เมื่อวันที่ ๑๓ กรกฎาคม ๒๕๕๕ ที่ผ่านมา ก่อนที่ศาลรัฐธรรมนูญจะออกนั่งบัลลังก์อ่านคำวินิจฉัยคำร้องร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญมาตรา ๒๙๑ เข้าข่ายล้มล้างการปกครองหรือไม่? และในระหว่างที่กลุ่มกองทัพปลดแอกประชาชน จะให้สื่อมวลชนบันทึกภาพในพิธีอัญเชิญพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ มาร่วมในการบันทึกภาพ ได้เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันเมื่อมีหญิงสูงอายุคนหนึ่ง ได้เดินฝ่าฝูงชนเข้ามาตรงไปยังผู้ที่อัญเชิญพระบรมฉายาลักษณ์ ก่อนที่จะกระทำการอันมิบังควรกับพระบรมฉายาลักษณ์ซึ่งผู้ถือได้ชูอยู่เหนือศีรษะ สร้างความไม่พอใจให้กับกลุ่มผู้ชุมนุมที่เห็นเหตุการณ์เป็นอย่างมาก…
- สายรัดข้อมือ “เรารักพระเจ้าอยู่หัว” “LONG LIVE THE KING”
- เสื้อตราสัญลักษณ์สีต่าง ๆ
สิ่งเหล่านี้หากมีเต็มแขนและเต็มตู้อยู่มากมาย
- การเปล่งวาจาและตะโกนก้องสุดเสียง “ทรงพระเจริญ”
- การลงนามถวายพระพรในวโรกาสต่าง ๆ
ฯลฯ
การกระทำเหล่านี้เพียงพอแล้วเหรอสำหรับการถูกบุคคลต่าง ๆ รอบข้างยกยอปอปั้นใน “ความจงรักภักดี” ให้กับเรา
หากในเมื่อ
เรายังมีพฤติกรรมที่นิ่งเฉยละเลย ไม่ยินดียินร้ายในสิ่งที่เกิดขึ้น ที่มีบุคคลและกลุ่มบุคคลบางกลุ่มที่มีพฤติกรรม จาบจ้วง ล่วงละเมิด และ มีทัศนคติที่อันตราย ต่อบุคคลที่เรา “เคารพ เทิดทูน บูชา” ในฐานะ ทรงเป็น ธ ผู้สถิตย์ในดวงใจคนไทยทั่วหล้า
หากว่าเราเฉย ละเลย มิเท่ากับเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มเสมือนเป็นการไปตีตราประทับรับรองให้กับพฤติกรรมอันจาบจ้วงล่วงละเมิดของพวกนั้น ให้มันมากลายเป็นสิ่งที่ถูกต้องไปหรอกเหรอ ?
“…วันที่ 19 สิงหาคม พ.ศ.2489-วันนี้ถึงวันที่เราจะต้องจากไปแล้ว! พอถึงเวลาก็ลงจากพระที่นั่งพร้อมกับแม่ ลาเจ้านายฝ่ายใน ณ พระที่นั่งชั้นล่างนั้น แล้วก็ไปยังวัดพระแก้ว เพื่อนมัสการลาพระแก้วมรกต และพระภิกษุสงฆ์ ลาเจ้านายฝ่ายหน้า ลาข้าราชการทั้งไทยและฝรั่ง แล้วก็ไปขึ้นรถยนต์
พอรถแล่นออกไปได้ไม่ถึง 200 เมตร มีหญิงคนหนึ่งเข้ามาหยุดรถ แล้วส่งกระป๋องให้เราคนละใบ ราชองครักษ์ไม่แน่ใจว่าจะมีอะไรอยู่ในนั้น บางทีจะเกิดเป็นลูกระเบิด! เมื่อมาเปิดดูภายหลัง ปรากฏว่าเป็นทอฟฟี่ที่อร่อยมาก ตามถนนผู้คนช่างมากมายเสียจริงๆ ที่ถนนราชดำเนินกลาง ราษฎรเข้ามาใกล้จนชิดรถที่เรานั่ง กลัวเหลือเกินว่าล้อรถของเราจะไปทับแข้งทับขาใครเข้าบ้าง รถแล่นฝ่าฝูงคนไปได้อย่างช้าที่สุด ถึงวัดเบญจมบพิตร รถแล่นเร็วขึ้นได้บ้าง ตามทางที่ผ่านมา ได้ยินเสียงใครคนหนึ่งร้องขึ้นมาดังๆ ว่า
"อย่าละทิ้งประชาชน"
อยากจะร้องบอกเขาลงไปว่า ถ้าประชาชนไม่ "ทิ้ง" ข้าพเจ้า แล้ว ข้าพเจ้าจะ "ละทิ้ง" อย่างไรได้ แต่รถวิ่งเร็วและเลยไปไกลเสียแล้ว...”
ตลอดระยะเวลากว่า ๖๐ ปีที่ทรงครองราชย์ เป็นที่ประจักษ์ไปทั่วทั้งโลกแล้วว่าพระองค์ทรงงานหนักเพื่อประชาชนชาวไทย พระองค์ไม่ทรงเคยที่จะละทิ้งประชาชน
แต่ ในขณะที่มีกลุ่มคนบางกลุ่มที่มีทัศนคติและพฤติกรรมไม่บังควรต่อสถาบันแล้ว หากว่าเรายังคงนิ่งเฉยทำเป็นทองไม่รู้ร้อนเหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น กลับจะเป็นพวกเราต่างหากที่ละทิ้งพระองค์
เราเป็นพสกนิกรที่มีความจงรักภักดี “เคารพ เทิดทูน บูชา” อย่างเต็มเปี่ยมอยู่ในหัวใจ แต่เราจะไม่สามารถปลื้มปีติได้อย่างเต็มความภาคภูมิใจได้เลย หากว่าเรายังคงเฉยเมยละเลยต่อพฤติกรรมของกลุ่มบุคคลดังกล่าวอยู่
ลุง ก. ที่อยู่ชนบทห่างไกลความศิวิไลซ์ ไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวก สบาย เหมือนคนในตัวเมือง มีแต่เพียงปฏิทินภาพพระบรมฉายาลักษณ์ขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เป็นที่พึ่งและหล่อเลี้ยงชโลมจิตใจในการดำเนินชีวิตตามรอยพ่อ บนวิถีแห่งความพอเพียง ไม่เดียงสาต่อพฤติกรรมและทัศนคติที่อันตรายต่อสถาบันของกลุ่มบุคคลบางกลุ่มดังกล่าว อันเป็นที่ “เคารพ เทิดทูน บูชา” ของลุง เกี่ยวเนื่องจาก ความจำกัดทางด้านองค์ความรู้และการเข้าถึงในข้อมูลทีแท้จริง
ในขณะที่เราสวมสายรัดข้อมือ “เรารักพระเจ้าอยู่หัว” สวมใส่เสื้อที่มีตราสัญลักษณ์ มีภาวะแวดล้อมที่อุดมไปด้วยแหล่งข้อมูลข่าวที่สามารถเข้าถึงได้ง่าย สามารถนำมากลั่นกรองและวิเคราะห์ได้ดีกว่า แต่กลับเฉยเมยละเลยต่อพฤติกรรมของกลุ่มคนที่จาบจ้วง ล่วงละเมิดสถาบัน แล้วจะตอบลุง ก. อย่างไรหากถูกถามถึงความจงรักภักดีที่มีต่อสถาบัน
“ทุกคนถึงแม้มีหน้าที่ที่พึงรับผิดชอบต่อส่วนตน (อาชีพ) ที่แตกต่างกันไป แต่หน้าที่สำคัญที่พึงมีร่วมกันของคนไทยหัวใจกว่า ๖๐ ล้านดวง คือ การปกป้องสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์”
ไม่มีความเห็น