ผมได้รับอีเมล์จากนักศึกษาระดับปริญญาเอก (ย้ำคำว่าปริญญาเอก) ขอให้ช่วยแนะนำหัวข้อวิจัยด้าน KM อยู่บ่อย ๆ
จึงขอประกาศไว้ว่าผมจะไม่มีวันบอกหัวข้อวิจัยให้แก่นักศึกษาปริญญาเอก เพราะการเลือกหัวข้อวิจัยต้องเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการศึกษาหาความรู้ เน้นคำว่ากระบวนการ
ผมมีความเห็นว่า การที่นักศึกษาปริญญาเอกไปเที่ยวขอหัวข้อวิจัยจากคนโน้นคนนี้เป็นพฤติกรรมของความเข้าใจผิดต่อการเรียนระดับปริญญาเอก (หรือผมเป็นผู้เข้าใจผิดเสียเอง?) คือคิดว่าแค่มีหัวข้อวิจัยและผ่านคณะกรรมการสอบก็ใช้ได้ นี่คือการตีความหมายของการศึกษาระดับปริญญาเอกผิดและจะทำให้อุดมศึกษา (โดยเฉพาะอย่างยิ่งบัณฑิตศึกษา) ตกต่ำด้านคุณภาพ
จะทำให้นักศึกษามุ่งแค่ให้จบ ไม่มุ่ง "ศึกษา" ที่เป็นการศึกษาระดับปริญญาเอก คือการค้นคว้าอย่างทุ่มเทจริงจัง ถ้าจะถามคนอื่นก็ไม่ถามแบบสมองว่างอย่างที่มีคนมาถามผม
การถามแบบสมองว่างคือไม่บอกเลยว่าตนเองศึกษาค้นคว้ามาแล้วอย่างไรบ้าง และมีความคิดของตัวเองอย่างไร ตัวคำถามที่ถามนั้นตนเองตอบอย่างไร มีข้อสงสัยต่อคำตอบอย่างไร
นักศึกษาระดับปริญญาเอกต้องอย่าไปเที่ยวถามใคร ๆ แบบตนเองสมองว่างครับ
มหาวิทยาลัยต้นสังกัดต้องแนะนำนักศึกษาให้เข้าใจคุณค่าของการศึกษาระดับปริญญาเอกให้ถ่องแท้ครับ และต้องสอนว่าอย่าไปเที่ยวถามใคร ๆ แบบสมองว่าง เพราะมันเป็นการเสียชื่อมหาวิทยาลัย
ผมยอมเอา "อปิยวาจา" ขึ้นบล็อก เพื่อช่วยกันธำรงคุณภาพของบัณฑิตศึกษาไทยครับ
วิจารณ์ พานิช
11 ก.ย.49
อ. หมอ วิจารณ์ครับ
ผมเห็นด้วย 100% ในเรื่องนี้ครับ ปัญญาจะเกิดขึ้นได้เมื่อมีการตกผลึกทางความคิด โดยเฉพาะการตั้งปัญหาเพื่อหาคำตอบครับ การได้มาซึ่งปัญหาการวิจัยต้องเป็นการตกผลึกความคิดระดับหนึ่ง ไม่ใช่การถามใครเป็นหลักครับ เพราะความรู้ที่ได้ตอนพยายามตั้งปัญหามีคุณค่ามาก
ตอนผมเป็นนักศึกษาอยู่ ผมเห็นเพื่อนหลายคนใช้เวลาหลายปีหาหัวข้อทำวิจัยอยู่ ผลปรากฏว่าเค้ากลับได้ลู่ทางในการทำหรือประยุกต์นวัตกรรมและตัดสินใจหยุดการวิจัย และจบตรง สถานะภาพ Ph.D. Candidate แล้วออกไปเริ่มตั้งบริษัท
คนที่ตั้ง google หรือบริษัทหลายๆบริษัทใน US ก็เป็นแบบนี้ครับ
ผมว่าการเข้าใจตัวเองเป็นสิ่งสำคัญและเป็นตัวตั้ง มากกว่าการเอาแค่ทำอย่างไรก็ได้เพื่อให้ได้ปริญญามาเป็นหลัก สังคมไทยควรสนใจในความรู้และองค์ความรู้มากกว่าคุณวุฒิที่ขาดจุดยืน
ปรอง
ขอสนับสนุนเช่นกันคะ...นักศึกษาปริญญาเอกหาใช่จะเอาแค่ใบปริญญาเท่านั้น..ต้องแสวงหาข้อค้นพบใหม่และค้นคว้าหาคำตอบอยู่ตลอดเวลา...กะปุ๋มใช้เวลาในการศึกษาอยู่ตลอดเวลา..โดยใช้ตัวตั้งแห่งความสงสัยของตนเองเป็นหลัก...จากนั้นก็แสวงหาคำตอบด้วยตนเอง...และถกกับผู้รู้ในบางครั้ง...แต่ไม่ใช่นำคำตอบของผู้รู้นั้นไปใช้...การถกทำให้ความคิดของเราต่อยอด...และพุ่งไปสู่การแสวงหาคำตอบได้ชัดเจนขึ้น...และที่สำคัญนักศึกษาปริญญาเอกต้องไม่ไปนำผลงานของคนอื่น..มา coppy ใช้...ในงานของตนเอง กะปุ๋มกับเพื่อนๆ...หลายคนที่จบปริญญาเอกมา..ทุกคนต่างทำงานหนัก และคลุกอยู่กับงานของตนเองตลอด...และที่สำคัญการทำดุษฎีนิพนธ์ต้องลงมือทำและศึกษาด้วยตนเอง...ไม่ใช่ไหว้วานให้คนอื่นทำให้...
ขอบคุณคะ
กะปุ๋ม
เรียน อาจารย์ที่เคราพ
ผมคิดว่าการยกเรื่องขึ้นมาปรึกษาอาจารย์เช่น การใช้ KM ในองค์กรจะประสบความสำเร็จมาจากผู้บริหารเท่านั้น เป็นการเรียนปรึกษาอาจารย์อย่างนี้ได้มั้ยครับ และให้อาจารย์วิพากษ์ว่าไม่เหมาะ หรืออย่างไร ดีกว่าไม่เตรียมวิธีการมาเลย
ที่ถามเพราะ อาจารย์ถือเป็นผู้ที่รู้มากที่สุดท่านหนึ่งของ KM ในเมืองไทยครับ
จุดเริ่มต้นของการวิจัยมี 2 ทิศทาง คือ การเริ่มต้นจากปัญหา กับ การเริ่มต้นจากวิสัยทัศน์ โดยมีทางเลือกดังนี้
ทางเลือกที่ 1 เลือกเรื่องที่เราอยากรู้ มีความสนใจเป็นพิเศษ
ทางเลือกที่ 2 เป็นเรื่องที่เรารัก เราชอบ
ทางเลือกที่ 3 เลือกเรื่องที่อยู่ใกล้ตัว
ทางเลือกที่ 4 เลือกเรื่องที่เรามีประสบการณ์
ทางเลื่อกที่ 5 เลื่อกเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเรา
ทางเลื่อกที่ 6 เลื่อกเรื่องที่เราได้คันคว้ามามากๆๆ
ทางเลื่อกที่ 7 ทำการต่อยอดจากที่คนอื่นๆทำไว้แล้ว
ทางเลื่อกที่ 8 การพูดคุย ถกเถียงกัน อาจทำให้เกิดหัวข้อได้
ทางเลื่อกที่ 9 เลือกหัวข้อตามแหล่งที่ให้ทุนการศึกษา
คุณกะปุ๋ม ออกจะชมตัวเองมากไปหน่อยมั้งครับ คุณแน่ใจนะว่าคุณไม่คัดลอก งานของบุคคลอื่นมาไว้ในงานวิจัยของคุณ ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้หรอก งานวิจัยขั้นเทพ ต้องมีบางส่วนของคนที่ทำอยู่แล้วมาใช้ในงานวิจัย