ยุคสมัยการใช้มวลสารและเทคโนโลยีเพื่อทำพระสมเด็จเนื้อผงเก๊


คนที่หัวการค้าและคิดรวยทางลัดได้จัดทำพระสมเด็จปลอมขึ้นมาตั้งแต่สมัยนั้น

ตั้งแต่สมัยหลังจากยุคของท่านสมเด็จโต ก็มีข้อมูลว่า มีการหาพระสมเด็จของท่านสมเด็จโตมาใช้ในการรักษาโรค และป้องกันภัยสารพัดชนิด

ทำให้คนที่หัวการค้าและคิดรวยทางลัดได้จัดทำพระสมเด็จปลอมขึ้นมาตั้งแต่สมัยนั้น

จากข้อมูลตำนานพระสมเด็จกล่าวว่า

ในยุคแรกๆ ได้มีการนำทั้งพิมพ์พระสมเด็จ และผงพระสมเด็จที่เหลือมาผสม จึงทำให้การปลอมดูเหมือนมาก

ถ้าวิเคราะห์กันในเชิงหลักการ ผงพระสมเด็จก็น่าจะเป็นปูนดิบที่เตรียมไว้แล้ว หรือที่จริงก็ไม่น่าจะเตรียมยาก ก็เพียงการนำเปลือกหอยมาตำให้เป็นผงละเอียด โดยหลักทางเคมี ไม่น่าจะมีอะไรต่างกัน

  • ดังนั้น คำว่า “เหมือน” จึงไม่น่าจะกินความลึกมากนัก ก็เพียงเตรียมเปลือกหอยป่นละเอียด ก็น่าจะเหมือนแล้ว

แต่การตำปูนเปลือกหอยป่นก็อาจจะต้องใช้เวลามากเมื่อเทียบกับการใช้ปูนสุก หรือปูนขาว

และน่าจะพออนุมานได้ว่า คนที่พยายามจะทำพระเก๊นั้น คงไม่สนใจผลระยะยาวที่จะเกิดกับองค์พระสมเด็จเก๊

  • อาจจะทำแบบ “ให้ดูเหมือน” ตามสภาพพระเก่าในขณะนั้น มากกว่าที่จะทำให้ครบตามขั้นตอนตามหลักการการสร้างพระสมเด็จ

ดังนั้น ในยุคนั้นอาจจะมีการใช้เปลือกหอยป่น ผสมพอเป็นพิธี พอดูว่ามีเปลือกหอยอยู่ในเนื้อ แต่ส่วนใหญ่ของเนื้อก็น่าจะเป็นของที่หาง่ายๆ เช่น ปูนขาว เป็นส่วนใหญ่ เพราะทำมาแล้วใหม่ๆ ก็ไม่ต่างกันเท่าไหร่ รีบทำ ตากแห้ง ทำให้ดูเก่านิดหน่อย ที่น่าจะมีสารพัดวิธี  รีบขาย ก็แล้วๆกันไป

  • ฉะนั้น ในระยะยาวต่อมาพระเก๊เหล่านี้น่าจะออกผิวปูนสุก บวมๆ พองๆมากกว่า ที่เคยพบบ้างเหมือนกันในตลาดพระ

เนื่องจากแม่พิมพ์ที่ใช้มิได้แข็งแรงนัก ไม่ใช่หิน และไม่ใช่ไม้ อาจจะเป็นปูนพลาสเตอร์หรือวัสดุธรรมชาติอื่นๆ เช่นรัก หรือครั่ง ที่สามารถแต่งผิวแม่พิมพ์ให้เนียนได้ดี และสมัยโน้นยังไม่มีพลาสติกถอดแบบพิมพ์

ดังนั้น แม่พิมพ์จึงไม่น่าจะใช้ได้นานนัก พิมพ์ที่ใช้ต่อๆมาก็น่าจะต้องแกะใหม่ หรือถอดพิมพ์จากพระเก่า โดยใช้ปูนพลาสเตอร์

ที่เป็นสาเหตุทำให้พิมพ์เพี้ยน ที่นักดูพระรุ่นเก่าๆ ใช้ในการตัดสินพระเก๊ เพราะการพัฒนาการของเนื้อในยุคโบราณอาจจะยังไม่มากพอที่จะฟันธงได้ จึงกลายเป็นประเพณีปฏิบัติ ของการดูพิมพ์ก่อนดูเนื้อในการหยิบหรือตัดสินพระสมเด็จ

จนกระทั่งหลังปี 2500 ที่เริ่มมีสารสังเคราะห์ประเภทพลาสติกแบบต่างๆ เกิดขึ้นมา

ทำให้การพัฒนาการการทำพระปลอมได้ก้าวหน้าไปอีกขั้น

โดยการนำพลาสติกมาทำเป็นทั้งแม่พิมพ์และตัวพระเอง แล้วแต่งผิวแต่งสีให้ดูเหมือนพระเก่า ด้วยสารเคมีและวัสดุธรรมชาติชนิดต่างๆ เท่าที่จะหาได้และคิดออก ที่เป็นยุคเริ่มต้นของการพระปลอมมืออาชีพเกิดขึ้นอย่างจริงจัง

มีการค้นคว้าทดลอง พัฒนา และถ่ายทอดความรู้กันมาตั้งแต่สมัยนั้น จนมาถึงปัจจุบัน

จนมาสมัย ปี 2520 ก็เริ่มเข้ายุคสารสังเคราะห์อีกยุคหนึ่ง ก็คือ การสร้างเม็ดเรซินขึ้นมาเพื่อใช้ในการอุตสาหกรรม

เป็นเม็ดพลาสติกที่สามารถนำมาแปรรูปได้ง่าย แต่งสีก็ได้ จึงเหมาะที่จะทำพระเก๊เป็นอย่างยิ่ง

จึงพบพระเนื้อเรซิน ระดับฝีมือจัดในแทบทุกประเภท ทั้งดิน ชิน ผง

แต่ในระยะนั้น ยังใช้วิธีการถอดพิมพ์จากพระเก่าเป็นส่วนใหญ่ ที่พิมพ์มักจะติดไม่ครบ เพี้ยน หรืถอดได้ไม่หมดทุกมิติเป็นต้น ที่ยังทำให้การดูพิมพ์นั้น สามารถแบ่งแยกพระแท้พระปลอมออกจากกันได้โดยง่าย

และระยะนี้ เนื้อพระก็พัฒนามาไกล จนสามารถพิจารณาเนื้อประกอบได้ด้วย

จึงเป็นยุคผสมผสานของการดูพิมพ์และเนื้อไปด้วยกันได้อย่างดี

จนกระทั่งประมาณปี 2540 ก็เริ่มมีระบบคอมพิวเตอร์มาช่วยในการทำแม่พิมพ์ ถอดพิมพ์ ทำให้การแกะพิมพ์ใหม่ โดยใช้คอมพิวเตอร์ช่วย เป็นไปได้อย่างง่ายดาย

ไม่เหมือนก็ทำใหม่ได้อย่างรวดเร็ว

ทำให้นักส่องพระที่เน้นการดูพิมพ์เพียงอย่างเดียว หลงหยิบพระปลอมกันเป็นแถวๆ

นอกจากนั้น การแต่งผิวแต่งสีก็ทำได้เฉียบขาด ถึงระดับ “ปาดคอเซียน” ได้เลย

เพราะเซียนส่วนใหญ่จะดูพระจากพิมพ์ ตามที่ปรมาจารย์สอนมาตั้งแต่โบราณกาล

เนื้อดูประกอบเท่านั้น

เพียงแค่นี้ก็ “หวานหมู” สำหรับช่างทำพระเก๊มืออาชีพ แต่ก็ต้องใช้เวลาในการทำ

เพราะฉะนั้น พระระดับปาดคอเซียนนั้น เขาไว้ปาดคอเซียนจริงๆ ไม่มีวางขายตามท้องตลาด เพราะต้นทุนเวลาและความรู้ค่อนข้างสูง

มาขายถูกๆไม่ได้

เท่าที่ทราบ ช่างจะทำตามใบสั่งเป็นส่วนใหญ่ เพราะถ้าทำแล้วต้องรีบขายเพื่อความคล่องตัวของเศรษฐกิจในครอบครัว

วิวัฒนาการเหล่านี้จึงทำให้เกิดยุคของนักส่องพระที่พยายามต้านกระแสพระเก๊ เป็นประมาณสามยุคใหญ่ๆ คือ

ยุคแรก (ก่อน ปี 2500) ดูพิมพ์เป็นหลัก มวลสารเป็นรอง พระเก๊พิมพ์มักเพี้ยน แต่เนื้อยังดูไม่ได้ชัดเจน เพราะอายุยังไม่ต่างกันมาก แต่สามารถดูมวลสารประกอบในเนื้อได้ ผิวยังไม่มีสิ่งปกคลุมมาก

ยุคที่ 2 (ประมาณ 2500-2540) ดูพิมพ์ก่อน ดูเนื้อทีหลัง เพราะพิมพ์มักเพี้ยน และเนื้อเห็นความแตกต่างชัดเจนแล้ว มวลสารเริ่มดูยาก เพราะมีสิ่งปกคลุมมากขึ้นเรื่อยๆ ประมาณ 2500-2540

ยุคที่ 3 ประมาณ 2540 เป็นต้นมา ต้องดูเนื้อก่อน แล้วดูพิมพ์ประกอบ เพราะพิมพ์ทำได้เกือบหมดแล้ว แต่เนื้อที่ทำใหม่ๆ ยังห่างไกลจากพระเก่า

จากการศึกษาค้นคว้าทั้งในตำนาน ตำรา วิพากษ์ สนทนา และวิเคราะห์ข้อมูล ก็ได้มาประมาณนี้ครับ

หมายเลขบันทึก: 496474เขียนเมื่อ 30 กรกฎาคม 2012 12:07 น. ()แก้ไขเมื่อ 7 สิงหาคม 2012 08:51 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (4)

อาจารย์ครับลงรูปแล้วชี้จุดและอธิบายจะได้เข้าใจมากเลยครับ

บางเรื่องลงรูปยากครับ อยากเรียนไปเรียนใน Facebook ครับ

ที่นั่นจะชี้จุดได้ง่าย และเรียนได้เร็ว

 

ขอบคุณบทความของท่านอาจารย์มากครับ คนพวกนี้แย่ครับ ทำให้เล่นพระสะสมพระไม่สนุกเลย  มีแต่ของปลอม อีก 50-100 ปี ของปลอมจะกลายเป็นของแท้ ที่ไม่มีพุทธคุณ 

เป็นไปไม่ได้ครับ ของปลอมอีก 1000 ปี ก็ยังปลอมครับ

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท