ไวรัสขาจร ไวรัสขาใหญ่


เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาเจ้าต้นไม้ไข้ขึ้นตอนเย็นหลังจากกลับมาจากเที่ยวห้าง การที่เด็กไม่สบายช่วงนี้นั้นน่าหวาดเสียวมากเพราะโรคมือปากเท้าเปื่อยกำลังระบาดหนัก ผมกับ อ.จัน กลัวเจ้าต้นไม้จะติดโรคนี้ก็เที่ยวสังเกตมือและเท้ากับเจ้าต้นไม้ใหญ่หาตุ่มน้ำสีแดงๆ ปรากฎว่าไม่พบแถมโดนเจ้าต้นไม้ไอใส่ไปเป็นระยะ เลยค่อนข้างมั่นใจว่าเป็นไข้เพราะ "ไวรัสขาจร" ธรรมดาที่น่าจะหายไปได้เองภายใน 24-48 ชั่วโมง

ผมสังเกตว่าไวรัสนี้เป็นนักเดินทางโดยอาศัยสิ่งมีชีวิตเป็นพาหนะ ถ้ามองโลกนี้เป็นจักรวาล ไวรัสคือกลุ่มสิ่งมีชีวิตที่เดินทางย้ายถิ่นฐานไปเรื่อยๆ เพื่อขยายเผ่าพันธุ์นั่นเอง

เขาบอกว่าไวรัสไม่มีชีวิต แต่ผมคิดว่าไวรัสมีชีวิต เพียงแต่เป็นลักษณะของชีวิตที่ไม่เหมือนกับชีวิตในคำจำกัดความของนักชีววิทยาเท่านั้นเอง ซึ่งคำจำกัดความอย่างนั้นนั่นก็เป็นสาเหตุที่เราไม่ได้เจอสิ่งมีชีวิตต่างดาวเสียที

พูดถึงมนุษย์ต่างดาว เขาบอกว่าไวรัสนี่เดินทางกันข้ามดวงดาวทีเดียว บางทีเราอาจจะมีชีวิตอยู่กับสิ่งมีชีวิตต่างดาวอยู่ตลอดเวลาแล้วก็ได้ ใครจะรู้ว่า "ไวรัสขาจร" ที่ทำให้เจ้าต้นไม้เป็นไข้ในช่วงวันหยุดที่ผ่านมาอาจจะมาจากดวงดาวไกลโพ้นทีเดียว

"ไวรัสขาจร" นี่โดยภาพรวมไม่อันตรายเท่าไหร่ เพราะร่างกายเราจัดการได้ภายในเวลาไม่นานนัก แต่ "ไวรัสขาใหญ่" นี่สิอันตราย กลุ่มไวรัสพวกนี้ร่างกายเราสู้ไม่ไหว เจอเข้าถ้าไม่อาศัยความรู้ทางการแพทย์ของมนุษย์เข้าช่วยเต็มที่ก็อาจจะไม่รอด

คิดดูแล้ว "ไวรัสขาใหญ่" นี่ใหญ่กว่านักการเมืองหรือนักธุรกิจเสียอีก เขาบุกกันมาครั้งหนึ่งสามารถสั่งปิดโรงเรียนได้เป็นร้อยๆ โรงเรียนทีเดียว แถมยังไม่มีใครกล้าประท้วงอีกต่างหาก ปิดสนามบินหรือปิดท่าเรือน้ำลึกนี่เขาทำเป็นว่าเล่นอย่างที่ไม่มีใครกล้าหือ อย่างตอน H5N1 ลงมานั่นก็ทำให้โลกเกือบเป็นอัมพาตทีเดียว

ผมนึกไม่ออกว่ามีใครกล้าท้าทายไวรัสขาใหญ่โดยรอดปลอดภัยได้สักราย แต่ที่น่าแปลกคือคนท้าทายนั้นมีและมีอยู่ทุกวันทุกคืนเสียด้วย ดูเหมือนการท้าทายธรรมชาติจะเป็นพฤติกรรมในการอยู่รอดของเผ่าพันธุ์มนุษย์ บางรายก็ท้าทายมากไป บางรายก็ท้าทายน้อยไป ส่วนรายที่ท้าทายแต่พอดีก็จะได้ผลลัพธ์ที่นำมาถ่ายทอดให้แก่มนุษย์คนอื่นๆ เพื่อเป็นแนวทางในการดำรงชีวิตต่อไป

รายที่ท้าทายแต่พอดีนี่คือรายที่เราควรดูเป็นต้นแบบ ที่จริงแล้วสำหรับรายเหล่านี้จะใช้คำว่า "ท้าทาย" ก็ไม่ตรงนัก ควรจะเรียกว่า "ปรับตัว" จะดีกว่า

คำสอนจากรายที่ท้าทายธรรมชาติแต่พอดีนี่เองที่กลายมาเป็นศาสนาให้เราได้เรียนรู้กันในปัจจุบันนี้

ศาสนาพุทธสอนให้เห็นธรรมชาติเป็นครูแล้วเรียนรู้ที่อยู่กับธรรมชาติ "พระธรรม" ก็คือธรรมชาติ ส่วนเต๋าสอนให้เรารู้จักที่จะอยู่กับ "เต๋า" (Tao) ในขณะที่ศาสนากลุ่มอับราฮัม (Abrahamic Religions) ได้แก่กลุ่มศาสนาคริสต์ อิสลาม และยิว สอนให้ยำเกรงและน้อมรับพระเจ้า และ "พระเจ้า" ที่ศาสนาเหล่านี้สอนให้เรานับถือนั้น "อยู่ทุกที่" ผู้นับถือศาสนาเหล่านี้ใช้ชีวิตเพื่อ "สัมผัสถึงพระเจ้า" (experiencing God) เรียกได้ว่าเราจะพบพระเจ้าก็ต่อเมื่อเรารู้จักเต๋าและเข้าใจพระธรรม

ทุกศาสนาสอนในสิ่งเดียวกันทั้งสิ้น เพียงแต่การอรรถาธิบายเท่านั้นที่แตกต่างกัน และเราจะเลือกเชื่ออย่างไรหรือคิดอย่างไรก็อยู่ที่การตีความของเราเองอีกเช่นกัน

หมายเลขบันทึก: 495834เขียนเมื่อ 24 กรกฎาคม 2012 14:26 น. ()แก้ไขเมื่อ 24 กรกฎาคม 2012 17:39 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (3)

ปกติไวรัส ตัวจริงก็รักษา (ยาก/รักษาไม่ได้) แต่ไวรัส...ขาจร....ขาใหญ่.....คงลำบากมาก.....ที่จะเยี่ยว ยา เสียแล้ว เพราะ.....ไวรัสทั้ง 2 ชนิด "ดื้อยา ....ไม่มียาใดๆ จะรักษา "คงต้องสร้างภูมิต้านทาน.....ขนานใหญ่ แล้วหละ

ขอบคุณ บทความดีดีนี้นะคะ

ขอบคุณบันทึกดีดีคะ

อ.ธวัชชัย โรคที่ว่าร้าย ยัง

สามารถดูแลรักษา ป้องกันได้

แต่ที่ร้ายคือไม่ยอมเปิดเผยข้อมูลที่แท้จริงมากกว่าคะ

หายไวไวนะคะน้องต้นไม้..^^

 

สวัสดีค่ะ

  • ทุกศาสนาสอนให้เป็นคนดี
  • เห็นคุณค่าของธรรมชาติ สามารถปรับตัวกับไวรัสขาจร และขาใหญ่ได้
  • ขอให้น้องต้นไม้หายป่วยไวๆนะคะ
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท