พรอันสูงสุด The Ultimate Gift (ตอนที่ ๒)
จิม สโตวอลล์ เขียน / SIHM แปล / สนพ.มูลนิธิโกมลคีมทอง / ๒๕๕๔ /๑๕๖ หน้า
ครอบครัวกิจพานิชพิมพ์แจกเป็นวิทยาทาน
พรข้อที่ ๔ พรแห่งการเรียนรู้ (การศึกษาคือการเดินทางที่ยาวนานชั่วชีวิต จุดหมายปลายทางนั้นยืดยาวออกไปเท่าที่เราจะเดินทางไป)
วีดีโอถูกเปิด พร้อมภาพและเสียงของเรด สตีเวนส์ “เจสัน ปู่ไม่เคยได้รับการศึกษาในระบบและปู่ก็ตระหนักดีว่าเธอได้จบปริญญาจากวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งที่พวกเขาส่งเธอไป แต่สำหรับคนร่ำรวยที่เกียจคร้านแล้ว วิทยาลัยก็ให้อะไรได้มากกว่าสนามเด็กเล่นแค่นิดเดียวเท่านั้นเอง...ปู่เคารพมหาวิทยาลัยต่างๆ เช่นเดียวกับการศึกษาในระบบ เพียงแต่มันไม่ได้เป็นองค์ประกอบของชีวิตปู่ องค์ประกอบส่วนหนึ่งในชีวิตปู่คือความอยากรู้ อยากเรียนที่มีอย่างสม่ำเสมอ และปรารถนาที่จะเรียนรู้ทุกอย่างที่ปู่สามารถหาได้...เจสัน เธอกำลังจะเดินทางสั้นๆ คุณแฮมิลตันและมิสเฮสติ้งส์จะไปเป็นเพื่อนเธอ จุดหมายคือแหล่งเรียนรู้ที่ยิ่งใหญ่ ถ้าเปิดใจอยู่เสมอ เธอจะค้นพบกุญแจไขไปสู่พรแห่งการเรียนรู้ พรนี้จะช่วยเธอได้ตลอดชีวิต หลังจากผ่านไปหนึ่งเดือน เธอจะต้องสามารถอธิบายจนเป็นที่พอใจแก่คุณแฮมิลตัน เกี่ยวกับกุญแจพื้นฐานของการเรียนรู้
สี่สัปดาห์ต่อมา เจสันได้ไปทำงานเป็นผู้ช่วยบรรณารักษ์ ณ ห้องสมุดเฮาเวิร์ด เรด สตีเวนส์ ซึ่งเป็นห้องสมุดเล็กๆ ที่แทบจะไม่มีหนังสืออยู่เลย (เพราะถูกยืมไปอ่าน)
ขณะเดินทางกลับ เจสันกล่าวว่า “ผมได้ทำทุกอย่างที่คุณบอก ได้ทำงานหนักในห้องสมุด และอ่านหนังสือทุกเล่มที่มีในห้องสมุดเล็กๆ นั้น ที่นั่นไม่มีอะไรใหม่ให้เรียนรู้ แต่เพียงสิ่งเดียวที่ผมค้นพบก็คือ ที่นั่นมีคนที่ดีและเรียบง่าย ที่ตื่นขึ้นหลายชั่วโมงก่อนดวงอาทิตย์ขึ้น เดินเลาะไหล่เขาระยะทางหลายไมล์ เพื่อให้ได้หนังสือเก่าๆ ขาดกะรุ่งกะริ่งสักเล่มไปอ่าน เพียงสิ่งเดียวที่ผมสามารถกล่าวได้อย่างสัตย์ซื่อ คือ ตอนนี้ผมรู้สิ่งที่ผมไม่เคยรู้ ตอนที่พวกเราออกจากที่นี่สัปดาห์ที่แล้วคือ ความปรารถนาและความกระหายการศึกษาเป็นกุญแจสำคัญของการเรียนรู้ที่แท้จริง
พรข้อที่ ๕ พรแห่งปัญหา (เราอาจหลีกเลี่ยงปัญหาได้โดยการฝึกตัดสินใจอย่างถูกต้อง การตัดสินใจอย่างถูกต้องจะได้มาก็ต่อเมื่อได้มีประสบการณ์จากปัญหาชีวิต)
วีดีโอถูกเปิด ภาพของเรด สตีเวนส์ปรากฏบนจอใหญ่ “แต่ละบทเรียนซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของพรอันสูงสุดที่ปู่ตั้งใจจะมอบให้เธอนั้น เป็นเรื่องที่โดยทั่วไปแล้วคนเราจะได้เรียนรู้จากชีวิตที่ต้องดิ้นรนและมีปัญหา สิ่งท้าทายใดๆ ก็ตามถ้าเราฝ่าข้ามมาได้มันจะทำให้เราแกร่งขึ้น ความผิดพลาดใหญ่หลวงอย่างหนึ่งในชีวิตของปู่ก็คือ การปกป้องคนมากมาย รวมทั้งตัวเธอด้วย ไม่ให้เผชิญกับปัญหาชีวิตทั้งหลาย ความห่วงใยอย่างผิดๆ ทำให้ปู่กันปัญหาเหล่านั้นออกไปจากสิ่งแวดล้อมของลูกหลาน จนกระทั่งพวกเธอจัดการกับปัญหาชีวิตไม่เป็น”
“มนุษย์ไม่สามารถใช้ชีวิตอยู่ในสุญญากาศได้ชั่วนิรันดร์ แม้แต่นกยังต้องดิ้นรนที่จะออกมาจากเปลือกไข่ คนหวังดีอาจจะช่วยกะเทาะเปลือกไข่เพื่อปลดปล่อยลูกนกออกมา คนประเภทนี้อาจเดินจากไปด้วยความรู้สึกว่าได้ทำสิ่งที่ดีที่สุดให้กับลูกนก แต่ในความเป็นจริงแล้ว เขาได้ทิ้งลูกนกไว้ในสภาวะที่อ่อนแอและไม่สามารถเอาตัวรอดในสภาพแวดล้อมได้ เอาเข้าจริงแล้วนั่นไม่ใช่การช่วยเหลือ แต่กลับเป็นการทำลาย ผลร้ายย่อมต้องเกิดขึ้น อยู่ที่จะช้าหรือเร็วเท่านั้นเอง เมื่อเวลานั้นมาถึง ลูกนกจะไม่สามารถรับมือกับปัญหา ทั้งที่มันน่าจะรับมือได้ถ้าได้ดิ้นรนเองมาตั้งแต่ต้น”
“ถ้าเราไม่เคยได้เผชิญกับปัญหาเล็กๆ พอเจอปัญหาใหญ่ขึ้นอีกเพียงนิดเดียวเราก็ล้มครืน เมื่อเข้าใจข้อนี้ เราก็จะใช้ชีวิตอย่างไม่หลีกเลี่ยงปัญหา หากแต่พร้อมที่จะเผชิญหน้ามันเหมือนกับเป็นสิ่งท้าทายที่จะทำให้เราแข็งแกร่งขึ้น และสามารถเป็นผู้ชนะได้ในอนาคต”
“ในช่วง ๓๐ วันต่อจากนี้ ปู่อยากให้เธอหาเด็ก ผู้ใหญ่วัยต้น ผู้ใหญ่เต็มตัว และคนชรา โดยที่แต่ละคนกำลังเผชิญกับปัญหาหนักหน่วง นอกจากหาคนในสี่สถานการณ์ให้ได้แล้ว เธอยังต้องสามารถบรรยายให้คุณแฮมิลตันฟังถึงประโยชน์หรือบทเรียนที่ได้รับจากแต่ละเหตุการณ์นั้นด้วย”
ก่อนสิ้นเดือนสามวัน เจสันมานั่งรายงานว่า “ผมไปนั่งที่ปลายม้านั่งตัวหนึ่งที่สวนสาธารณะและพบว่าปลายอีกด้านมีผู้หญิงวัยสาว ชี้ให้ผมดูเด็กหญิงอายุ ๖-๗ ขวบกำลังโล้ชิงช้าอยู่ พร้อมพูดว่า ฉันเป็นอาสาสมัครที่โรงพยาบาล ฉันทำงานในโครงการที่พยายามสนองความปรารถนาหรือความฝันแก่คนไข้ระยะสุดท้าย เอมิลี่เป็นมะเร็งขั้นสุดท้าย เธอผ่านการผ่าตัดมานับครั้งไม่ถ้วน เธอใช้เวลาเกือบครึ่งชีวิตอยู่ในโรงพยาบาลและได้รับความเจ็บปวดอย่างสาหัส เมื่อพวกเราบอกเธอว่า เราจะพยายามทำความฝันอันสุดยอดของเธอให้เป็นจริง เธอพูดว่า เธอปรารถนาที่จะมีวันสนุกๆ สักวันในสวนสาธารณะ พวกเราบอกเธอว่า เด็กส่วนมากต้องการไปดิสนีย์เวิลด์หรือเล่นบอลที่ชายหาด แต่เธอกลับยิ้มและพูดว่า สิ่งเหล่านั้นก็ดีนะ แต่หนูอยากมีวันที่สนุกๆ สักวันหนึ่งในสวนสาธารณะ”
“เอมิลี่ได้สร้างความประทับใจแก่ทุกคนในโรงพยาบาล และทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมากในชีวิตของคนเหล่านั้น ขณะนั้นเองเอมิลี่ก็หยุดเล่นชิงช้าแล้วเดินตัดสนามหญ้ามาช้าๆ มานั่งลงบนม้านั่งระหว่างเราสองคน เธอหันมายิ้มให้ผม และสิ่งที่ผมจะไม่ลืมเลยก็คือ เธอบอกว่าเธอชื่อเอมิลี่ และวันนี้เป็นวันพิเศษของเธอในสวนสาธารณะ เธอถามผมว่า วันนั้นเป็นวันพิเศษของผมด้วยหรือเปล่า ผมตอบไปว่าคงไม่ใช่ เธอก็หัวเราะออกมาและบอกว่า ผมสามารถร่วมแบ่งปันวันพิเศษกับเธอในสวนสาธารณะนี้ได้ ดังนั้น ผมจึงใช้เวลาที่เหลือในวันนั้นอยู่ที่สนามเด็กเล่นกับเอมิลี่ เธอมีกำลังใจและความสุขอยู่ภายในร่างเล็กๆ อายุ ๗ ขวบ มากกว่าที่ผมคิดว่ามนุษย์คนใดจะมีได้”
“สิ้นสุดวันนั้น เธอเหนื่อยมากจนเจ้าหน้าที่สาวจากโรงพยาบาลต้องพาเธอนั่งรถเข็นกลับไป แต่ก่อนที่เอมิลี่จะจากไป เธอบอกกับผมว่า เมื่อเธอกลับถึงโรงพยาบาล เธอจะบอกนางพยาบาลเพื่อดูว่าพวกเขาจะจัดให้ผมมีวันพิเศษในสวนสาธารณะด้วยได้หรือไม่” เจสันหยุดไปชั่วขณะและมองตรงมาที่ผม น้ำตาคลอเบ้า
“ช่วงปลายสัปดาห์นั้น ผมได้พบกับชายวัยกลางคนกำลังเดินอยู่บนทางเท้าหน้าบ้านผม เขาเห็นผมเดินไปที่รถ จึงตรงเข้ามาหาผมอย่างยิ้มแย้ม เขายื่นมือออกมาแนะนำตัวว่าชื่อ บิล จอห์นสัน เขาบอกว่ารถของผมเป็นรถที่สวยงามมากที่สุดคันหนึ่งเท่าที่เขาเคยเห็น เขาเป็นคนในละแวกนั้น รับทำงานเล็กๆ น้อยๆ ทั่วไป เขาว่าถ้าผมจ้างเขาล้างรถก็จะถือเป็นความกรุณามาก”
“ผมถามว่า ทำไมเขาถึงออกมาทำงานแบบนี้ เขาบอกว่าในช่วงที่บริษัทต่างๆ พากันตัดงบประมาณให้น้อยลง ทั้งเขาและภรรยาต้องตกงาน เขามีลูกเล็กๆ อีกสามคนที่บ้าน ทั้งเขาและภรรยาจึงต้องขวนขวายทำทุกอย่างเพื่อให้ครอบครัวอยู่รอด เห็นได้ชัดว่า พวกเขาใช้เงินที่เก็บออมไว้จนหมดแล้ว และต้องหาเลี้ยงชีพไปวันๆ กับงานเล็กๆ น้อยๆ ผมถามว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าเขาหาเงินได้ไม่พอ เขายิ้มและบอกว่า เรามีเพียงพอเสมอ ปัญหาที่เผชิญอยู่กลับสร้างเงื่อนไขที่น่าสนใจขึ้นในครอบครัวเสียด้วยซ้ำ นั่นคือ พวกเขาได้ใช้เวลาร่วมกันมากกว่าที่เคยเป็นมา และลูกๆ ก็ได้รู้ถึงคุณค่าของเงินและการทำงานด้วย ...เขายังเล่าถึงสิ่งดีๆ ทุกอย่างที่เขากับภรรยาและครอบครัวกำลังเรียนรู้และทำด้วยกัน เขาล้างรถของผมและผมก็จ่ายตามที่เขาเรียก ผมพยายามจะให้เงินมากกว่านั้น แต่เขาไม่ยอมรับ”
“วันต่อมา ผมขับรถผ่านสุสานและเห็นขบวนแห่ศพที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นมา...ผมลงจากรถไปสอบถามชายชราว่าเป็นพิธีศพของคนมีชื่อเสียง หรือดารายอดนิยมหรือ เขาหัวเราะและตอบว่า เป็นพิธีศพของคนมีชื่อเสียงและดารายอดนิยมจริงๆ เพราะเขาอยู่กับเธอมาเกือบ ๖๐ ปี เธอเป็นครูมา ๔๐ ปี และมีอิทธิพลอย่างมากต่อนักเรียน ศิษย์ของเธอเป็นร้อยๆ คนหลั่งไหลมาจากทุกภาคของประเทศเพื่อมาร่วมงานศพครั้งนี้..ผมบอกเขาว่า ผมขอโทษที่มารบกวนในวันที่น่าจะแย่ที่สุดของเขา เขาหัวเราะเบาๆ และบอกผมว่า ชีวิตของเขาอาจจะเปลี่ยนไป แต่ไม่มีใครที่อยู่กับโดโรธี ๖๐ ปี แล้วจะมีวันที่แย่ ฉันเพียงแต่ยืนอยู่ตรงนี้ เพื่อขอบคุณโดโรธี สำหรับทุกสิ่งทุกอย่างที่เธอทำและสัญญาว่า ฉันจะไม่ทำให้เธอผิดหวัง ชายชราคนนั้นเอามือมาโอบไหล่ผม และพวกเราก็เดินออกจากสุสาน ขณะที่ผมกำลังขึ้นรถ เขาบอกกับผมว่า ถ้ามีอะไรให้เขาช่วย ติดต่อเขาได้เลย...”
“ผมพยายามหาคนหนุ่ม สาวที่มีปัญหา จนถึงวันนี้ผมยังไม่พบหนุ่มสาวคนไหนที่ได้เรียนรู้ปัญหาต่างๆ มากเท่าผม ตลอดชีวิตที่ผ่านมา ผมใช้ชีวิตแบบเห็นแก่ตัวและเอาแต่ใจตัวเอง ผมไม่เคยรู้เลยว่าในชีวิตจริงคนเราต้องพบกับปัญหาที่มีตัวตนจริงๆ เมื่อก่อนผมเห็นชีวิตผู้คนเป็นเหมือนแค่ภาพยนตร์หรือข่าวในโทรทัศน์เท่านั้น แต่เป็นเพราะคุณปู่เรด ที่ช่วยให้ผมตระหนักได้ในที่สุดว่าตัวเองเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ ไม่เคยได้เรียนรู้บทเรียนวิเศษของปัญหาชีวิต ซึ่งคนที่ผมพบในเดือนนี้กำลังเรียนรู้อยู่ ในที่สุดผมก็รู้ว่า ความยินดีไม่ได้มาจากการหลีกหนีปัญหาหรือให้คนอื่นจัดการแทนเรา แต่แท้จริงแล้ว ความยินดีมาจากการเอาชนะปัญหา หรือเรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตอยู่กับมันอย่างมีความสุข”
หลังจากนั้นเจสันรีบออกจากห้องไปพร้อมกับพูดว่า “ผมมีนัด ผมต้องไปพบเพื่อนคนพิเศษที่หน้าชิงช้าในสวนสาธารณะ ผมจะมาหาคุณอีกครั้งในวันพรุ่งนี้”
พรข้อที่ ๖ พรแห่งครอบครัว (บางคนเกิดในครอบครัวที่เพียบพร้อม แต่บางคนต้องค้นหาหรือสร้างครอบครัวขึ้นมา การเป็นสมาชิกคนหนึ่งในครอบครัวคือสมาชิกภาพที่ยากจะประเมินค่าได้ ซึ่งเราไม่ต้องจ่ายสิ่งใด นอกจาก...ความรัก)
“เจสัน ปู่รู้ดีว่าครอบครัวของเรานั้นเละเทะมาก และปู่ยอมรับว่าตัวเองมีส่วนต้องรับผิดชอบเต็มที่ อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าสถานการณ์ในครอบครัวจะดีเลิศหรือย่ำแย่ก็สามารถให้บทเรียนแก่เราได้ ครอบครัวสามารถสอนให้เรารู้ว่า เราต้องการหรือไม่ต้องการอะไรจากชีวิต... ครอบครัวให้รากเหง้า ให้มรดกตกทอดต่อกันมาและให้อดีตแก่เรา ครอบครัวยังเป็นฐานสำหรับก้าวไปสู่อนาคตอีกด้วย ไม่มีอะไรในโลกที่จะแข็งแกร่งไปกว่าความสัมพันธ์ที่ครอบครัวสร้างขึ้นมา มันเป็นความสัมพันธ์แห่งรักอันบริสุทธิ์ที่สามารถยืนหยัดต่อแรงกดดันทั้งหลาย...เป็นเรื่องสำคัญสำหรับเธอที่จะเข้าใจว่าครอบครัวมีหลายรูปแบบและหลายขนาด คนบางคนมีบุญได้อยู่ร่วมหรือผูกพันกับครอบครัวที่เขาเกิดมาไปจนตลอดชีวิต แต่บางคนก็เหมือนกับเธอ เจสัน เหตุปัจจัยหลายอย่างทำให้เขาถูกทอดทิ้งโดยปราศจากครอบครัว จะเหลือก็แต่เพียงในนามเท่านั้น คนแบบนี้ต้องออกไปสร้างครอบครัวใหม่”
เจสันได้รับภารกิจเดินทางไปยังบ้านเรด สตีเวนส์สำหรับเด็กชาย โดยจะทำหน้าที่แทนพ่อบ้านไปตลอดหนึ่งเดือน ดูแลเด็กกำพร้า ๓๖ คน ที่มีอายุตั้งแต่ ๖-๑๖ ปี
วันแรก เจสันดูเหมือนจะเป็นคนแปลกหน้า แต่ในที่สุดเขาก็สามารถทำหน้าที่เหมือนเป็นพ่อ พี่ชาย ครู และเพื่อนของเด็กทั้ง ๓๖ คนได้ เมื่อถึงวันสุดท้าย เด็กๆ ต่างออกมาทีละคนเพื่อกล่าวอำลาเจสัน พวกเขาต่างผลัดกันสวมกอดและร้องไห้ เจสันได้รับของขวัญจำนวนหนึ่ง ซึ่งนับว่าเป็นสิ่งมีค่าสูงสำหรับเด็กๆ
ระหว่างความเงียบในรถที่แล่นออกมา เจสันได้พูดขึ้นว่า “คุณรู้ไหมว่าอะไรคือสิ่งที่น่าทึ่ง ไม่มีใครในเด็กชายเหล่านั้นที่มีครอบครัว แต่พวกเขาแต่ละคนกลับรู้เรื่องเกี่ยวกับครอบครัวมากกว่าที่ผมรู้ ผมคิดว่าครอบครัวไม่ได้มีเพียงมีความสัมพันธ์กันทางสายเลือด แต่ยังเป็นความสัมพันธ์ทางความรัก”
(โปรดติดตามตอนต่อไป...)
ไม่มีความเห็น