คน เรียกว่าคลื่นความถี่ความสุขแรงสูงกระจายไปได้ทุกทิศทั่วไทยว่างั้น เป้าใหญ่มากนะ ก็ตั้งไว้ก่อน แล้วก็ค่อย ๆ ตะเกียกตะกายไปให้ถึง อาจยังไม่ถึงวันนี้พรุ่งนี้ รู้ว่าต้องใช้เวลานานหลายปี รู้ว่ามันยากและต้องลำบากมากที่จะทำให้สำเร็จได้ ท้อบ่อย ๆ นะคะ แต่ไม่เคยถอย
หากย้อนกลับไปจุดเริ่มต้น ของการเป็น "แม่" เป็นเรื่องที่ ยากและทุกข์มากเหลือเกิน ทุกข์มากกว่าสุขหลายเท่านัก หลัก ๆ เริ่มแรกเลี้ยงลูกโดยอาศัยสัญชาติญาณ ตำราเลี้ยงลูกต่าง ๆ และประสบการณ์ส่วนตัวเล็กน้อยที่เคยได้เลี้ยงน้องมาบ้าง เลี้ยงหลานมาบ้าง คิดเองว่าความรู้ที่มีเหล่านั้นก็น่าจะมีมากพอที่จะทำให้สำเร็จตามเป้าที่วางไว้ได้ นี่ขนาดรู้นะเนี้ยว่ามันยาก แต่ประมาท ขาดประสบการณ์จริง เลยล้มแทบไม่อยากจะลุก ทั้งคลุก(ทุกข์) ทั้งคลาน เล่นเอาอ่วมสะบักสะบอมกันเลยทีเดียว อยากที่บอกแม่ดาวอึด ท้อบ่อย แต่ไม่ถอยนะ เจ็บมาก ๆ ก็แค่หยุด ๆ พัก หยุดคิด เรียกสติตัวเองเท่าที่พอจะมีปัญญา
ผ่านไป 3 ปี เพิ่งเริ่มเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ เห็นรำไร ๆ แต่ทำให้มีกำลังใจมากมายที่จะสู้ต่อ ที่นี้เริ่มฝึกวิทยายุทธกับท่านอาจารย์ เริ่มเป็นศิษย์มีครู ได้ครูดีคอยให้คำปรึกษาและสอนวิชาการเลี้ยงลูกให้ คือ"การเลี้ยงลูกด้วยการสร้างวินัยเชิงบวก" ไม่เพียงแค่นั้นผู้มีพระคุณ 2 ท่านนี้ยังให้กำลังใจกลับมามากมายไม่ใช่แค่ให้ความรู้เพียงอย่างเดียว แม่ดาวต้องขอขอบพระคุณท่านทั้ง 2 ผ่านบันทึกนี้อีกครั้ง จากนั้นแม่ดาวก็ฝึกฝน ลองปฏิบัติ ผิดบ้าง ถูกบ้าง สำเร็จบ้าง ไม่สำเร็จบ้าง สุขบ้าง ทุกข์บ้าง ค่อย ๆ เรียนรู้ภาคปฏิบัติหลัก ๆ กับท่านอาจาย์ใหญ่ของแม่ดาว คือ "ลูกชาย" ได้แนวทางมาแล้วต้องลงมือปฏิบัติจริง หลักคือ ทำบ่อย ๆ ทำซ้ำ ๆ ทำเรื่อย ๆ กับสิ่งที่ทำแล้วเห็นผล หากไม่เห็นผลก็เปลี่ยนใหม่ เปลี่ยนไปเรื่อยจนกว่าจะได้วิธีที่ใช่ อะไรที่ชอบ ถูกกับจริตลูกเรามากที่สุด
เข้าสู่ปีที่ 4 แม่ดาวประจักษ์ชัดแล้วว่าไม่มีวิธีใดเลยจะดีเท่ากับการเป็นต้นแบบที่ดีให้ลูก อันที่จริงก็รู้มาตั้งแต่ต้นว่าวิธีนี้สำคัญมาก แต่มันชัดเจนที่สุดตอนปีที่ 4 เปลี่ยนจากเพ่งเปลี่ยนพฤติกรรมลูก มาเพ่งที่เปลี่ยนพฤติกรรมตัวเราแทน อยากให้ลูกเป็นคนดีอย่างไร ก็จงเป็นคนดีแบบนั้นให้ลูกดู เขาจะเรียนรู้จากเราที่เป็นต้นแบบ หากแม่พิมพ์เบี้ยว สกปรก แล้วลูกจะดี จะสะอาดได้อย่างไร
เริ่มหันหน้าเข้าหาอาจารย์คนใหม่ "พระพุทธเจ้า" คำสอนของพระพุทธองค์จากที่ได้ฟัง ๆ อ่าน ๆ มาเห็นแล้วว่าตรงกับสิ่งที่เราต้องการมากที่สุด วิธีทีพระพุทธองค์ใช้ในการสอนล้วนแต่เป็นวิธีที่ใช้ได้ผลจริง ๆ เห็นผลกันชัดเจนที่สุด ไม่มีวิธีใดในโลกที่จะดีกว่าวิธีของพระพุทธองค์อีกแล้ว อันนี้เป็นความรู้สึกส่วนตัวนะคะ แม่ดาวก็เริ่มฝึกปฏิบัติธรรมะ แบบขั้นเริ่มต้น ฝึกเอง ฝึกง่าย ๆ ฝึกปฏิบัติตามความเข้าใจของตัวเอง โดยอาศัยอ่านหนังสือ ฟังเทศน์ตามคลิปต่างๆ ในอินเตอเน็ตตามที่พอจะมีเวลาเหลือจากการทำงานบ้านและการเลี้ยงลูก
ปัจจุบัน แม่ดาวและลูก มีชีวิตที่ดีขึ้นมาก เพิ่งได้สัมผัสกับคำว่า "สงบสุข" ครั้งแรกเมื่อไม่นานมานี่ กรรมดีที่เราพยายามกระทำไว้ ตอนนี้มันเริ่มจะส่งผลให้เห็นชัดขึ้น แม่ดาวเริ่มมีผลผลิตความสุขให้เก็บเกี่ยวได้เอง โดยที่ไม่ต้องพึ่งใครมากนัก มีพอที่จะแบ่งปันความสุขเหล่านี้ไปให้กับคนอื่น ๆ บ้าง ถึงจะยังไม่มากนักสำหรับคนอื่น แต่สำหรับตัวเองและลูกนั้นแม่ดาวคิดว่ามี "พอ" เพราะตัวเองรู้จักที่จะ "ยอมรับ เรียนรู้ อยู่กับปัจจุบัน" ได้ในระดับที่น่าจะพอเอาตัวรอดได้บนโลกใบนี้ได้
ก็ยังมีความทุกข์นะคะ แต่ทุกข์ไม่นาน ทุกข์ที่เคยหนัก ๆ ก็เบา จนในที่สุดก็หายไป บางทีมันก็ยังอยู่นะ แต่ไม่แบกมันเอาไว้ วางไว้ก่อน คิดได้มีปัญญาเมื่อไหร่ ค่อยทำลายมัน กำจัดให้สิ้นซาก ความสุขก็มีเพิ่มมากขึ้น สามารถสร้างความสุขได้ด้วยตัวเอง มองเห็นและเก็บเกี่ยวความสุขได้จากทุก ๆ สิ่งรอบ ๆ ตัว
ทุกวันนี้บางทีก็แอบชื่นชมตัวเองนะคะ ว่า "เราเนี้ย ช่างเป็นแม่ที่อดทนและพยายามมากจริง ๆ " ให้กำลังใจตัวเองบ่อย ๆ ชมตัวเองได้ ไม่ต้องรอคำชมจากใคร ความสุขเราสร้างได้จากตัวเราเอง และท่องจำประโยคเด็ดโดนใจเอาไว้คอยเตือนสติตัวเอง
ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน
ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น
ยอมรับ เรียนรู้ อยู่กับปัจจุบัน
ยังไงซะสักวันเราคงจะเดินทางไปถึงที่หมายนั้นได้ แค่ไม่รู้ว่านานแค่ไหน หากไม่ถึงเส้นชัย แต่ก็อาจจะได้ใกล้เคียงแหละน่านะ ไม่ยอมแพ้ สู้ ๆ
แม่ดาวเชื่อแล้วกับคำกล่าวที่ว่า "งานเลี้ยงลูกของมารดาบิดา สำคัญกว่างานปั้นพระพุทธรูปของศิลปิน" การเลี้ยงลูกเป็นงานที่ละเอียดอ่อนประณีตมาก ใช้ทั้งแรงกายแรงใจ ทำด้วยความรักที่บริสุทธิ์อย่างแท้จริง ตั้งแต่เคยทำงานมาไม่มีงานไหน อาชีพใดที่ยากไปกว่าการเลี้ยงลูกอีกแล้ว ทำงานอื่น ๆหากเหนื่อย ก็อู้งาน ยังลาหยุด ลาป่วย ลากิจได้ เบื่อแล้วลาออกก็ยังได้ แต่งานเลี้ยงลูกเนี้ยทำไปไม่มีวันหยุด เหนื่อยแค่ไหนก็ต้องทน เบื่อลูกจะลาออกจากการเป็นแม่ของลูกก็ไม่ได้ นอกจากจะพ้นวาระไปตามวิถีธรรมชาติ คือการตาย นั่นคือจบภาระกิจในชาตินี้ ไม่รู้จะมีต่อชาติหน้าหรือเปล่าด้วยนะเนี้ย
สุดท้ายนี้คือฝากไว้นะคะ กับบรรดาคุณพ่อคุณแม่ หรือผู้ปกครองทุกท่าน ศาสตร์ด้านการเลี้ยงลูกเป็นอะไรที่สำคัญมาก เราต้องหมั่นศึกษาหาความรู้ตลอด ๆ เพราะลูกคือการเรียนรู้ตลอดชีวิต หากเราเบื่อสังคม เบื่อโลก อยากเปลี่ยนสังคม อยากเปลี่ยนโลก ไม่ต้องเหนื่อยเปลี่ยนที่คนอื่น เริ่มจากที่ตัวเรา สถาบันครอบครัวของเรา จากจุดเล็ก ๆ วันนี้ หากเราช่วยกัน ไม่แน่นะคะในอนาคตอันใกล้(หรือเปล่า) เราอาจได้สังคมดี ๆ สังคมใหม่ ๆ แบบที่เราอยากได้ไว้ให้ลูก ๆ หลาน ๆ ของเราได้อาศัยอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข
สู้ๆ นะครับคุณแม่คนเก่ง...เอาใจช่วยครับ
เป็นกำลังใจให้คุณแม่มือใหม่ (๕ ปี) ให้เลี้ยงลูกให้ได้ดี เป็นคนดีค่ะ
ต้องขอบคุณโชคชะตาที่ทำให้แม่ดาวได้มีโอกาสเจอเว็บดี ๆ แบบนี้นะคะ ขอบคุณกัลยาณมิตรทุกท่านสำหรับกำลังใจ สู้ค่ะ สู้ไม่ถอยอยู่แล้วจ้า ขอบคุณนะคะ
คลื่นความถี่ความสุขแรงสูงกระจายไปได้ทุกทิศทั่วไทยว่างั้น
มาอ่านเพราะคลื่นความสุขส่งไปถึงค่ะ
ยินดีต้อนรับสู่แวดวง GotoKnow นะคะ
มาร่วมยืนยันว่าคำสอนของพระพุทธองค์เป็นคำสอนที่เราประยุกต์มาสอนหรือประพฤติให้ได้เพื่อเป็นแบบอย่างของลูก น่าจะสมบูรณ์แบบที่สุด
อยู่ที่ว่าเราจะมีความเพียร สติ สมาธิฯลฯ มากเพียงใด
ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ
ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันค่ะ