ทุกวันนี้คนเราทำงานหนักกว่าสมัยก่อนเยอะ เท่าที่ผมสังเกตนะครับ บางคนมีงานประจำอยู่แล้ว แต่พอเลิกจากงานประจำก็ไปต่อด้วยงานพิเศษ เช่น ขับแท็กซี่ หรือไปเล่นดนตรีตอนเย็น หรือขายของตามตลาดนัด เพื่อให้มีรายได้เสริมพิเศษมากขึ้น ทั้งนี้ก็อาจจะเป็นเพราะภาวะทางเศรษฐกิจที่ต้องแข่งขันกันอย่างสูง อีกทั้งภาระหนี้สินที่เราสร้างขึ้นมาอีกมากมาย ก็เลยเป็นผลทำให้เราต้องทำงานหนักมากขึ้น เพื่อให้มีรายได้เพียงพอที่จะตอบสนองความต้องการต่างๆ ของเราเอง สิ่งที่สำคัญก็คือ ตัวเราเองรู้ตัวหรือไม่ว่า ขณะนี้เรากำลังทำงานหนักไปเพื่ออะไร
คิดๆ แล้วก็น่าสนใจนะครับว่าเราทำแบบนี้ไปเพื่ออะไรกันแน่
บางคนก็ตอบว่าทำไปเพื่อที่จะยกระดับชีวิตและความเป็นอยู่ของตนเองให้สูงขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ บางคนก็ทำไปเพื่อเอาเงินไปใช้หนี้ บางคนก็ตอบว่าอยากรวยก็ต้องทำงานให้หนัก แต่เชื่อมั้ยครับว่ามีอีกหลายคนที่ตอบไม่ได้ว่าทำไปเพื่ออะไร เขาให้ทำแบบนี้ สังคมบังคับให้เราเป็นแบบนี้เราก็เดินตามกันไป โดยไม่รู้เลยว่าเป้าหมายในชีวิตของเรานั้น เราทำงานหนักไปเพื่ออะไร
หลายคนทำงานหนักทุ่มเทมากมาย เพื่อให้ได้เงิน แต่สุดท้ายก็ต้องเอาเงินที่หามาได้นั้นไปรักษาตัวเองเพราะความเจ็บป่วยที่เกิดขึ้นจากการทำงานหนักเกินไป ต้องนอนโรงพยาบาล ไม่สามารถที่จะไปไหนมาไหนได้เลย ถามว่าคุ้มค่าหรือไม่ที่จะทำแบบนี้
ผมได้อ่านเจอนิทานอยู่เรื่องหนึ่ง อ่านแล้วก็นึกถึงตัวเอง และนึกถึงคนที่กำลังทำงานหนักอยู่ ว่าท่านทราบหรือไม่ว่า ท่านกำลังทำงานหนักไปเพื่ออะไร ก็เลยเอานิทานเรื่องนี้มาเล่าให้อ่านกันครับ เรื่องราวมีอยู่ว่า
มีชายคนหนึ่งเมื่อได้ร่ำเรียนหนังสือจนจบแล้ว ก็ได้รับของขวัญจากพ่อเป็นม้าหนุ่มตัวหนึ่ง ซึ่งม้าต้วนี้มีฝีเท้าดีมาก ท่วงทีงามสง่า แข็งแรงบึกบึน เขาดีใจมากที่ได้รับม้าตัวนี้เป็นของขวัญ ทันทีที่ได้รับม้ามา เขาก็กระโดดขึ้นขี่ ม้าตัวนี้ก็ออกวิ่งอย่างรวดเร็วปานลมกรด โดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุดเลย ตัวชายหนุ่มคนนี้ก็ไม่กล้าที่จะกระโดดลงจากหลังม้าตัวนี้ ก็เลยต้องควบม้าตัวนี้ไปเรื่อยๆ ผ่านเมืองต่างๆ ประเทศต่างๆ มากมาย ตั้งแต่ยังหนุ่มจะกระทั่งถึงวัยกลางคน จนกระทั่งแก่ตัวลง ก็ยังไม่กล้าลงจากหลังม้า ร่างกายของเขาทรุดโทรมลงมาก เพราะตรากตรำอยู่แต่บนหลังม้า หน้าตาไม่มีชีวิตชีวา อมโรคอยู่ตลอด ดูๆ ไปแล้วเหมือนกับศพกำลังขี่ม้ามากกว่า
วันหนึ่งเขาขี่ม้าผ่านเมืองอีกเมืองหนึ่งด้วยความเร็วสูงมาแต่ไกล ชาวบ้านเห็นเขามาแต่ไกลก็เลยเกิดความสงสัย พอม้าควบเข้ามาใกล้ ก็เลยตะโกนถามไปว่า
“ท่านจะควบม้าไปไหนหรือ?” ชายหนุ่ม (ซึ่งแก่แล้ว) ก็ตะโกนตอบกลับมาว่า
“ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าผมกำลังจะไปไหน เพราะตั้งแต่กระโดดขึ้นบนหลังม้าแล้ว ก็ไม่เคยลงจากหลังม้าเลยแม้แต่ครั้งเดียว ถ้าอยากรู้ว่าจะไปไหน ลองถามม้ามันดูก็ได้ว่าจะไปไหน"
แล้วม้ามันจะตอบได้มั้ยล่ะเนี่ยะ
พออ่านนิทานเรื่องนี้จบ ก็มานั่งคิดๆ ดูว่า ขณะนี้ท่านกำลังขี่ม้าแบบนี้อยู่หรือเปล่า ขึ้นขี่ม้าโดยไม่คิดจะลง หรือไม่กล้าที่จะลงจากหลังม้า เพราะกลัวไปต่างๆ นานา กลัวว่าจะเจ็บ กลัวว่าจะไม่ทันเวลา กลัวว่าจะเสียเวลาไปเปล่าๆ ฯลฯ
ถ้าเรายังไม่ศึกษาวิธีที่จะลงจากหลังม้าบ้างเป็นครั้งคราว เราก็อาจจะเป็นเหมือนชายหนุ่มในนิทานก็ได้ ที่ขี่ม้าไปเรื่อยๆ ให้ม้ามันพาไป โดยไม่รู้ว่าจะไปไหน และก็ไม่กล้าที่จะลงจากหลังม้าอีกต่างหาก
ทำงานหนักได้ แต่ก็คงต้องหาเวลาพักผ่อน หาเวลาพัฒนาตนเอง ทั้งในด้านร่างกาย และจิตใจ อยู่เสมอ ชีวิตเราไม่ได้มีแค่งานเพียงอย่างเดียวเท่านั้น จริงๆ แล้วยังมีสิ่งสวยงามในชีวิตอีกมากมายที่รอเราลงจากหลังม้าที่เราขี่อยู่ ขอเพียงให้กล้าที่จะควบคุมม้า และลงจากหลังม้าบ้าง ไม่ใช่ให้ม้าควบคุมเราอย่างเดียวจนเราไม่สามารถทำอะไรได้เลย
วันนี้ท่านได้ลงจากหลังม้าบ้างหรือเปล่าครับ
ขอบคุณค่ะ สำหรับนิทานชวนคิด...เริ่มต้นเช้าวันทำงาน...อืมม์..สำหรับคำถาม...ก็คงต้องหาคำตอบ หรือมีคำตอบแล้วในใจค่ะ ;-))
รู้สึกว่าอย่างนั้นครับ หนักไปสักนิด
ทราบคะว่า บ้างาน "ไม่ดี" ตนเองกำลังพยายามอยู่ค่ะ อยากลดความบ้าลง เช่นกัน ....จะพยายามขึ้นให้มากๆๆค่ะ
ขอบคุณมากนะคะ สำหรับบทความดีดีนี้คะ