ในทุกครั้งที่แต่ละหลักสูตรสัญจรลงจัดกิจกรรมบริการวิชาการแก่สังคม ผมมักติดตามลงพื้นที่ด้วยเสมอ เว้นเสียแต่ติดภารกิจ หรือได้รับการประสานที่ค่อนข้างกระชั้นชิด จนไม่สามารถบริหารจัดการ หรือสับหลีกใดๆ ได้
เฉกเช่นกับเมื่อวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๕๕ เป็นอีกวันที่ผมมีโอกาสได้เข้าร่วมสังเกตการณ์โครงการ “พัฒนาสมรรถนะของนักสร้างเสริมสุขภาพ หลักสูตรสาธารณสุขศาสตร์บัณฑิต” ณ บ้านลิ้นฟ้า หมู่ที่ 6 ตำบลกุดใส้จ่อ อำเภอกันทรวิชัย จังหวัดมหาสารคาม
โครงการดังกล่าว ผู้รับผิดชอบหลักคือ ผศ.ดร.วรพจน์
พรหมสัตยพรต ซึ่งท่านปักธงการ “เรียนรู้คู่บริการ”
ไว้ชัดเจนว่า (๑) เพื่อพัฒนาหลักสูตรสาธารณสุขศาสตร์บัณฑิต
โดยวิธีการจัดการเรียนการสอนที่เน้นภาคปฏิบัติในชุมชน
ในการพัฒนาสมรรถนะ (Competency) ของนักสร้างเสริมสุขภาพ
และมุ่งสู่ความเป็นวิชาชีพ (๒) พัฒนาสมรรถนะหลัก (Core Competency)
ของนักสร้างเสริมสุขภาพให้สอดคล้องกับความต้องการของชุมชน
และเพื่อมุ่งสู่ความเป็นวิชาชีพ (๓)
ปรับปรุงรายวิชาให้มีเนื้อหาครอบคลุมแนวคิด
และสร้างทักษะด้านการส่งเสริมสุขภาพ
โดยเน้นภาคปฏิบัติร่วมกับชุมชน
ซึ่งนั่นก็เป็นแนวคิดของการจัดการเรียนการสอนผ่านเหตุการณ์จริง
โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน (Problem-based learning : PBL)
ของการเรียนรู้
ผศ.ดร.วรพจน์
พรหมสัตยพรต
กิจกรรมในครั้งนี้ เป็นกิจกรรมยกแรกๆ ที่เกิดขึ้น และยังต้องดำเนินไปอย่างต่อเนื่องอีกหลายเดือน ซึ่งในวันดังกล่าวมี “กิจกรรมหลัก” นำร่องคือการ ออกหน่วยให้บริการด้านสุขภาพแก่กลุ่มเสี่ยง กลุ่มผู้ป่วยเรื้อรัง และประชาชนทั่วไปแบบเชิงรุกในระดับพื้นที่ เพื่อพัฒนาคุณภาพที่ดีให้กับประชาชนชาวตำบลกุดใส้จ่อ
ผมชื่นชอบกิจกรรมในทำนองนี้มาก
เพราะเห็นกิจกรรมเชิงรุกที่แตกต่างไปจากเวทีอื่นๆ
ที่ผมไปพบไปเจอมาอยู่พอสมควร กล่าวคือ
แทนที่จะดุ่มเดินแบกความรู้ออกจากรั้วมหาวิทยาลัยมาบรรยายให้ความรู้เกี่ยวกับเรื่องสุขภาพดี
(Healthy) ด้วยการส่งเสริมสุขภาพ (Quality of Life) ผ่านกลไกสำคัญๆ คือแนะนำ แจกเอกสาร ตรวจโรค
จ่ายยา ฯลฯ
หากแต่ครั้งนี้พลิกมุมให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกันระหว่าง
“อาจารย์-นิสิต-ชาวบ้าน” อย่างน่าสนใจ
ผมมองว่า นี่คือกลไกหนึ่งที่หนุนนำให้ชุมชนได้ทบทวนศักยภาพตัวเอง เพื่อสร้างชุมชนให้เข้มแข็งภายใต้บริบทของตัวเองด้วยเหมือนกัน ทั้งยังเป็นเครื่องมืออันสำคัญในการขับเคลื่อนให้เกิด “นักสร้างเสริมสุขภาพ” ประจำครอบครัวและชุมชนไปพร้อมๆ กัน
กิจกรรมครั้งนี้ผมเห็นความโดดเด่นในเชิงการทำงานแบบเครือข่ายที่ดีเยี่ยมเพราะเป็นการทำงานแบบมีส่วนร่วม (Participation) ของผู้คนในท้องถิ่น (Local People) ซึ่งต่างขยับเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน นับตั้งแต่กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน อบต. รพ.สต. อสม. ไม่เว้นแม้แต่ครู นักเรียน และพระสงฆ์ก็มีส่วนร่วมด้วยกันทั้งนั้น ทั้งการร่วมคิด>ร่วมตัดสินใจ>ร่วมลงมือทำ หรือแม้แต่มาเพื่อรับบริการล้วนๆ ก็ถือว่าไม่ผิด
ผศ.ดร.วรพจน์ฯ เคยเล่าถึงสาเหตุของการเลือกชุมชนแห่งนี้ให้ผมฟังประมาณว่า
... ชุมชนแห่งนี้
มีความสนใจเรื่องการสร้างระบบสุขภาพมาก
|
หรือแม้แต่
...ผู้นำชุมชนที่นี่เข้มแข็งมาก ใ
|
ครับ ผมมองว่าประเด็นนี้น่าสนใจมาก เพราะเกิดจากความต้องการของชุมชน อันหมายถึง “ชาวบ้านและส่วนราชการในท้องถิ่น” (อปท.) กอปรกับเมื่อชาวบ้าน-ผู้นำ-มหาวิทยาลัย หรือแม้แต่เครือข่ายต่างๆ มีอุดมการณ์ร่วมกัน (Shared Ideal) กระบวนการขับเคลื่อนต่างๆ จึงก่อเกิดขึ้นและดำเนินไปอย่างมีพลัง โดยมี “เป้าหมาย” (Goal) หลักคือชุมชนมีสุขภาวะ หรือมี “นักสร้างเสริมสุขภาพ” ที่มีศักยภาพนั่นเอง
แน่นอนครับ การจัดกิจกรรมเรียนรู้และให้บริการวิชาการแก่สังคมในแต่ละครั้ง ผมไม่เคยละเลยการตั้งคำถามกับนิสิตว่า “เห็นอะไร รู้สึกอย่างไร...ได้เรียนรู้อะไรจากสิ่งที่เห็น สิ่งที่รู้สึก หรือได้เรียนรู้อะไรจากสิ่งที่ลงมือทำ”
ครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน เมื่อเวลาผ่านพ้นมาซักระยะหนึ่ง ผมจึงถือโอกาสแลกเปลี่ยนกับอาจารย์วรพจน์ฯ อีกครั้ง โดยถามทักถึงกระบวนการเรียนรู้ชุมชนไปในตัว เพราะเกรงว่านิสิตจะมุ่งไปแต่เฉพาะเรื่องราวในสาย “วิชาชีพ” จนลืมบริบทชุมชนในทาง “สังคมศาสตร์” ไป เป็นต้นว่า ชื่อบ้านนามเมือง อาชีพ สถานที่สำคัญ ความเชื่อ ตำนาน ประเพณี การละเล่น สมุนไพร ฯลฯ
(หรือจะเป็นเพียง "เรียนเพื่อให้รู้" โดยไม่ต้องหยั่งลึก-ก็ไม่ผิด)
ซึ่งกรณีดังกล่าว ผมถึงขั้นออกตัวขันอาสาเป็นหนึ่งในทีมงานที่จะลงแรงช่วยติดอาวุธให้กับนิสิตก่อนลงสู่ชุมชนอีกรอบ
เรียนอาจารย์ แผ่นดิน ...สาธารณสุขชุมชน (ทุกๆ อย่างเริ่มต้นจากชุมชน โดยชุมชน เพื่อชุมชน )
เอาชุมชนเป็นตัวตั้ง เอาคนในชุมชนเป็นศูนย์ ร่วมเรียนรู้ สร้าง พัฒนา แท้ที่จริงแล้ว
พระเอกนางเอกผู้แสดงตัวจริงคือชาวบ้าน นักศ฿กษา อาจารย์ เป็นตัวประกอบ และกำกับ คือเรื่องสร้างสุขให้ชุมชน
พัทลุง เขาคิดจะ "บัดสาด"ทางการเมือง ภาคพลเมืองแล้วครับ
พี่พนัส นู๋ได้รับรายละเอียดโครงการแล้วนะคะ ^_^
เป็นกำลังใจให้กับผู้ที่ทำงานเพื่อชุมชน กลุ่มงานกิจกรรมนิสิตได้ปรับแผนงาน... โดยการให้นิสิตได้เข้ามาเรียนรู้เกี่ยวกับศิลปวัฒนธรรมกับชุมชน โดยการผ่านเวทีโครงการธรรมะในสถานศึกษาเพื่อการเรียนรู้สู่การพัฒนาชุมชน
สวัสดีครับ พี่บังวอญ่า-ผู้เฒ่า-natachoei--
นิสิต อาจารย์ ชาวบ้าน-เครือข่ายต่างๆ
เป็นตัวจริงเสียงจริงครับ
และก็เป็นจริงเหมือนบังบอก "ชาวบ้าน" คือ "พระเอก" โดยแท้
ส่วนมหาวิทยาลัย หรืออื่นๆ คือผู้หนุนเสริมแบบมีส่วนร่วม
ซึ่งผมเลยยกเครดิตให้เป็นพระเอกนางเอกร่วมกัน
ครับ-ด้วยความที่ผมเป็นคนไม่ชอบงานพิธีการ
ไม่ปรารถนาเข้าไปคั่นกลางกระบวนการใดๆ เป็นพิเศษ
ถึงแม้อาจารย์ที่รับผิดชอบหลักจะเข้ามาเชิญ
เพื่อแนะนำให้ชาวบ้านรู้จัก
แต่ผมก็ปฏิเสธ และขอแทรกตัวเรียนรู้เงียบๆ
เพราะอยากให้ทุกอย่างดำเนินไปตามวิถีของมัน
นั่นคือสไตล์ถนัดที่ผมชอบทำ ...เสมอมา
ขอบคุณครับ
สวัสดีครับ เจน
ขอบคุณสำหรับการมาหนุนเสริมเรื่องกระบวนการประชาสัมพันธ์นะครับ เพราะไม่เพียงเติมพลังให้คนทำงานเท่านั้น แต่ยังหมายถึงการเป็นสะพานเชื่อมโยงไปสู่การเรียนรู้ร่วมกับสังคมภายนอกได้เป็นอย่างดี พี่เชื่อว่า หากถอดบทเรียนดีๆ จะได้ชุดความรู้ที่ว่าด้วยกลไก/วิธีการ/กระบวนการเกี่ยวกับการจัดกิจกรรม/ให้บริการ/เรียนรู้ชุมชนได้เป็นอย่างดี หรืออย่างน้อยก็เห็นแนวทาง รูปแบบ สไตล์ของ "มมส" ในเรื่องดังกล่าว
สวัสดีครับ คุณแดนไท
เห็นดีด้วยกับกิจกรรมที่จะมีขึ้นนะครับ อาจจัดได้ทั้งในมหาวิทยาลัย หรือแม้แต่ในหมู่บ้านรอบๆ มหาวิทยาลัย ผูกโยงไปจนถึงเทศกาลเข้าพรรษา พานิสิตไปทำวัตร ปฏิบัติธรรมเป็นระยะๆ มีการร้อง หรือสรภญญะร่วมกันระหว่างนิสิตกับชาวบ้านด้วยก็ดี
ที่สำคัญการเคลื่อนตัวออกสู่ชุมชนนั้น จะทำให้นิสิตได้เกิดโลกทัศน์ใหม่อย่างไม่ต้องสงสัย เห็นคลังความรู้ในชุมชน เห็นมรดกทางวัฒนธรรมของชุมชน ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนทรงคุณค่าต่อการเรียนรู้อย่างยิ่ง
ให้กำลังใจนะครับ-
อ่านแล้วชื่นใจจังค่ะ..
อยากจะบอกว่า "เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา" จริงๆๆ
กระบวนการในการพัฒนาที่ยั่งยืนไม่ได้อยู่ที่มีนักวิชาการที่เก่งกาจอยู่ในชุมชน แต่การพัฒนาที่ยั่งยืนอยู่ได้โดยชุมชน เพื่อชุมชน และคนในชุมชนเท่านั้นที่จะเข้าใจลึกซึ้งถึงข้อมูลพื้นฐานชุมชนได้ดีที่สุด
เห็นการทำงานในแบบฉบับมหาวิทยาลัยเพื่อชุมชนอย่างแท้จริง ทำให้หวนคิดถึงเมื่อครั้งยังทำงานกิจกรรมแบบล้มลุกคลุกคลาน (คลำทาง) จนมาวันนี้เรามีแนวทางที่แน่ชัด
ขอเป็นกำลังใจให้บอสส เดินทางเพื่อการพัฒนาต่อไปครับ...ขอบคุณถนนสายนี้ที่ผมเคยร่วมเคียงบ่าเคียงใหล่ และจะอยู่เคียงข้างตลอดไป
บริการวิชาการสู่สังคม สรรค์สร้าง เสริมพลังนิสิตสู่ชุมชน
เยี่ยมจังเลยค่ะ เป็นกำลังใจให้กับคนทำงานทุกท่านค่ะ
สวัสดีครับ พี่ นงนาท สนธิสุวรรณ
ขอบพระคุณที่แวะมาให้กำลังอย่างสม่ำเสมอ นะครับ...
สวัสดีครับ เล็ก
อยากจะบอกว่าในทางกระบวนการนั้น จุดแข็งคือการทำงานแบบมีส่วนร่วม ดังจะเห็นได้จากทีม รพ.สต. และ อสม. ยกทีมมาหมดเลยก็ว่าได้ ขณะที่นิสิตก็ทำงานและเรียนรู้การทำงานร่วมกับเจ้าหน้าที่เหล่านั้น ซึ่งถือว่าเป็นกระบวนการเรียนรู้ร่วมกัน ทำงานร่วมกัน ...
ส่วน ทีมผู้นำที่มาจากระบบท้องถิ่น ทั้งกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน นายกอบต. สมาชิกต่างๆ นั้น ก็พาเหรดมาช่วยงานกันอย่างคึกคัก นั่นคือภาพที่น่าภาคภูมิใจครับ เหลือแต่การหนุนเสริมด้วยกิจกรรมอื่นๆ อีกรอบ พร้อมกับประเมินผลการดำเนินงาน ซึ่งเหลือเวลาอีกร่วมๆ 3 เดือน..