ทฤษฎีใหม่ ทำไมพระป่าอายุยืนกว่าปกติ


ส่วนพระป่ากินแต่คาร์โบ โปรตีนน้อย น้ำย่อยก็เลยเป็นด่าง ก็สามารถย่อยคาร์โบได้หมด

ผมได้เสนอข้อสังเกตไว้ในหลายบทความแล้วว่าทำไมพระป่าจึงมีอายุยืนยาวกว่าปกติ ทั้งที่ฉันมื้อเดียว หรืออย่างมากก็สองมื้อ อาหารที่ฉันก็ไม่ครบห้าหมู่อีกต่างหาก มีข้าว ราดน้ำปลาร้า จิ้มผักป่าเป็นหลัก  (โปรตีน ไขมัน เกลือแร่ วิตามิน ขาดชัด ๆ อาจมีพอบ้างก็คือคาร์โบฯ)  วันนี้ผมจะมาเฉลย พร้อมทฤษฎีใหม่ที่นั่งเทียนมา (อีกแล้ว)

 

เผอิญมันมีทฤษฎีฝรั่งมาเสริมพอดีที่ขณะนี้กำลังมีกระแสว่า การกินอาหารหลายหมู่พร้อมกันนั้น น้ำย่อยมันจะตีกัน เช่น คาร์โบ กับ โปรตีน นั้น น้ำย่อยคาร์โบเป็นด่าง ส่วนน้ำย่อยโปรตีนเป็นกรด พอกินสองอย่างผสมกันน้ำกรดกับน้ำด่างทำปฎิกิริยากันกลายเป็นกลาง ก็เลยย่อยทั้งสองอย่างไม่ได้  ก็ตกค้าง กลายเป็นของเน่า เป็นพิษต่อร่างกาย ก็ทำให้ตายไวนั่นแล

 

ส่วนพระป่ากินแต่คาร์โบ  โปรตีนน้อย  น้ำย่อยก็เลยเป็นด่าง ก็สามารถย่อยคาร์โบได้หมด อีกทั้งสารโปรตีน เกลือแร่ วิตามิน ที่มีอยู่ในข้าวผักนั้น แม้จะมีเล็กน้อย เขาก็สามารถย่อยได้ด้วย  เพราะเป็นโปรตีนพืชที่มีโครงสร้างไม่เหนียวเท่าโปรตีนสัตว์  อีกทั้งเป็นวิวัฒนาการของน้ำย่อยที่ปรับตัวมานานสำหรับคนกินข้าวมานานเป็นหมื่นปีแบบคนเผ่าไทย  อีกทั้งพอร่างกายขาดสารอาหารใด น้ำย่อยเขาก็จะทำการปรับตัวให้ย่อยสารนั้นๆให้มีสปภ.มากขึ้น  ก็ทำให้ไม่ขาดสาร หรือ ขาดแต่น้อย  อุปมาเช่นวัวควายกินแต่หญ้าหมู่เดียวทำไมมีร่างกายแข็งแรง

 

ผนวกกับการกินน้อยทำให้อวัยวะทำงานเบา โดยเฉพาะหัวใจเต้นจำนวนน้อยครั้งกว่าในแต่ละวัน ก็ทำให้มีรอบหัวใจเหลือใช้มากขึ้นกว่าคนปกติ

 

เมื่อรวมๆ กันแล้ว ก็เลยทำให้พระป่ามีอายุยืนกว่าคนปกติอย่างมีนัยสำคัญ ดังนี้แล  

 

ใครไม่เชื่อก็อย่าเชื่อ อิอิ  แต่หากใครเชื่อลองทำดู นอกจากช่วยโลก (ลดการกินลงไป) แล้ว ยังอาจช่วยตนอีกด้วย  ลองค่อยๆ ลดการกินดูนะครับ โดยเฉพาะมื้อเย็น  ผมเคยแนะแล้วว่า มีเช้าเน้นคาร์โบ มื้อบ่ายกินพวกโปรตีนเช่น นมถั่วเหลือง กับถั่วลิงสงคั่ว เป็นอาหารว่าง ส่วนมื้อเย็นถ้าทนไม่ไหวกินผลไม้(ไทยด้วยนะ เพื่อช่วยชาติ)  แบบนี้น้ำย่อยจะไม่สับสน เพราะเช้ากลางวันเย็น ย่อยกันคนละชุดอาหาร ไม่ตีกันจนง่อยต่ายหมดเสียก่อน

 

อย่าลืมเรื่องการกินน้ำมากเกินไปด้วยนะครับ ผมเตือนมาแล้วว่า มันน่าจะทำให้เลือดใส และทำให้เลือดไม่มีพลังในการฆ่าเชื้อโรค หรือดูดซับสิ่งโสโครกตกค้างในเซล โดยเฉพาะน้ำตาล  (นี่ก็ทฤษฎี”นั่งเทียน”ที่เคยเสนอไว้แล้ว  (แต่เป็นเทียนแห่งเหตุผลนะสิบอกให่)   ซึ่งเหตุผลมาจาก dipole ในเลือดใสเกินไปนั่นเอง และไดโพลนี้เป็นตัวแปรสำคัญมากในการทำปฏิกิริยาเคมีกับเซลล์ร่างกาย   ซึ่งวันนี้คนไทยกินน้ำวันละ ๘-๑๐ แก้ว แต่ผมได้คำนวณไว้แล้วว่า วันละ ๒ แก้วพอเพียงแล้ว (เทียบเท่าฝรั่งกินวันละ ๘ แก้ว)

 

ทฤษฎีนี้ต่อยอดออกไปอีกว่า คนป่วยหนัก ควรอดข้าวอดน้ำ เลือดจะได้ข้น และไม่มีเชื้อโรคจากอาหารเข้าไปกวนระบบอิมมูนของร่างกาย เช่น หมูหมาเขาก็ยังรู้จักรักษาไข้ตัวเองด้วยวิธีนี้  ส่วนพระป่าท่านเสริมด้วยการเข้าสมาธิเข้าไปอีกต่อ

 

...คนถางทาง (๑๒ มิถุนายน ๒๕๕๕)

 

 

หมายเลขบันทึก: 490981เขียนเมื่อ 12 มิถุนายน 2012 17:41 น. ()แก้ไขเมื่อ 12 มิถุนายน 2012 18:19 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (1)

คนที่รู้ตัวว่าจะตายแน่ๆด้วยอาการโรคขั้นสุดท้ายเช่น มะเร็ง น่าลองดูนะครับ

1) อาศัยอยู่ในห้องสะอาดที่สุดเท่าที่ทำได้ แห้ง ไร้ฝุ่น

2) อดข้าวน้ำให้ได้นานที่สุด สำหรับน้ำถ้าหิวจริงๆ ให้ดื่มพอประทัง ใช้น้ำสะอาด แก้วสะอาด ฆ่าเชื้อ

3) ในช่วงแรกควรอดให้ได้สัก 5 วัน (ไม่ตายหรอกว่ากันว่าต้องอด 20 วันโน่นกว่าจะตาย) พอหิวมากๆ ให้กินแต่น้อย พอประทัง อาหารต้องสะอาดมากด้วย เช่น ข้าวต้มร้อนๆ

4) อดข้าวน้ำต่อไป เป็นระยะๆ

5) ทำสมาธิในระหว่างนี้ (สมาธิช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันฆ่าเชื้อโรคได้มาก นี่เป็นวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ที่พิสูจน์แล้ว)

แบบนี้แม้จะตายก็ตายในสมาธิ แถมยังไ้ด้บำเพ็ญบุญช่วยโลกลดการใช้อาหาร พลังงาน แบบนี้ไปสู่สุคติแน่นอน เผลอๆ อิมมูนสูงเพราะเืลือดข้น มีระดับอิมมูนมาก อาจฆ่าเชื่อโรคทำให้รอดตายได้ (คนเราพอหมดอาหาร มันจะไปดึงเอายอดอาหาร และยอดยา มาจากไขกระดูก เป็นการสนองตอบของร่างกายเพื่อการดำรงอยู่ แต่ถ้ากินอาหารเข้าไปมากๆ มันก็ไปดึงเอายอดยาออกมาไม่ได้หรอก เลือดก็ไม่เข้ม ก็รักษาโรคไม่หาย)

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท