บางส่วนของคำว่า"แม่"


แม่จ๋าถ้าหนูป่วยพร้อมกับยายป่วยแม่จะไปเฝ้าใครจ๊ะ...

ตั้งแต่เกิดมามีสติรับรู้ได้ก็รับรู้ว่าบ้านของเรามีกันอยู่สี่คน พ่อแม่ลูกๆ มีบ้านตั้งอยู่ในชนบทแต่เป็นเขตอำเภอเมือง บ้านอยู่ใกล้ๆกันกับบ้านตายายก็วิ่งเล่นกันตามประสาเด็กบ้านนอกไปวันๆจนถึงวันที่ต้องไปโรงเรียน ก็ต้องไปเรียน เดินกันไปเป็นแถวข้ามลำคลองหน้าบ้านตากับยายโดยเดินผ่านสะพานไม้แผ่นเดียว เรารู้แต่ว่าเราไม่กลัวตกน้ำเพราะเรามีแม่และพ่อยืนมองดูอยู่ ต่อมาน้องซึ่งมีอายุห่างกันแค่ปีเดียวก็เดินตามกันไปเรียนอีก ตอนนี้เริ่มรู้ว่าแม่อยู่บ้านคนเดียวตอนกลางวัน พ่อต้องไปทำงานหาเงินมาเลี้ยงดูพวกเรา เราไม่รู้หรอกว่าแม่ต้องทำอะไรๆบ้างในวันๆหนึ่ง แต่เรารู้ว่าตอนเช้าตื่นขึ้นมามีข้าวกิน มีเสื้อผ้าชุดนักเรียนใส่กลับจากโรงเรียนมาถึงบ้านเราก็มีข้าวกินกัน แล้วแม่ก็บอกว่าให้ทำการบ้านรอพ่อกลับ เราก็นั่งเล่นกันบ้าง เถียงกันบ้าง เพื่อนๆข้างบ้านมาชวนไปเล่นบ้าง ทำการบ้านบ้างจนเสร็จ แม่ก็ไม่ว่าอะไร ได้แต่บอกว่าไปเอาหนังสือมาอ่านขยันๆกันเข้าโตขึ้นจะได้ไม่ขี้เกียจอ่านหนังสือแล้วก็จะได้มีงานทำ....ในที่สุดก็โตขึ้นต้องไปเรียนที่ต่างตำบลที่มีโรงเรียนที่มีคนนิยมให้ลูกไปเรียน แต่ทีนี้ต้องขี่จักรยานไปแล้วเนื่องจากอยู่ไกลจากบ้านประมาณห้าหกกิโลได้... ประเทศเราเมื่อยี่สิบกว่าปีที่แล้วยังมีสามฤดูอยู่คือฤดูร้อน ฝน และหนาว ที่ที่ต้องไปเรียนนั้นต้องขี่จักรยานไปกับถนนดินน่ะซี(ยังไม่มีถนนไร้ฝุ่น)พอถึงหน้าฝนจะลำบากมากเพราะดินจะติดล้อรถจักรยานทำให้ขี่ยากและลำบากแต่ก็จำเป็นต้องขี่ มีพวกรุ่นพี่หลายคนก็คอยแนะนำให้ใช้ไม้คอยแคะดินออกจากล้อรถซึ่งไม้แคะดินนี้ต้องพกในหน้าฝน(เป็นอาวุธประจำรถ ก็เป็นกิ่งไม้สั้นๆยาวประมาณสักฟุต)หน้าฝนนี้เราจะได้เห็นหน้าแม่กับน้องก่อนถึงบ้านทุกวันเนื่องจากแม่กับน้องจะเดินมายืนรอเพื่อช่วยแคะดินออกจากล้อรถจนเรียนจบประถมปลาย....ในที่สุดก็ต้องมาเรียนต่อที่ต่างจังหวัดโรงเรียนประจำจังหวัดขนาดใหญ่และมีชื่อเสียง...ตอนนี้แหละต้องมาอาศัยอยู่กับญาติ เรารู้เลยว่าคิดถึงบ้าน คิดถึงแม่กับพ่อมันทรมานขนาดไหน....แม่จ๋าพ่อจ๋าหนูอยากกลับบ้าน...ที่นี้การเดินทางต้องเป็นรถไฟกับรถเมล์ประจำทางเท่านั้น และการได้อยู่กันพร้อมหน้าครอบครัวนั้นมีแค่เย็นวันศุกร์กับเช้าเสาร์อาทิตย์เท่านั้น...ก่อนกลับเช้าวันอาทิตย์จะได้ยินเสียงแม่กับพ่อสอนทุกครั้งเลยว่าอย่าเกเร อย่าเที่ยวกลางคืนน่ะลูกขยันตั้งใจเรียนน่ะโตขึ้นจบแล้วจะได้มีงานที่ดีๆทำ...เสียงนี้มันดังก้องอยู่ในหัวในใจตลอดมันเหมือนเชือกที่ผูกติดเราไว้เวลาจะไปเกเรมันเหมือนเชือกนั้นคอยดึงกลับ ดึงกลับตลอด และเสียงนั้นเป็นตัวเตือนว่าแกอย่าผิดแกอย่าพลาดน่ะเดี๋ยวแม่กับพ่อจะเสียใจ จึงทำให้รอดพ้นวิกฤติมาได้...จนได้เข้าเรียนวิทยาลัยจบการศึกษามีงานทำ...แม่มีความสุขมากที่ลูกของแม่ได้ทำงานหลังจากนั้นอีกไม่นานยายป่วย...ฉันได้ถามแม่ว่าแม่จ๋าถ้าหนูป่วยพร้อมยายแม่จะเฝ้าใครจ๊ะ(ตอนถามไม่ได้คิดอะไรเลย แค่จะหาเรื่องมาคุยให้แม่หายเครียดเท่านั้น)แม่ตอบโดยไม่ต้องหยุดคิดออกมาเลยทันทีว่าฉันก็เฝ้าแกน่ะซี ฉันได้ยินแล้วเกือบร้องให้เลย แต่ก็ยังอุตสาห์ถามแม่ต่ออีกว่าทำไมล่ะจ๊ะ...แม่ตอบว่าบอกไม่ได้หรอกว่าทำไมฉันรู้แต่ว่าฉันต้องเฝ้าแก...ฉันต้องเดินหนีแม่ไปเข้าห้องน้ำเลยเพราะน้ำตามันจะไหล เรารู้ว่าแม่ไม่สามารถบอกถึงความรักอันยิ่งใหญ่ที่แม่มีให้เราได้หมดนั่นเอง.....ต่อมาแม่มีอายุเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆจนปัจจุบันแม่อายุ 72 ปีแล้วแม่เริ่ม มีเจ็บ มีป่วยตามสภาพ แต่แม่ก็ยังรักและห่วงเราเหมือนเด็กๆไม่มีผิด...แล้วพวกเราจะทดแทนพระคุณแม่ได้หมดกันล่ะหรือ แต่เราสัญญาว่าเราจะรักและทำดีเพื่อแม่ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ไม่ว่าในโลกมนุษย์หรือโลกไหนๆ....

คำสำคัญ (Tags): #แม่
หมายเลขบันทึก: 497085เขียนเมื่อ 3 สิงหาคม 2012 19:01 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 สิงหาคม 2012 15:01 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (4)

เรื่องรางของที่น่าประทับใจนะคะ "แม่ ....คำที่ยิ่งใหญ่...ในหัวใจของลูก"

ขอบคุณบทความดีดีนี้นะคะ

ขอบคุณค่ะอาจารย์ทีมาให้กำลังใจ

หลายสิ่งอย่าง ไม่สามารถพูดออกมาเป็นคำพูดได้.. แต่เราจะดูได้ จากการกระทำที่แสดงออกมา

 

ขอบคุณบันทึกดีดีคะ

ทำทุกวันให้ดีที่สุด

ตั้งใจทำงาน เพื่อในวันข้างหน้า

จะเป็นคนดูแลท่านบ้างอย่างเต็มที่คะ

 

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท