เมื่อตอนที่แล้ว ผมให้เหตุผลไว้ว่าทำไมเราควรเปลี่ยนพฤติกรรมก่อนความเชื่อไป ลงท้ายว่าให้ปฏิบัติการแบบกองโจร อย่าไปยกทัพใหญ่หวังได้ชัย ค่อยๆ แทรกซึมหาพรรคพวกไปเรื่อยๆ
ปัญหาที่ตามมาคือ "แล้วเราจะหาพรรคพวกอย่างไร?" ในมุมมองด้านการกระจายตัวของนวัตกรรม (diffusion of innovation) เขาบอกว่าต้องหา early adopter ให้เจอ ในมุมมองธุรกิจการตลาด เขาบอกต้องหาผู้สร้างกระแส (evangelist) ให้พบ วิธีนี้เป็นกลยุทธ์พื้นๆ ของวงการโฆษณาเลยครับ ยัดสินค้าให้ดาราใช้ เดี๋ยวฝูงชนก็แห่ใช้ตามเอง
แต่วงการศึกษา มันไม่เหมือนการตลาดน่ะสิครับ เราจะทำโฆษณาให้นิชคุณ หรือคริส หอวังถือแล็ปท็อปคอมพิวเตอร์ เพื่อเชิญชวนให้อาจารย์หันมาใช้เทคโนโลยีเพื่อช่วยพัฒนาการศึกษามันก็คงไม่สำเร็จ (เอ๊ะ! หรือจะสำเร็จ?) แต่ต้องยอมรับว่าความเปลี่ยนแปลงนั้นเป็นเรื่องเจ็บปวด น่ารำคาญ ไม่มีใครอยากทำหรอกครับ แต่ในขณะเดียวกัน ถ้าความเปลี่ยนแปลงนั้นมีแนวโน้มว่าจะทำให้ชีวิตเขาดีขึ้น หลายคนอาจจะลองเปลี่ยนแปลงดู
เรื่องนี้ผมต้องขอยืมกลยุทธ์ของสตีฟ จอบส์ ที่เห็นบ่อยในการนำเสนอสินค้าของแอปเปิล ซึ่งแนวคิดนี้ถูกเรียบเรียงไว้ในหนังสือ “The Presentation Secrets of Steve Jobs” โดย Carmine Gallo โดยแกบอกไว้ในบทที่ 7 ว่าการนำเสนองาน สินค้า หรือไอเดียอะไรก็ตามต้องหาผู้ร้ายในเรื่องราวนั้นให้ได้ แล้วก็ยกตัวอย่างโฆษณา “I’m a Mac.” “I’m a PC.” อันโด่งดัง
พูดง่ายๆ คือถ้าอยากจะจูงใจคนได้ เพียงนำเสนอข้อดีของไอเดียเรานั้นยังไม่พอ ต้องทำให้เขารู้สึกว่าสถานการณ์ชีวิตในปัจจุบันมันไม่ดีและสิ่งที่เราจะนำเสนอนั้นจะเป็นพระเอกขี่ม้าขาวมาช่วยมันถึงจะเด็ด
อะไรคือผู้ร้ายในงานอาจารย์?
ผมว่างานเอกสารล่ะหนึ่ง คนที่กระโจนเข้าสู่อาชีพนี้ คงไม่ใช่เพราะว่าชั้นอยากตรวจข้อสอบ อยากตรวจการบ้านเยอะๆ อยากจัดตารางงานกลุ่ม กรอกแบบฟอร์มต่างๆ เช็คชื่อนักเรียน หรือกระหายอยากทำเอกสาร มคอ. (ฮา!) แต่ส่วนใหญ่ที่อยากเป็นครู อาจารย์เพราะชอบสอน กระหายที่จะเห็นพัฒนาการของผู้เรียน หัวใจพองโตเมื่อเห็นลูกศิษย์ประสบความสำเร็จ จริงไหมครับ?
วันนี้เรามาพูดถึงผู้ร้ายตัวหนึ่งที่ชื่อว่า "ตรวจข้อสอบ" กันดีกว่า หลายวิชาในมหาวิทยาลัยแถวๆ บางเสาธง มีการสอบย่อย (Quiz) หลายครั้ง ก่อนและหลังการสอบกลางภาค ซึ่งส่วนใหญ่เป็นวิชามหาชน คือมีเด็กลงล้นหลามถึงหลักพัน อันนี้ก็เข้าใจได้ครับว่าจะมาสอบข้อเขียนกันคงจะลำบากอาจารย์ท่าน แต่แม้จะเป็นการสอบแบบปรนัยหรือแบบเลือกตอบ ท่านอาจารย์ทั้งหลายก็ยังต้องหอบหิ้วกระดาษคำตอบที่นักศึกษาฝนคำตอบไว้เป็นตั้งๆ ไปเข้าเครื่องอ่าน (scantron) เพื่อจะนำผลมาประมวล หาค่าสถิติเชิงพรรณา แล้วก็เอามาประกาศให้นักศึกษาทราบกันอีกที ขั้นตอนวุ่นวายเหลือเกิน
มันจะดีไหมครับ ถ้าเทคโนโลยีขี่ม้าขาวเข้ามาช่วยตอบโจทย์ให้กับปัญหานี้ แบบว่านักศึกษาสามารถทำสอบย่อยผ่านระบบออนไลน์ และระบบก็ตรวจข้อสอบรวมคะแนน ทำสถิติเชิงพรรณาให้เรียบร้อย ประกาศผลเสร็จสรรพ บร๊ะเจ้า! มันจะเป็นไปได้หรือนี่!? มันเป็นไปแล้วครับ!
วันนี้ มหาวิทยาลัย ณ บางเสาธงแห่งนี้แหละ อาจารย์หลายท่านลืมไปแล้วว่าห้องตรวจข้อสอบอยู่ตรงไหน อะไรๆ ก็ง่ายไปหมดด้วย Moodle Quiz Module ซึ่งอาจารย์สามารถโยนข้อมูลคลังข้อสอบลงไป ให้ระบบจัดการสุ่มเอาตามจำนวนข้อสอบที่ต้องการขึ้นมาให้นักเรียนทำตามเวลาที่กำหนด แถมระบบยังสามารถสลับคำตอบได้อีกด้วยนะเออ!
ต้องเข้าใจไว้สองอย่างเกี่ยวกับธรรมชาติของข้อสอบแบบปรนัยนะครับ ข้อแรกคือ เป็นเรื่องยากที่จะออกข้อสอบเชิงวิเคราะห์ สังเคราะห์ หรือประยุกต์ด้วยแบบปรนัย (ชีวิตมันไม่ได้ถูกผิดเสมอไป) แต่ข้อสอบปรนัยนั้นดีแท้สำหรับการวัดความรู้ระดับต้น คือระดับความจำ ความเข้าใจ เช่นในวิชาของผม ให้นักศึกษาทำแบบทดสอบออนไลน์ด้วยเหตุผลเดียวคือการย้ำเตือนความจำเกี่ยวกับคำศัพท์ที่เกี่ยวข้องกับวิชาและความรู้เบื้องต้นที่จำเป็น คือไม่ได้หวังว่าแบบทดสอบออนไลน์นี้จะชี้เป็นชี้ตาย หรือวัดผลอะไรได้มาก เพียงแต่ช่วยให้ผมได้ตรวจสอบมาตรฐานความรู้เบื้องต้นของผู้เรียนได้สะดวกเท่านั้น
ธรรมชาติข้อที่สองของข้อสอบปรนัยคือ มันลอกกันง่ายครับ ปัญหานี้เป็นปัญหาโลกแตก ฝรั่งเขาก็เจอ ซึ่งตรงนี้เราแก้ได้ด้วยการกำหนดเวลาสอบให้สั้นลง ตั้งค่าให้ระบบสุ่มข้อสอบและสลับตัวเลือก ยิ่งมีข้อสอบมากก็ยิ่งดี (แต่ต้องมั่นใจนะครับว่ากลุ่มข้อสอบที่จะสุ่มขึ้นมานั้นมีมาตรฐานใกล้เคียงกัน) และสุดท้ายถ้ายังกลัวว่าจะเกิดการลอกก็จัดสอบในห้องปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ในมหาวิทยาลัยและจัดผู้คุมสอบให้เพียงพอกับขนาดของห้องไปด้วย
ทางมหาวิทยาลัยของเราใช้เทคนิคต่างๆ ข้างต้นจัดทดสอบย่อยและได้รับผลตอบรับที่ดีจากอาจารย์ผู้สอนเพราะมันลดขั้นตอนการทำงาน พอหมดเวลา ก็เอาคะแนนที่ระบบจัดเก็บมาตรวจสอบอีกหนก่อนประกาศกลับไปให้นักศึกษารับทราบ แถมยังเป็นการลดทรัพยากร ผู้บริหารก็ยิ้ม โลกก็ยิ้มด้วยเพราะลดการใช้กระดาษ :)
ความเจ๋งของ Moodle Quiz Module ไม่ได้หมดแค่นั้นครับ ถ้าใครอยากจะมุ่งมั่นพัฒนาคลังข้อสอบ เขายังมีระบบสถิติข้อสอบด้วย โดยเฉพาะค่าความยากของข้อสอบที่เรียกว่า Facility Index (FI) ซึ่งเป็นการวัดสัดส่วนของนักเรียนที่ตอบข้อสอบถูกต้อง ถ้าข้อสอบข้อใดมี FI อยู่ที่ประมาณ 40-60% ก็ถือว่าดี (ถ้าต่ำกว่า 30% แสดงว่ายากขั้นเทพ ถ้าสูงกว่า 90% แสดงว่าง่ายเว่อร์)* เทคนิคนี้เหมาะกับวิชามหาชนทั้งหลายที่มีการสอบย่อย แทนที่เราจะมาคิดข้อสอบใหม่ทุกเทอม เราเอาเวลามาวิเคราะห์ค่าตรงนี้ และค่อยๆ พัฒนาต่อยอดไป ก็จะมั่นใจได้วาข้อสอบของเราได้มาตรฐาน ดูรูปประกอบนะครับ
ที่เล่ามานี้เป็นเพียงผู้ร้ายตัวเดียวที่ชื่อ "ตรวจข้อสอบ" นะครับ ยังมีผู้ร้ายอีกเยอะแยะที่เราสามารถจะดึงมาเปรียบเทียบกับข้อดีที่เทคโนโลยีสามารถพัฒนาคุณภาพชีวิตอาจารย์ และปลดปล่อยอาจารย์จากงานเอกสารที่แสนน่าเบื่อ เอาเวลามาทุ่มเทกับการสอน บ่มเพาะนักเรียนนักศึกษา
ตัวร้ายอื่นๆ ไว้มีเวลาจะมาพรรณาให้ฟังนะครับ
* อ้างอิง http://www.btinternet.com/~ted.power/esl0824.html
ปล. ผมชอบตรวจการบ้าน ตรวจข้อสอบนะครับ (ถ้ามันไม่มากไป) เพราะตื่นเต้นว่านักศึกษาเขาจะทำได้แค่ไหน เขาจะคิดและแสดงความสามารถกันอย่างไร
ฟังกระบวนการม่วนอ๊กม่วนใจขนาด ;)...
ขอบคุณครับ
Can we have our (primary school tablets) hooked up to a quiz website and have our children sitting down and learn from the Internet?
Teachers will have to learn to play (phyical activities) more to help keep their bodies (and the children) healthy (not obese). Maybe, we would have time to engage in projects that would raise people's standard of living and save the world - just maybe. ;-)
ขอบพระคุณอาจารย์ Wasawat Deemarn ที่แวะมาเยี่ยมเยียนอยู่ไม่ขาดครับ :)
คุณ sr หายไปนาน สบายดีนะครับ เรื่องแท็บเล็ตนี่ ถ้าเปิดประเด็นอาจเขียนได้เป็นเล่ม ละเอาไว้ในฐานที่ไม่เข้าใจดีกว่า ส่วนคนเป็นครูนั้น ต้อง "เรียน" ตลอดเวลาอยู่แล้วครับ หยุดเมื่อไร ก็หยุดเป็นครูเสียเมื่อนั้น