ชุมชน R2R
ชุมชนที่มีเหล่านักวิจัย นักบริหารงานวิจัย ผู้สนับสนุนงานวิจัย และผู้ใช้งานวิจัยมารวมตัวกัน มีความผูกพัน มีปฏิบัติการทางวิชาการ และทางสังคมร่วมกัน ก็สามารถเรียกได้ว่าเป็นชุมชน ชุมชนหนึ่งได้เช่นกัน
จากบทนำ การปรับทัศนคติสู่การเรียนรู้ชุมชน ของหนังสือเล่มนี้
มีข้อความบางตอนที่ทำให้เราเข้าใจความเป็นชุมชนมากขึ้น
ข้อความแรก
ชุมชน...ไม่ใช่อะไรที่เราจะไป “โรแมนติก” หรือไปโหยหาแต่ความสมานฉันท์ กลมเกลียว กลมกลืน และเอื้อเฟื้อเกื้อกูล และก็ไม่ใช่สิ่งที่เราจะไปหาขุดคุ้ยมองหาแต่ปัญหาความแตกแยกหรือความขัดแย้ง
ความจริงก็คือ
ชุมชนนั้นเป็น “ศักยภาพ” คือมีพลังแห่งความเป็นไปได้ที่จะก่อเกิดเป็นผลได้ทั้งในด้านบวกและด้านลบ
เราอ่านแล้วสะดุด เราคงกำลังโรแมนติกกับชุมชน R2R อยู่ ต่อมาผู้เขียนอธิบายต่อว่า
ศักยภาพของชุมชนอยู่ที่การมีการจัดตั้งและการจัดการที่ดี มีกระบวนการที่สมาชิกของชุมชนไม่นิ่งดูดายต่อความทุกข์ยากของผู้อื่น มีความกระตือรือร้นและมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาของส่วนรวม อยู่ร่วมกันอย่างเคารพซึ่งกันและกันและสามารถรวมตัวกันต่อสู้หรือต่อรองแก้ไขปัญหาผลกระทบที่เกิดจากโครงสร้างหรือปัจจัยต่างๆได้
และได้อธิบายย้ำถึงหลักสำคัญของโครงสร้างองค์กรชุมชนว่า
ความสัมพันธ์ในชุมชนหนึ่งๆ มีประวัติศาสตร์ความเป็นมาและมีเหตุปัจจัยทั้งทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง มีทั้งความเอื้อเฟื้อเกื้อกูลและความขัดแย้ง การมองชุมชนแบบโรแมนติกว่ามีแต่ความรักใคร่สามัคคีกันทำให้ละเลยต่อมิติของความแตกต่างขัดแย้งซึ่งอาจมีความความสำคัญอย่างยิ่งต่อการทำงานชุมชน
เราอ่านหนังสือเล่มนี้เพื่อทำความเข้าใจกับความเป็นชุมชน ซึ่งอาจนำมาใช้กับชุมชน R2R ได้ สิ่งทั้งหลายในบทความข้างต้นแม้เราจะรับรู้ว่ามันคือความจริงแต่ตัวเองก็ยังอดโรแมนติกต่อไปไม่ได้ ยังหวังต่อไปกับชุมชน R2R ของพวกเรา ก็ในเมื่อพวกเรามีพื้นจากความตั้งใจที่ดีคือพัฒนางานไม่ใช่เหรอ
ดังนั้น สิ่งที่ตัวเองต้องใส่ใจต่อจากนี้ไปคือ การฝึกฝนการจัดการที่ดี ซึ่งเป็นเรื่องยากและท้าทายเรื่องหนึ่ง
ขอขอบคุณผู้เขียนหนังสือเล่มนี้เป็นอย่างสูง
อ.ดร.นพ.โกมาตร จึงเสถียรทรัพย์,
คณิศร เต็งรัง, ราตรี ปิ่นแก้ว, วรัญญา เพ็ชรคง จาก สวสส.