อ่าในที่สุดผมก็มีเวลามาอัพเรื่องดราม่าของผมได้ซักทีครับ
ห่างหายไปนานเหมือนกัน ขอโทษนะครับที่ทำให้ต้องรอ
(??) มีเรื่องราวสะเทือนใจแก่ตัวผมอย่างมาก
เพื่อนที่แอดมาจากเฟสบุ๊คที่เป็นธาลัสซีเมียเหมือนกัน
เขารู้จักผมผ่านบล็อกที่ผมเขียนไว้นี้ กำลังป่วยย่ำแย่มากๆ
ทั้งๆที่ไม่กี่วันเขายังยิ้มอยู่เลย ผมสันนิษฐานไม่ได้ว่าเขาเป็นอะไร
อยากให้เขาหาย เชื่อไหมเขาเป็นผู้ป่วยที่มีแนวคิด Thinking Positive
ผมยังอิจฉาในโลกอันสดใสเขาที่ผมไม่คิดว่าในชีวิตผมจะมีแบบนั้นได้
ยอมรับว่า"เขาเป็นแรงบันดานใจให้ผมจริงๆ"
เข้าไปให้กำลังใจได้ที่นี่ครับ https://www.facebook.com/k.pongpawan
คราวที่แล้วเรื่องดราม่ากับชีวิตธาลัสซีเมียของผมยังไม่จบครับ
ดูๆไปแล้วยังมีอีกมากมายที่จะต้องเขียนแต่สิ่งนั้นมันยากที่จะเรียบเรียงเป็นคำพูดและถ้อยคำจริงๆ
รอยยิ้ม และ น้ำตาคนที่ป่วยเป็นโรคนี้มีกันทุกคนครับ
พอขึ้นชั้นม.4 ผมตัวเล็กมากๆ เล็กจริงๆเหมือนเอาม.ต้นมาเรียน
ม.4
อย่างไรอย่างนั้นการเปลี่ยนจากกางเกงสีกากีเป็นสีดำในแบบฉบับของผมมันไม่สวยงามอย่างที่คิด
ผมได้รู้จักทั้งเพื่อนเก่าและเพื่อนต่างโรงเรียนใหม่ๆแต่ความรู้สึกของผมมันยังเหมืือนเดิม
ผมยังไม่หายจากธาลัสซีเมียที่เป็นอยู่ และ
ผมยังเป็นจุดด้อยของคนอื่นอยู่เหมือนเดิม
เอาหละถึง ม.4 แล้วผมก็มีความรู้สึกแบบรักๆกุ๊กกิ๊กๆเหมือนกันนะ
ถึงแม้ว่าคนอย่างผมไม่เหมาะที่จะรักคนอื่นซักเท่าไร
แค่ดูแลตัวเองแทบจะเอาตัวไม่รอดแต่ก็อย่างว่าผมเองมันก็เป็นมนุษย์ที่มีจิตใจใช่เป็นหุ่นยนต์ซะเมื่อไหร่ใช่มะ
.....
สาวขึ้น ม.4
มีความเป็นสาวอย่างแรกรุ่นบางคนก็สวยจนจำไม่ได้ผมก็ได้แต่มองเหมือนเดิม
เพราะตอนนั้นยังดำไม่หายกับธาตุเหล็กที่เกาะตามผิวหนังจนดำปิดปี๋
พ่อแม่พาผมย้ายโรงพยาบาลเพราะการรักษาที่นี่ถึงแม้จะถูกแต่ก็ไม่ได้รับการรักษาที่ดีเท่าที่ควร
ผมจึงได้รับการขับธาตุเหล็กจากโรงพยาบาลที่เชียงใหม่ตั้งแต่บัดนั้นมา
ความสว่างสดใสก็เข้ามาสู่ใบหน้าผมตั้งแต่บัดนั้น
จำได้ว่าตอนนั้นธาตุเหล็กในร่างกายมีเยอะมาก 8000
กว่ามั้งมันก็เลยดำอย่างที่เห็นมันก็ลดๆ เพิ่มๆ
จนกระทั่งเหลือแค่พันกว่าๆ
ผมก็ขาวขึ้นมาทันตาเห้นยิ่งกว่าใช้นีเวียซะอีก
แต่เรื่องการอัพร่างกายและเพิ่มน้ำหนักมันยากซะเหลือเิกินผมเองกินเท่าไร
ออกกำลังกายเท่าไรก็ไม่เพิ่ม ก็เลยทิ้งมันซะดื้อๆ
ผมเริ่มที่จะแสดงความรักมากขึ้นหลังจากได้ใช้ยาขับเหล็ก
มันทำให้ผมอาจจะหล่อทันตาเห็น
แต่ก็อย่างว่าสมัยผมมันเป็นทุนนิยมไปแล้วความรักอย่างเดียวไม่เพียงพอจริงๆ
ความรัก + ความจริงใจ + ธาลัสซีเมีย =
ไม่มีอะไรเกิดขึ้น สมการนี้ใช้ได้ผลตั้งแต่ ม.4 ยัน ม.6
ไม่มีทฤษฎีไหนมาลบล้างทฤษฎีนี้ได้เลยผมทนต่อการผิดหวังและคำพูดปฎิเสธครั้งแล้วครั้งเล่าจนไม่อยากยิ้มให้ใครอีกแม้กระทั่งตัวเอง
สิ่งสุดท้ายที่ควรมีและรักษาไว้ คือ ชีวิต และ
เราอาจจะไม่ผิดหวังตลอดซะทีเดียว มันก็แค่ปรัชญาแต่สำหรับผมแล้ว
มุมมองแบบนั้นง่ายที่จะพูดแต่แค่คำพูดมันไม่เพียงพอต่อการทำใจและยอมรับมัน
ผมใช้ชีวิตกับเพื่อนสนิทบอกตรงๆในตอนนั้นผมมีแค่ 3 คนเท่านั้น
แค่สามคนจริงๆ
เพื่อนที่ผมสามารถพึ่งพาได้จนถึงในเวลานี้ที่ผมเขียนบทความขณะนี้ผมก็ยังมีเท่าเดิม
อ่า... ผ่านจุดๆนั้นก็ถึงช่วงชีวิตที่ดีที่สุดของผม
ชีวิตมหาวิทยาลัย.....
ไม่มีความเห็น