วันนี้ขออนุญาตนำนิทานเรื่องหนึ่ง ที่เคยได้รับฟังและการพร่ำสอนจากอาจารย์ของผมเมื่อครั้งอดีต มาถ่ายทอดให้กับทุก ๆ ท่าน
ถ้าเกิดมีท่านใดเคยลงแล้วก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยครับ
ณ ที่ตลาดค้าทาสแห่งหนึ่ง มีการค้าขายทาสที่เป็นมนุษย์กันอย่างมากมายเป็นปกติ
คนที่มาซื้อทาสพอซื้อทาสเสร็จเขาก็จะพาทาสไป
ทาสโดยปกติพอซื้อเสร็จแล้วเขาก็ไม่อยากไป เพราะรู้ว่าไปแล้วต้องทำงานหนัก ต้องลำบาก
แต่นั่นก็เป็นสิทธิของนายทาส เมื่อซื้อแล้วก็เขาก็จะนำทาสผู้นั้นไปใช้งานอะไรก็ได้ ซื้อแล้วก็ฉุดกระชากลากถูก็พากันไปเรื่อย ๆ
เหตุการณ์ผ่านไป
ทาสคนแล้วคนเล่า ก็ถูกซื้อก็ถูกซื้อไปจนใกล้จะหมด
จนกระทั่งมีทาสคนสุดท้ายเหลืออยู่ ซึ่งตอนนั้นตัวเขารู้แล้วว่ามีคนมาซื้อตัวเขาแล้ว แต่ยังไม่มีใครมารับตัวและยังไม่รู้ว่านายทาสอยู่ไหน
ทาสผู้นั้นก็เลยเข้าไปถามคนที่ขายว่า
“ใครล่ะเป็นคนที่ซื้อฉัน”
แล้วคนที่ขายทาสก็เลยบอกว่า
“คุณเป็นอิสระแล้ว ตอนนี้เขาซื้อคุณเรียบร้อยแล้ว”
ทาสคนนั้นก็นิ่งและยืนคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดกับคนขายว่า
“บอกได้ไหมใครที่ซื้อฉัน ฉันต้องการรู้”
คนที่ขายทาสก็เลยถามว่า แล้วคุณต้องการรู้ทำไมล่ะ
“ถ้าฉันรู้ว่าใครซื้อฉัน ฉันจะได้ไปรับใช้เขาชั่วชีวิต”
นิทานจบ...
คือ การกลับมาอย่าง "ศรัทธาในตน"...
ไม่หวังที่จะพึ่งจิตวิญญาณ...ใคร...
อิสระ...แห่งพันธการ...ใดใด...สู่ความยั่งยืน
แห่งอิสระ....ที่ศรัทธา...
เรื่องชวนคิดค่ะ คิดได้หลายแง่ด้วย
ตอนนี้อยากคิดอย่างนี้ว่า "ไม่มีใครปลดปล่อยคนอื่นจากการเป็นทาสได้ หากเจ้าตัวที่เป็นทาสนั้นไม่ยินยอม"
เหมือนกับควาญฝึกช้าง ที่ลดขนาดโซ่ลงมาได้เรื่อยๆ จนกลายเป็นสุดท้ายใช้เชือกไนล่อนเส้นเล็กๆก็พอ กำลังช้างมีมหาศาลเหมือนเดิม แต่จิตยอมรับเชือก ว่ามีอำนาจเท่ากับโซ่ ใจไม่ยอมสั่งกาย อย่างนี้ต้อง paradigm shift (จะใช่หรือเปล่า) คือต้องคิดแหกคอก
คงเพราะแนวคิดเรื่องความกตัญญูถูกปลูกฝังไว้ในใจ
การเป็นทาสตามหน้าที่เพราะไม่มีทางเลือก
กับการเต็มใจเป็นทาสเพราะกตัญญูต่อผู้ซึ่งช่วยเหลือ
ย่อมต่างกัน..
คิดว่า...จะเป็นทาสหรืออิสระ
ย่อมอยู่ที่อยู่ที่ก็ใดแล้วเราพอใจนะคะ..