อุบายสอนใจ


เมื่อวันเสาร์ไปงานแต่งงานของลูกสาวรุ่นพี่ ได้ไปเจอรุ่นพี่ รุ่นเพื่อนที่ไม่ได้เจอกันมานาน ประมาณสามสี่ปี 


ทุกคนแก่ไปมาก  เพราะไม่ได้เห็นกันเสียนาน  มองแต่ละคนที่แต่งชุดที่ว่าสวยที่สุดแล้ว  ก็ยังเห็นความแก่ ความร่วงโรย  ทุกคนเหมือนไม้ใกล้ฝั่ง


ฟันที่จากสีขาวกลายเป็นสีเหลือง  บางคนฟันก็หายไป

จะเป็นอุปาทานหรือเปล่าก็ไม่ทราบ  ยิ้มที่เห็นกลายเป็นยิ้มเศร้าๆ


เห็นความไม่เที่ยง  เห็นไตรลักษณ์ที่กำลังเกิดขึ้น

พระอาจารย์ไชยาศิษย์พระอาจารย์ทูล สอนให้หาอุบายในการพิจารณาธรรม

ให้พิจารณาการเกิด การแก่ การดับ แล้วย้อนเข้ามาหาตัวเองให้เป็นโอปนยิโก


ท่านสอนว่าให้หาอุบายสอนใจบ่อยๆ  สอนใจให้เคยชิน 

เมื่อได้ไปฟังธรรมจากท่าน  ท่านเทศน์เหมือนกับจะสอนผมโดยตรง

เหมือนกับว่าท่านอ่านใจผมออก


ท่านสอนว่าคนเราจะต้องเริ่มต้นจาก ทาน ศิล ภาวนา  

จะข้ามขั้นไปไม่ได้  เพราะทุกอย่างจะเป็นกำลังซึ่งกันและกัน

ท่านเล่าให้ฟังว่าหลวงปู่ขาว เล่าให้ฟังว่าเมื่อหลวงปู่กำลังอยู่ในภาวนา ก็พบว่า

บุญที่นำท่านมาถึงที่นี้  เพราะท่านได้บริจาคเงินหกสลึง และผ้าขาวหนึ่งผืน

อย่าได้ลืมจากบริจาคทานเป็นอันขาด  ชาวต่างชาติจะข้ามขั้นมาถึงภาวนาเลย โดยไม่ทำทาน และรักษาศิล  ก็จะไปไม่ถึงไหน  เพราะหมดกำลังบุญเสียก่อน


พอผมเรียนถามท่านเรื่องอุบายเกี่ยวกับการพิจารณาเวทนา ซึ่งเกิดจากการนั่งสมาธินานๆ


ผมนำปัญหานี้มาถามเพราะ ท่านหลวงตามหาบัวสอนว่า เมื่อเวทนาเกิดขึ้น  อย่างนั่งทรมานอยู่อย่างเดียว  ให้พิจารณามันด้วยพร้อมๆกัน อย่าเสียเวลา

แม้ผมจะไม่ได้บอกว่าเป็นคำสอนของหลวงตา  พระอาจารย์ไชยาดูเหมือนจะอ่านใจผมออก  บอกชื่อหลวงตาออกมาตรงๆ  แล้วอธิบายเรื่องอุบายพิจารณาเวทนาตามวิธีการของหลวงตาถึงสามแบบ โดยให้ดูถึงกระดูกและผิวหนัง ให้พิจารณาว่าอะไรมันปวด  กระดูก หรือ ผิวหนัง 


กระดูกก็ไม่ใช่  ผิวหนังก็ไม่ใช่  ถ้าเช่นนั้นเวทนามาจากไหน


ถ้าไม่ใช้มาจากใจของเราเอง

 

 

คำสำคัญ (Tags): #กรรมฐาน
หมายเลขบันทึก: 490813เขียนเมื่อ 11 มิถุนายน 2012 08:40 น. ()แก้ไขเมื่อ 13 กรกฎาคม 2013 20:15 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (4)

  ทาน ศีล  ภาวนา ต้องมาด้วยกัน  หากขาดอันใดอันหนึ่งไปก็เหมือนกับ

ทางสายบุญนั้นขาดไม่ปะติดปะต่อใช่ไหมคะ

ÄÄÄÄ.....Everything begins here...in our hearts....ธัมมนันทา ภิกษุณี...หนังสือนี้จัดจำหน่ายโดย บริษัทเคล็ดไทย www.kledthai.com เป็น ภาษาไทยและอังกฤษ ภายในเล่มเดียวกันเจ้าค่ะ...ยายธี

 

ถึงคุณครู 

ลำดับขั้นของการปฏิบัติธรรม

โดยคนไม่ติดวัด 

ให้ทานคือกำจัดความตระหนี่
ตระหนี่คือ ความหวงแหน ที่คนเรายึดถือไว้
หวงแหนอะไร? หวงแหนสิ่งทั้งหลายอันเป็นสมบัติที่จับต้องได้ และสมบัติที่จับต้องไม่ได้ คือความรู้สึกนึกคิดและอารมณ์ต่างๆ รวมถึงกิเลสทุกชนิด หวงแหนจนไม่รู้ว่าหวงไว้ ทำไม แต่จิตสอนว่าต้องยึดถือไว้ก่อน
พระพุทธองค์จึงทรงสอนให้ลำดับขั้นของการปฏิบัติธรรมว่า

ขั้นแรก "รู้จักให้ "ให้"แปลว่า เอาของแยกออกไปจากตัวเราแก่ผู้อื่น ก่อนอื่นก็ต้องให้สิ่งที่เรามองเห็น,จับต้องได้ก่อนค่ะ จนจิตเริ่มเห็นชัดมากขึ้นว่า ได้มีความสุขเกิดขึ้นจากการให้ ก็เป็นอันว่าจิตพัฒนาขึ้น จิตที่เคยชินการให้ จะเป็นผู้ให้ได้ง่ายค่ะ ต่อเมื่อจิตปราณีตขึ้นจากการเป็นผู้ให้ ก็เริ่มง่ายต่อการรู้จักละและปล่อยวางสมบัติที่จับต้องไม่ได้ จิตจะพัฒนาต่อไปเป็นผู้ให้อภัย และพอใจกับความสุขที่ได้มาจากการให้อภัย ความสุขอย่างนี้นับว่าเป็นบุญมากในเรื่องของพัฒนาจิตให้พร้อมที่จะก้าวขึ้น ระดับต่อไป

ขั้นที่สอง สำรวมจิตสำรวมกาย หรือที่เรียกว่าศีล เมื่อจิตพอใจในความสุขจากการเป็นผู้ให้ แต่จิตมีปรกติคือแส่ส่าย และจดจ้องไม่เป็นที่ ทำให้ความสุขที่มีนั้นไม่คงเส้นคงวา เมื่อเรามารักษาศีล โดยการสำรวมระวังกายระวังจิตให้รู้ว่าต้องหัดควบคุมกายให้อยู่ในกฏเกณฑ์ จิตจะดิ้นรนและหาทางเลี่ยงไม่ให้คนเราเข้ามารักษาศีลโดยง่าย และส่ายไปตามอารมณ์ที่พอใจอื่น ๆ ทำให้ต้องทุกข์บ้างสุขบ้างมากบ้างน้อยบ้าง อันเป็นผลจากการที่ยอมทำตามใจของจิต ดังนั้นพระพุทธองค์จึงทรงสอนให้รู้จักศ๊ล โดยกฏเกณฑ์ของศีลล้วนเหมาะสมต่อการฝึกจิตให้รู้จักเส้นตรงของทางควรเดิน เพื่อรักษาความคงเส้นคงวาของความสุขให้มีมากขึ้นและยกระดับความสุขให้เพิ่ม มากขึ้นด้วย อันเป็นการพัฒนาจิตให้ก้าวหน้าต่อไปค่ะ ความสุขระดับนี้เป็นบุญมากและมีบารมีคืออำนาจภายในมากขึ้นต่อการเอาชนะ อุปสรรคในชีวิต จิตที่เคยชินต่อการรักษาศีลจะพบว่าชีวิตของตนนั้นมีความสุขยาวนานกว่าแต่ ก่อนค่ะ ทำให้เห็นโลกอีกใบหนึ่งที่สวยงามมากขึ้นอันแตกต่างไปจากที่เคยเห็นเมื่อ ครั้งไม่รักษาศีล เพราะต้องจมอยู่กับความทุกข์มากอันเป็นผลที่การทำตามใจของจิต

ขั้นที่ สาม คือการปฏิบัติธรรมค่ะ คนที่ผ่านขั้นที่สองได้ดี จะรู้สึกว่าการปฏิบัติธรรมไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป เหมือนเป็นการนำความรู้มาปฏิบัติให้เกิดผลพร้อม ๆ ไปกับการได้เรียนรู้จากครูบาอาจารย์ พระสงฆ์ แต่จะไปถึงผลขั้นไหน ก็ขึ้นอยู่กับการปฏิบัติตนมาตั้งแต่ขั้นแรก ขั้นสอง ว่าอยู่ในแนวทางของมรรคแปดหรือไม่ แนวทางของการหมั่นละชั่วทำดี(สัมมัปปธานสี่)หรือไม่ มีสติสมาธิวิริยะปิติปล่อยวางจนเกิดอุเบกขา พอใจในความสันโดษ สงบกายวาจาใจและรู้จักหมั่นเลือกเฟ้นธรรมพิจารณาเนือง ๆ (โพชฌงค์)หรือไม่ มีความพอใจ ขยัน ใส่ใจ ไตร่ตรอง (อิทธิบาท) หรือไม่ รวมทั้งบุญเก่ามาสนับสนุนบุญที่สร้างขึ้นใหม่ในภพชาติปัจจุบัน อันทำให้เกิด ศรัทธาวิริยะ สติสมาธิปัญญามากน้อยอย่างไร(มีอินทรีย์และพละแข็งแรงเพียงใด) ตลอดทั้งขั้นที่สามนี้สำคัญมากและสำคัญที่สุด เพราะเป็นขั้นกรอง กลั่น ให้จิตเกิดปัญญาไปทีละขั้น ความรู้ของปัญญาที่ได้มา เป็นเฉพาะตนค่ะ แต่ละคนจะได้ประสบการณ์ที่มาของปัญญาที่ไม่เหมือนกัน แต่ผลสุดท้ายย่อมได้ความรู้คือปัญญาตรงกัน ในขั้นที่สามนี้เองที่จิตจะพัฒนาขึ้นจนปราณีตมากขึ้น ไม่ตกอยู่ในอารมณ์แส่ส่ายอย่างแต่ก่อน ผู้ที่ปฏิบัติธรรมย่อมรู้ได้ว่าชีวิตของตนสุขยาวนาน และจิตแข็งแรงเข้มแข็งมากขึ้นแม้ต้องพบอุปสรรคในชีวิต จิตก็ผ่องใสเบิกบานอยู่ในใจได้และเป็นสุขแบบละเอียดๆ ไม่ติดข้องกับความวุ่นวายของทางโลก จนกระทั่งถึงวันถึงเวลาได้เข้าถึงระดับสุดยอดคือนิพพาน บรมสุขที่ไม่มีการให้ทุกข์มาแทรกได้อีกเลย

พระพุทธองค์มีจริงค่ะ ถ้าปฏิบัติตามพระธรรมคำสอนของพระพุทธองค์ แบบปฏิบัติจริง ทำจริง ย่อมได้ผลจริงแท้แน่นอนค่ะ

ขอเป็นกำลังใจให้ทุกท่านที่ต้องการเห็นผลจริง คือความสุขไปทีละขั้นจนเกิดปัญญาแท้นะคะ และปัญญานี้เองค่ะจะเป็นที่พึ่งของตนได้แท้จริงค่ะ อนุโมทนากับกิจกุศลที่ทุกท่านทำไว้ด้วยดีนะคะ

 
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท