หน้าตามันเป็นอย่างนี้นี่เอง


ไม่เคยสนใจ ไม่เคยอยากรู้

แต่วันนั้นจำเป็นต้องรู้

เป็นการรู้ที่เกิดจากความสงสัย

ทำไมวัดความดันไม่ได้

เมื่อฟังแล้วนึกร้อง....อ้ายหยา....ในใจ

เป็นเช่นนี้เองหนอ

เป็นความสงสัยที่เกิดขึ้นจากการได้มีโอกาสเข้าเยี่ยมผู้ป่วย

ที่มีCD4 ต่ำที่ระดับ 2

และอาสาสมัครท่านหนึ่งได้มาบอกให้ทราบว่าขณะนี้ผู้ป่วยอยู่ระหว่างให้อ๊อก..อยู่มีญาติดูแล 1คน เตียง 1 พยาบาลให้เยี่ยมได้

ด้วยความอยากรู้ว่าระดับ 2 มันจะเป็นอย่างไร

เพราะตั้งแต่ได้ทำงานร่วมกับงานสังคมสงเคราะห์ทางการแพทย์

ในฐานะกรรมการแกนนำจิตอาสามิตรภาพบำบัดเพื่อนช่วยเพื่อนของรพ.

ทั้งให้ความรู้เองทั้งเชิญกูรูมาให้ความรู้ และอื่นๆเท่าที่นอกจากเวลาจะมีให้แล้วปัญญาก็พอจะมีให้ได้ทำอะไรๆเพื่อเพื่อนร่วมโลกใบนี้บ้าง ถ้ามันยากนักหาปัญญษตัวเองไม่เจอ ไม่มีก็ไปบอกคนมีให้มาช่วยกันเสริมเติมให้เข้าที และพอดีกลุ่มงานสังคมฯเขาให้ช่วยเป็นที่ปรึกษาบ้างเป็ฯจิตอาสาช่วยงานบ้างซึ่งส่วนใหญ่จะออกไปในแนวบันเทิงคดีซะมากกว่า..

และได้มีโอกาสมาทำหน้าที่เป็นคุณฟากับเขาบ้าง

โดยเป้าหมายคือผู้ป่วยกลุ่มHM

ของรพสมุทรสาคร ในการจัดโครงการครั้งนี้ได้แบ่งผู้ป่วยออกเป็น 3 กลุ่ม คือ

1.กลุ่มCD4 สูง    กลุ่มนี้สามารถดูแลสุขภาพตนเองให้ห่างไกลโรคฉวยโอกาส และคุณลักษณะอื่นๆผ่านเกณฑ์มาตราฐานผู้ป่วยที่ไว้วางใจได้ เช่นคนปกติ

2.กลุ่มCD4ต่ำกว่า 200   กลุ่มนี้เคยเข้ามาร่วมกิจกรรมต่ำสุดคือระดับ 4

ดังนั้นเมื่อมีระดับ 2 เข้ามารับการรักษาก็อยากเห็ฯว่าเป็นอย่างไรเผื่อว่าจะช่วยเขาได้บ้างไม่มากก็น้อยในด้านการยอมรับตัวเอง การระลึกรู้ลมหายใจ และการผ่อนคลายให้ตนเองหายหรือลดความกังวลลงได้

3.กลุ่มCD4ต่ำเคยรับยาต้านมาแล้ว กินๆ หยุดๆ พอแย่ก็มารพ.รับยา พอทำท่าจะดีก็หายไป กินยาไม่ปะติดปะต่อ กลุ่มนี้อันตรายมากกับตัวเขาเอง เพราะถ้าถึงยาแบบที่ 3 แล้วยังปรับพฤติกรรมสุขภาพตนเองไม่ได้ ก็มีโอกาสหามสูงมากเมื่อมีโรคฉวยโอกาสแทรก โอกาสรับยาใหม่ไม่มี เพราะมันมีจ่ายให้แค่ 3 ชนิดเองทีนี้ก็ต้องไปดิ้นรนหาสารพัดมารักษาตัวเอง สูญเสียเงินทองทรัพย์สิน และญาติไปก็มาก

ย้อนไปหาcase ตัวอย่างที่นอกจากจะเห็นแล้ว ยังมีโอกาสช่วยให้ผู้ป่วยหันมามีสติระลึกรู้ลมหายใจเป็นระยะทั้งระยะสั้น และยาว ขึ้นกับสภาพร่างกายที่แย่ แต่ผู้ป่วยยังมีความหวัง หรือความกลัวปนด้วยก็ไม่อาจมั่นใจภาพที่เห็นได้

สิ่งที่ทำได้คือเราตกลงกันว่าเมื่อเข้าเยี่ยมผู้เยี่ยมจะต้องปราศจากความทุกข์ใดๆรวมทั้งไม่นำความทุกข์ใดๆทั้งกาย วาจา และใจ เข้าไปเยี่ยม

เราบอกญาติว่าเราจะให้กำลังใจผู้ป่วยแบบนี้ๆๆๆ ขอให้ญาติเฝ้าดูเราให้ดี พร้อมกับสังเกตผู้ป่วย ก็เราอยากให้ญาติสบายใจและรู้สึกดีๆกับการเฝ้าไข้ครั้งนี้ด้วย

เราจึงทำสมาธิ สงบจิตใจตนเอง แล้วเข้าไปด้วยรอยยิ้มแห่งความหวัง

คำพูดที่ได้ผู้ป่วยควรได้ยินคือเธอเป็นไม่มากนะ มีคนเป็นมากกว่าเธอกลับไปเลี้ยงลูกตามปกติที่บ้านแล้ว ..ใช่ ถึงหมอก็รอดทุกคนและ อีก 3 วันเธอ หนักกว่าเธอ  แม้จะกินข้าวไม่ได้ ตอนนี้กินน้ำเกลือไปก่อน ใช่ หายใจไม่สะดวกก็ไม่เป็นไร ทำความรู้สึกยอมรับมัน ว่าเวลาป่วยลมหายใจจะเป็นเช่นนี้เอง เพียงแต่เราจะต้องตามลมหายใจเข้าออกของเราให้ทัน หากตามไม่ทันก็ให้ค่อยๆผ่อนลมหายใจเข้า และออกให้ช้าลง ไม่ต้องรีบผ่อน ค่อยๆทีละนิดพอทน พอรู้สึกสบายขึ้นเท่านั้น แล้วเมื่อรู้สึกการหายใจเริ่มเบาทรมานลงก็ค่อยๆระลึกรู้การเคลื่อยของลมหายใจ หายใจเข้านึกถึงและสัมผัสที่รูจมูก....ก็พูดไป กว่าจะหลับ สงบลงก็เล่นเอาเหนื่อย อีกทั้งไม่เข้าใจไอ้ตู้ 4 เหลี่ยมที่มันดังหนวดหูแต่เจ้าเครื่องนี้แหละที่มันจะบอกว่ากายและจิตวิญญาณยังอยู่คู่กัน แม้ว่าเสียงนั้นจะขาดๆหายๆ บางทีดังจนตกใจแต่บางทีก็เหมือนจะเงียบในบัดดล

รู้สึกตัวว่าเราต้องเข้มแข็งช่วยเขาให้ทุเลาให้อยู่กับลมหายใจให้ได้ ให้มันสงบ ปกติกว่าที่เป็นให้มันเบาลง แล้วก็ชวนญาติ และผู้ป่วยที่เริ่มเบา คลายกังวลลงลงให้แผ่เมตตาให้เจ้ากรรมนายเวร และขออโหสิกรรมเพื่อให้พลังชีวิตของผู้ป่วยกลับมาสู้อีกครั้ง

เขาก็ทำตาม เพียงเราบอกว่าไม่อยากทรมานให้หลับตา แล้วระลึกรู้ตามที่ได้ยินเสียงเราช่วยเท่านั้นเอง ให้ยอมรับ และเฝ้าดูอาการ ดูลมหายใจตัวเอง ขอโทษร่างกายตัวเองที่ใช้งานเขาไม่ดูแลเขา และส่งความปรารถนาดีไปยังสิ่งทำให้ร่างกายรู้สึกไม่สบาย จะรักษาไว้ไม่รอดก็ลองสัญญากันดูว่านับแต่นี้ไปจะเฝ้าระลึกรู้ลมหายใจออก และเข้าอย่างเข้าใจ ด้วยความรักความเมตตา ความกรุณา ความยินดี รู้สึกขอบคุณคุณหมอ พยาบาลที่ให้การรักษา เท่านี้ก่อนทำให้บ่อยให้ถี่ไว้

หันไปดูตู้ใบนั้นอีกที โอมันต่างจากเมื่อ 10 นาทีก่อนหน้านี้

ถามน้องพยาบาลว่ามันเป็นอย่างไร หมายถึงอะไร แต่ที่แนๆรู้ละว่าเขาไม่ทรมานร่างกายมากก็โอหละ

น้องพยาบาลบอกว่า จอที่เห็นบอกให้รู้ว่าความดันกำลังเข้าสู่ภาวะปกติ

แค่นี้เราก็ดีใจแล้ว ก็เท่านี้เอง เลยเก็บภาพถ่ายมาเป็นที่ระลึก

รวมทั้งภาพถ่ายญาติที่ออกจะดีใจที่ผู้ป่วยมีสติมากขึ้น สงบมากขึ้น หายใจทรมานน้อยลง ก็อิ่มใจแล้ว

หมายเลขบันทึก: 490907เขียนเมื่อ 12 มิถุนายน 2012 01:31 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 สิงหาคม 2012 20:20 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (3)

สำหรับผู้่ป่วยแล้วกำลังใจสำคัญที่สุด

พี่ครูสบายดีนะคะ 

สวัสดีค่ะพี่ครูต้อย

  • คิดถึงนะคะ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท