บทความหน้าสุดท้ายของนิตยสาร ไทม์ ฉบับวันที่ ๑๑ มิ.ย. ๕๕ ในคอลัมน์ 10 Questions เรื่อง Nobel Prize-winning economist Joseph Stiglitz on inventing the 1% and why they’re bad for the economy เป็นการคุยกันเบาๆ ในเรื่องที่หนักหนาสาหัสสำหรับอารยธรรมมนุษย์ คือความเหลื่อมล้ำ
ทำให้ผมได้อ่านหนังสือดีชื่อ The Price of Inequality : How Today’s Divided Society Endangers Our Future ที่ชี้ให้เห็นว่าระบอบประชาธิปไตยที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันในสหรัฐอเมริกามีจุดอ่อน นำไปสู่ระบบเศรษฐกิจที่บิดเบี้ยว คือความล้มเหลวของระบบตลาด ที่แทนที่จะทำเพื่อคนส่วนใหญ่ กลับสนองผลประโยชน์ของคนส่วนน้อย คือแทนที่จะ “of the people, for the people, by the people” กลายเป็น “of the 1%, for the 1%, by the 1%” 1% ในที่นี้คือคนที่รวยที่สุดในสังคม 1%
ความเหลื่อมล้ำในสังคมที่สะสมรุนแรงขึ้น จะนำไปสู่ความรุนแรงในสังคม ก่อการเปลี่ยนแปลงใหญ่ตามมา เกิดยุคใหม่ เหมือนอย่างที่เคยเกิดในปี ค.ศ. 1848 และ 1968 Joseph Stiglitz เสนอว่า ปี 2011 น่าจะถือได้ว่าเป็นปีเปิดฉากศักราชใหม่ ที่มหาชนทั่วโลกลุกขึ้นเปลี่ยนแปลงระบอบสังคมที่มีความเป็นธรรมกว่า
ระบบตลาดใน สรอ. ได้รับความร่วมมือจากระบบการเมืองที่ซับซ้อน ทำให้รัฐบาลใช้อำนาจ (ที่คนมองไม่เห็น ไม่รู้สึก) ส่งเสริมความได้เปรียบ หรือเอื้อประโยชน์ แก่คน 1% บน หนังสือเล่มนี้บอกว่า ระบบเศรษฐกิจและการเมืองของ สรอ. กำลังเดินเข้ามุมอับ คือเข้าสู่สภาพที่คนรวยก็รวยล้น คนชั้นกลางลดลง คนจนจนลง ในขณะที่ประเทศที่พัฒนาแล้วหลายประเทศไม่เป็นเช่นนั้น ความเหลื่อมล้ำในสังคมของอีกหลายประเทศที่พัฒนาแล้วลดลง หรือไม่ถ่างกว้างขึ้น
ผมเคยอ่านจากที่ไหนสักแห่ง เมื่อนานมาแล้ว คงจะเกือบ ๒๐ ปี ว่าเมื่อไรและที่ไหนก็ตามมีการรวมศูนย์ความมั่งคั่ง (concentration of wealth) จะเกิดกลียุค หรือการเปลี่ยนแปลงใหญ่จะตามมา เพราะสังคมจะทนไม่ได้ หนังสือเล่มนั้นอ้างเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์โลกมากมาย
จะเห็นว่าระบอบประชาธิปไตย หรือการใช้สิทธิเลือกตั้ง ไม่ใช่ทุกสิ่งทุกอย่างที่จะนำไปสู่ความสงบสุขในสังคม เรายังต้องมีกลไกกระจายความมั่งคั่งอยู่ในระบบย่อยๆ ของสังคม
หนังสือบอกว่า ถ้าไม่มีกลไกควบคุมกำกับตรวจสอบ นักการเมืองกับนักธุรกิจจำนวนหนึ่งจะร่วมมือกันแสวงหาความได้เปรียบ (rent seeking) จากธุรกิจ ซึ่งจะเกิดขึ้นอย่างแยบยล ผู้คนทั่วไปไม่รู้สึก โปรดสังเกตสภาพในประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคที่นักธุรกิจครองเมือง รวมทั้งในยุคปัจจุบัน
ผมคิดว่า น่าจะเรียกว่า คอรัปชั่นที่ถูกกฎหมาย
วิจารณ์ พานิช
๒๙ มิ.ย. ๕๕
ระบบประชาธิปไตย....ยังมีจุดอ่อน อีกนะคะ....ส่งผลระบบEcoบิดเบี้ยว...ผลคือ ความล้มเหลวทางการตลาด (ร้ายแรงจริงๆนะคะ) นำไปสู่ความเลื่อมทางสังคม...นำไปสู่ความรุ่นแรงของสังคม (ไทยเราก็ไม่แตกต่างนะคะ...ความคิดของหนูนะคะ)
ขอบคุณมากค่ะ ท่าน อจ.หมอที่เคารพ