มองบวก ชีวิตบวก


มองบวกแล้วอย่าลืมลงมือทำให้ชีวิตบวกตามไปด้วย

 

มองบวกแล้วอย่าลืมลงมือทำให้ชีวิตบวกตามไปด้วย

 

 

               บทแรกผมพูดถึงการทำชีวิตเราให้ลงตัว ไม่จำเป็นว่าต้องรอให้ทุกอย่างรอบตัวสมบูรณ์ก่อน เพราะมันยากที่จะเป็นเช่นนั้นได้ครับ ชีวิตก็ต้องมีขึ้นมีลง มีฝุ่นผงแยงตากันบ้าง ขืนมัวแต่เอาความสุขของเราไปผูกติดกับเงื่อนไข ‘ชีวิตต้องสมบูรณ์ก่อนนะ’

               พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้ว่า...

               “ความแน่นอนคือความไม่แน่นอน”

               ดังนั้น เราควรทำใจรับความไม่แน่นอนนั้น แล้วปรับเข็มทิศชีวิตชี้ไปในทางที่ถูกว่า ถึงมันจะไม่แน่นอน แต่อย่างน้อยถ้าจิตใจเราหนักแน่น และทำการปรับความคิดให้มีทัศนคติที่ถูกต้อง จนมองเห็นความสมบูรณ์ได้จากความไม่สมบูรณ์ทั้งหลาย นั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ชีวิตของเรามีปริมาณความสุขและรอยยิ้มเยอะขึ้นได้

               ว่าแต่การมองเห็นความสมบูรณ์จากชีวิตที่ไม่สมบูรณ์มันทำอย่างไรกันละ?

               อันนี้ตอบได้ไม่ยากครับ แค่เราท่องคาถาสองคำจำแม่นๆ พอเพียงท่องมันในทุกย่างก้าวของชีวิต มุมมองที่คุณมีต่อโลกก็จะสวยงามขึ้นทันตา มาลองท่องกันนะครับ ท่องว่า ‘มองบวก’ ไงล่ะครับ ท่องเข้าไปเยอะๆ เพราะเจ้าการมองบวกหรือที่ฝรั่งเขาเรียก Positive Thinking นี่คือเคล็ดลับดับทุกข์ เป็นผู้ช่วยมือวางอันดับต้นๆ ที่ทำให้ชีวิตเราลงตัวและเปี่ยมสุขได้อย่างยอดเยี่ยมเชี่ยวละ

               การมองบวกเป็นเหมือนการดึงอำนาจการควบคุมชีวิตกลับมาที่ตัวเรา เพราะโดยทั่วๆ ไปแล้ว การที่เราจะรู้สึกดีหรือแย่เรามักจะปล่อยให้สถานการณ์ทั่วไปมาเป็นตัวกำหนด

               เช่น ตอนได้เงินเดือนขึ้น ใจเราก็จะบอกว่า ‘ดี’ แล้วก็ออกอาการแฮปปีดี๊ด๊า แต่พอโดนใครด่าหรือเจอปัญหาหนักหัว จิตก็จะชวนอารมณ์ให้ป่วนไปในทางลบ แล้วก็ลงเอยด้วยการนั่งเครียดนั่งเซ็ง ซึ่งถ้าเราปล่อยให้สถานการณ์ทั่วไปมาเป็นตัวกำหนดว่าฉันจะสุขหรือทุกข์ไปเรื่อยๆ แบบนั้น ชีวิตเราคงเฉาแย่เลยจริงไหมครับ

               ชีวิตเราเองแท้ๆ แต่จะสุขไม่สุขดันต้องรอความกรุณาจากสถานการณ์รอบตัวและคนรอบข้าง อย่างนี้มันชวนให้เซ็งเป็ดสิ้นดี เราควรหันมาใช้คาถา ‘มองบวก’ เพื่อขอคืนพื้นที่ที่เราสามารถกำหนดความสุขได้ด้วยตนเองดีกว่า

               แต่ว่าการท่อง “มองบวกๆ” โดยไม่ทำตามหรือไม่เชื่อตามนั้นจริงๆ มันก็ไม่เกิดประโยชน์ เราจึงต้องเข้าใจด้วยว่า อะไรคือการมองบวกชนิดที่สามารถนำความลงตัวมาสู่ชีวิตได้ ไม่ใช่การมองบวกแบบตามกระแส

               มองบวกที่ถูก คือการมองโลกในแง่ดี ‘บนความเป็นจริง’ ตรงนี้ต้องเน้นเลยครับ เพราะหลายคนเข้าใจผิด คิดว่ามองบวกคือการมองทุกอย่างให้ดีหมด อะไรไม่ดีก็ต้องมองว่าดี พลิกให้ดำเป็นขาว คนไม่ดีที่คิดจะทำร้ายเรา ยืนถือมีดตรงหน้าแล้วยังอุตส่าห์คิดบวกว่าเขาจะไม่ทำอะไรหรอก นั่งรอให้เขาเอามีดมาจ่อนั่นไม่ใช่การมองบวกที่ถูกเลยครับ

               การมองบวกที่สร้างความสุขได้ ต้องมองบนรากฐานความเป็นจริง มองด้วยสติ และมองด้วยปัญญาครับ

               มองบวกบนฐานความจริงคืออะไร?

               ก็คือการมองบวกโดยไม่ไปบิดสิ่งนั้นให้เพี้ยนไปจากความเป็นจริง เช่น โดนเจ้านายไล่ออกจากงาน เราก็ท่อง “มองบวกๆ” พร้อมคิดว่า ‘ไม่เป็นไรหรอก มองบวกเข้าไว้ ไม่นานเขาก็ต้องเรียกเรากลับไปทำงานต่อ’ นั่นเป็นการมองบวกก็จริงครับ แต่มันผิดจากความจริงไปไกลมาก

               แล้วการมองแบบนั้นก็จะพาเราลงเหวด้วย เพราะเรากำลังหลอกตัวเอง ยิ่งถ้าเราเชื่อตามมุมมองนั้น เราก็จะไม่ทำอะไรเพื่อพาตัวเองขึ้นจากเหว รอความหวังเพียงอย่างเดียว สุดท้ายก็ได้นั่งว่างงานบานบุรีเป็นปีแน่ๆ

               มองบวกบนฐานความจริง คือ การเอามุมบวกที่เป็นไปได้ที่สุดมามองครับ อย่างการนึกว่าเจ้านาย (ที่เพิ่งไล่เราออก) เรียกเรากลับ โอกาสเป็นจริงอาจน้อยกว่า 10% ด้วยซ้ำ เราควรเอามันออกไปจากหัวแล้วเลือกมุมบวกใหม่ที่มีความเป็นได้เยอะกว่า อย่างเช่น “ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวเราก็ได้งานใหม่เอง” อ้า อันนี้ค่อยเป็นไปได้หน่อย โอกาสเป็นจริงสัก 50% แล้ว

               ถ้าเรายิ่งมองบวกบนฐานความเป็นจริงมากๆ และใช้ชีวิตไปตามมุมมองนั้น ผลลัพธ์จากการมองบวกก็จะนำชีวิตไปสู่ทิศทางที่ดีได้

               แต่ถ้าเรายังมองแบบเพ้อฝัน หลอกตัวเอง เข้าข้างตัวเอง เราก็อาจได้ความรู้สึกดีๆ ตอนที่กำลังคิดเพ้ออยู่ แต่ในชีวิตจริงของเราจะไม่มีทางดีขึ้นกว่านั้นได้

               มองบวกด้วยสติคืออะไร?

               ก็คือการมองบวกอย่างมีสติคิดวิเคราะห์ใคร่ครวญว่า ‘การมองแบบนั้นจะพาชีวิตเราไปทางไหน’

               เมื่อเราประเมินว่ามองบวกแบบไหนเป็นไปได้แล้ว เราก็ต้องมาพิจารณาต่อว่า แล้วมุมบวกที่เรามองนั้น อันไหนที่มันดีที่สุด น่าทำที่สุด ทำแล้วได้ดีที่สุด อย่างเรื่องตกงานเมื่อครู่นี้หลังจากเราประเมินตามความจริงแล้วว่า เอาละ การมองหางานใหม่นั้นเข้าท่าสุด เราก็ต้องมาไตร่ตรองต่อว่าแล้วจะเลือกสมัครงานใหม่ที่ไหนที่น่าจะมั่นคงและเหมาะกับตัวเรา กลายเป็นการมองบวกที่ดี ที่นำไปสู่ผลลัพธ์ที่เข้าที่เข้าทาง

               มองบวกด้วยปัญญาคืออะไร?

               หลังจากเรามองบวกแบบไม่เพ้อฝัน และค้นพบความคิดบวกที่ดีแล้ว เราก็ใช้ปัญญาสานต่อ ด้วยการถามตัวเองว่า “แล้วเราจะทำให้มุมบวกนั้นนำชีวิตเราสู่สิ่งที่ดียิ่งๆ ขึ้นอีกได้หรือไม่”

               เช่น ถ้าเราจะไปหาที่ทำงานใหม่ เราอาจจะเลือกบริษัทที่ใหญ่กว่าที่เคยทำมา มีอนาคตไกลกว่า พร้อมตั้งเป้าบวกๆ ว่า การโดนให้ออกครั้งนี้ เราจะทำให้มันเป็นก้าวสำคัญแห่งชวิต ให้มันเป็นจุดเริ่มแห่งการอัปเกรดอนาคตการงานของเรา แล้วก็ลองพยายามเพิ่มโอกาสให้เราได้งานที่ดียิ่งขึ้น อย่างการลงทุนเข้าคอร์สอบรมเพิ่มเติม เอาประกาศนียบัตรมาสักใบสองใบ เพิ่มมูลค่าในตนเองทำให้ประวัติการทำงานสวยยิ่งขึ้น

               จะเห็นได้ว่าการมองบวกแบบที่ได้ผลนั้น ไม่ได้ขึ้นอยู่ที่การมองหรือคิดเพียงอย่างเดียว แต่เราต้องลงมือทำ วางแผนพลิกทุกเรื่องให้กลายเป็นบวก ต่อให้เราเจอเรื่องชวนทุกข์แค่ไหนก็จงพลิกมองหามุมบวกจากมัน พลิกสถานการณ์จากลบเป็นบวกพลิกวิกฤติเป็นโอกาส นั่นถึงจะเป็นการมองบวกที่ทำให้ชีวิตลงเอยด้วยความสุข

               โปรดอย่าหลงทางแบบคนอีกมากมายที่รู้เรื่องการมองบวกแค่ครึ่งเดียวแล้วก็นำไปใช้ ประมาณว่า อ๋อ เราต้องคิดบวก เจอเรื่องไม่ดีก็คิดบวกไว้ แต่ดันจบแค่นั้น ไม่ทำให้ตัวเองหลุดพ้นจากสถานการณ์ลบๆ และไม่ทำให้ตัวเราวิ่งเข้าไปสู่สถานการณ์บวกๆ อย่างนี้ก็เข้าอีหรอบ บวกเก๊ ครับ

               มนุษย์เราจะแฮปปีเพราะคิดบวก (เก๊ๆ) ได้แค่ระยะหนึ่งไม่นานเราก็จะกลับมาทุกข์เหมือนเดิม

               ไหนๆ ได้รู้วิธีคิดบวกให้เกิดผลบวกแท้ๆ แล้ว เดินหน้ามองบวกแล้วทำเลยนะครับ ความสุขจะได้แวะมาหาคุณเร็วๆ ไงล่ะ

 

ขอขอบพระคุณข้อมูลดีๆ จากหนังสือชีวิตลงตัว สำนักพิมพ์สถาพรบุ๊คส์

 

หมายเลขบันทึก: 490969เขียนเมื่อ 12 มิถุนายน 2012 16:06 น. ()แก้ไขเมื่อ 17 มิถุนายน 2012 09:33 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (1)

มองบวกควรเริ่มจากการอบรม-สั่งสอนของพ่อแม่ และคนในครอบครัว

ต้องการการฝึกฝน คิดรอบด้าน นอกกรอบ

 

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท