การเพิ่มจำนวนของมนุษย์เป็นที่น่าสังเกตว่าในอดีตก่อนปี พ.ศ.2493 มีอัตราการเพิ่มต่ำมาก และเป็นเช่นนั้นมาเป็นเวลานานแต่หลังจากปี พ.ศ. 2493 อัตราการเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ดังภาพ
ภาพ การคาดคะเนจำนวนประชากรแต่ละยุคของโลก.
ที่มา : World Population Growth. On-line. 2008. (7 October 2008)
ตั้งแต่ปี พ.ศ.2250 เป็นต้นมามนุษย์ได้เริ่มก้าวเข้าสู่การค้นพบทางวิทยาศาสตร์และได้เพิ่มความรู้ทางวิทยาศาสตร์มากขึ้นเรื่อยมา ความรู้เบื้องต้นทางวิทยาศาสตร์เหล่านั้นเป็นรากฐานสำคัญในการค้นคิดประดิษฐ์สิ่งต่าง ๆ ตามมาอย่างมากเพื่ออำนวยความสะดวกต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์และความอยู่รอดของมนุษย์ โดยเฉพาะความก้าวหน้าทางการสาธารณสุขและการแพทย์ ส่งผลให้โอกาสรอดชีวิตของมนุษย์เพิ่มขึ้นอย่างมาก เริ่มต้นครั้งแรกในประเทศแถบยุโรปและอเมริกา ต่อมาความรู้เหล่านี้กระจายออกไปสู่สังคมอื่น ๆ ทั่วโลก เป็นเหตุให้อัตราการตายลดลงและอัตราการเกิดเพิ่มสูงขึ้น ทำให้ประชากรมนุษย์เพิ่มอยู่ในอัตราสูง โดยเฉพาะจะเพิ่มอย่างรวดเร็วมากตั้งแต่ปี พ.ศ. 2493 เป็นต้นมา เราจะเรียกช่วงนั้นว่าระยะประชากรระเบิด (Population Boom) หรือ (Baby Boom) การเพิ่มประชากรเหล่านี้เป็นแรงผลักดันให้มนุษย์ต้องค้นหาทรัพยากรรอบด้านเพิ่มนำมาตอบสนองความต้องการใช้ในชีวิตประจำวัน ดังนั้นส่งผลกระทบโดยตรงต่อสิ่งแวดล้อมโดยเฉพาะสิ่งแวดล้อมที่นำมาซึ่งปัจจัยสี่ เช่น มีความต้องการพื้นที่ในการเพาะปลูกเพิ่มขึ้น ต้องการทรัพยากรน้ำเพิ่มขึ้น ต้องการสัตว์และพืชมากขึ้น เป็นต้น กิจกรรมเหล่านี้ส่งผลให้มีการบุกรุกพื้นที่ป่าไม้อย่างรุนแรงตามมา การลดลงของพื้นที่ป่าไม้จะส่งผลกระทบต่อเนื่องไปยังที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่าลดลง เกิดการลดจำนวนหรือสูญพันธุ์ไปได้ การสูญพันธุ์ของพืชธรรมชาติ การชะล้างพังทลายของดินในพื้นที่ลาดชัน การแปรปรวนของลมฟ้าอากาศ ให้เห็นอยู่ทั่วไปขณะนี้
ภาพ การคาดคะเนการเพิ่มจำนวนประชากรมนุษย์ระหว่าง พ.ศ. 2293 – 2693
ที่มา : David King. 2006. On-line. (6 October 2006)
เป็นที่น่าสังเกตว่าการเพิ่มประชากรนั้นระหว่างกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว (More Developed Countries) กับกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา (Less Developed Countries) แตกต่างกันอย่างมาก ดังภาพข้างบน กล่าวคือ
ในประเทศกลุ่มที่พัฒนาแล้วคาดการณ์ว่าเมื่อเข้าสู่ปี พ.ศ. 2543 มีแนวโน้มว่าอัตราการเพิ่มจะเป็นลบ และเริ่มปรากฏให้เห็นแล้วในหลายประเทศ โดยเฉพาะประเทศในแถบ ยุโรป เช่น เยอรมนี เดนมาร์ก ญี่ปุ่น สิงคโปร์ เป็นต้น ทั้งนี้เพราะประเทศเหล่านี้มีมาตรฐานของชีวิตค่อนข้างสูง มีการศึกษาดี เข้าใจภาวะของครอบครัวและสังคม มีฐานะทางเศรษฐกิจดีรายได้สูง และอยู่ภายใต้ระบบเศรษฐกิจที่ซับซ้อนมาก ดังนั้นในรอบวันชีวิตจะมีกิจกรรมหลากหลายรัดตัว การจะมีลูกแต่ละครั้งจะต้องไตร่ตรองอย่างรอบคอบถึงความรับผิดชอบในการเลี้ยงดู การให้การศึกษา การอบรม และการวางอนาคตของเยาวชน อีกประการหนึ่งภาวะสังคมของประเทศพัฒนาแล้วนั้นประชากรชายหรือหญิงต่างก็มีอาชีพของตนเอง ผู้หญิงไม่ได้มีภาวะต้องพึ่งพาสามีเป็นผู้เลี้ยงดูอีกต่อไป สามารถยังชีพด้วยตนเองได้ ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องขวนขวายหาคู่ครองเพื่อให้เลี้ยงดูตน การแต่งงานจึงลดน้อยลงไป คนโสดมีมากขึ้น สิ่งเหล่านี้ทำให้แนวโน้มว่าในอนาคตประชากรจะลดลงเรื่อย ๆ ภาวะเช่นนี้กลับสร้างปัญหาให้กับประเทศเหล่านี้ตามมา คือ ขาดแคลนแรงงาน ค่าแรงราคาแพง ทำให้ต้นทุนการผลิตสูง เสียเปรียบการแข่งขันในตลาดโลก และทำให้มีแรงงานต่างชาติอพยพเข้ามา เกิดภาวะความขัดแย้งทางสังคมตามมาได้
ในประเทศกำลังพัฒนากลับเป็นไปในทางตรงกันข้ามคือเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะช่วงเวลาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2493 เป็นต้นมามีอัตราการเพิ่มที่น่าตกใจ แต่ตั้งแต่ พ.ศ. 2543 เป็นต้นมาอัตราการเพิ่มเริ่มลดลงในกลุ่มประเทศยุโรปตะวันออก เอเชีย และ ลาตินอเมริกา ยกเว้นทวีปแอฟริกา โดยอัตราการขยายตัวของประชากรโลกโดยเฉลี่ยในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา อยู่ที่ 1.31% กลุ่มประเทศพัฒนาแล้วมีอัตราการเกิดเพียง 0.31% ขณะที่แอฟริกาอัตราการเกิดมีอัตราเพิ่มลดลง แต่ยังถือว่าสูง ถึง 2.31% (อนุช อาภาภิรม. 2543) จากปรากฏการณ์การเปลี่ยนแปลงประชากรดังกล่าวถ้าพิจารณาถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นกับสังคมของประเทศต่าง ๆ เหล่านั้น จะพบว่าส่งผลต่อโครงสร้างของประชากรที่สำคัญ คือ สัดส่วนระหว่างวัยทำงาน (19-60 ปี) กับวัยที่อยู่ภาวะพึ่งพิง (วัยเด็ก (0-19 ปี) และวัยชรา(มากกว่า 60 ปี) ในกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้วจะประสบปัญหากับประชากรที่มีอายุยืนยาวขึ้น เพราะความก้าวหน้าทางการสาธารณสุข ความเข้าใจเกี่ยวกับภาวะโภชนาการ การออกกำลังกายที่ถูกต้อง สิ่งเหล่านี้ล้วนส่งให้คนในประเทศพัฒนาแล้วมีอายุยืนยาวมากขึ้นตลอดเวลา ในขณะที่อัตราการเกิดของทารกลดลง แต่ในประเทศกำลังพัฒนาไม่ได้เป็นไปเช่นนี้ วัยที่อยู่ในภาวะพึ่งพิงเป็นวัยเด็กมากกว่าวัยชรา อันเนื่องมาจากอัตราการเกิดสูงนั่นเอง ขณะที่คนชรามีจำนวนไม่มากเพราะสาเหตุการตายที่มีอัตราสูงด้วยระบบการสาธารณสุขยังไม่ได้มาตรฐาน และ กระจายการบริการไม่ทั่วถึง จึงมีคนจำนวนมากต้องตายก่อนวัยอันควร ปรากฏการณ์ทางประชากรของโลกส่วนใหญ่เป็นไปในทิศทางเช่นนี้มาร่วม 2 ทศวรรษแล้ว ลักษณะของโครงสร้างประชากรจะมองเห็นได้ชัดเจนจากปิรามิด ประชากร ดังภาพข้างล่างนี้
ภาพที่ 3-3 ปิรามิดประชากร (Population Pyramid)
ที่มา : Anne Hoeper. 2008. On - line.
จากภาพปิรามิดประชากรของประเทศเคนยาซึ่งมีอัตราการเพิ่มประชากรสูง (Rapid Growth) จะมีฐานกว้างเพราะมีประชากรวัยต่ำกว่า 19 ปีเป็นจำนวนมากเกือบครึ่งหนึ่งของคนทั้งประเทศและประชากรวัยชรามีไม่มากนัก ในขณะที่ปิรามิดประชากรของประเทศสหรัฐอเมริกาซึ่งมีอัตราการเพิ่มประชากรเพิ่มขึ้นอย่างช้า ๆ (Slow Growth) จะมีฐานค่อย ๆ แคบเข้า ในขณะที่ประเทศอิตาลีซึ่งมีอัตราการเพิ่มประชากรเป็นลบ (Negative growth) จะเป็นไปในทางตรงกันข้ามกับประเทศเคนยามาก คือ ฐานของปิรามิดแคบเพราะมีอัตราการเกิดของต่ำมากกว่าอัตราการตาย และ ประชากรในวัยสูงอายุมีจำนวนมากใกล้เคียงกับวัยเด็ก ปรากฏการณ์เช่นนี้สร้างภาระให้กับสังคมของประเทศเหล่านั้นทั้งสิ้น ประเทศที่อัตราการเพิ่มสูงจะมีภาระในการเลี้ยงดูประชากรก่อนวัยทำงาน ในขณะที่ประเทศที่มีอัตราการเพิ่มประชากรลดลงจะประสบปัญหาขาดแคลนแรงงานในอนาคต และ มีภาระเลี้ยงดูคนวัยชรามากขึ้นอีกด้วย ดังนั้นการฉายภาพประชากรในอนาคตจึงเป็นเรื่องสำคัญในการวางแผนกำลังคนเพื่อการพัฒนาสังคมของประเทศนั้นๆ
การกระจายของประชากรก็เป็นเรื่องสำคัญอีกประการหนึ่งเพราะเป็นปัจจัยสำคัญในการจัดการผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
ประชากรบางบริเวณอาศัยอยู่หนาแน่นบางบริเวณก็เบาบาง ทั้งนี้ขึ้นกับสิ่งแวดล้อมเอื้อต่อการดำรงชีวิตยากง่ายอย่างไรนั่นเอง จะพบว่าบริเวณที่ประชากรหนาแน่นมักเป็นแหล่งที่มีความมั่นคงทางอาหาร เช่น พื้นที่ราบลุ่มแม่น้ำ พื้นที่ผุพังของหินซากภูเขาไฟเก่า พื้นที่ริมฝั่งทะเลและอากาศไม่หนาวเกินไป เป็นต้น โดยเฉพาะบริเวณที่เป็นโลกเก่าซึ่งมีการตั้งถิ่นฐานมานานจะหนาแน่นมากเป็นพิเศษ เช่น ที่ราบลุ่มแม่น้ำของประเทศจีน อินเดียและยุโรป ในปัจจุบันทำเลที่ตั้งที่อยู่ในตำแหน่งที่ควบคุมเส้นทางขนส่งและความได้เปรียบเชิงอุตสาหกรรมก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งให้ประชากรตั้งถิ่นฐานอยู่หนาแน่น ส่วนบริเวณที่ประชากรเบาบางเป็นพื้นที่ที่หาอาหารได้ค่อนข้างลำบาก เช่น พื้นที่ทะเลทราย ทุ่งหญ้า ที่สูงหรือหนาวจัด ดังภาพข้างล่าง
ภาพการกระจายตัวของประชากรโลก
ที่มา : Population distribution. On – line. 2008.
จากการเพิ่มประชากรและการกระจายตัวของประชากรเป็นผลโดยตรงต่อสิ่งแวดล้อม การเพิ่มประชากรเราสามารถมองเห็นได้ชัดเจนว่าคนเหล่านั้นต้องการปัจจัยสี่เป็นเบื้องต้นเพื่อการดำรงชีพ ดังนั้นการเพิ่มจำนวนย่อมต้องการทรัพยากรมาใช้มากขึ้นเป็นเงาตามตัวซึ่งมองเห็นได้ชัดเจนจากประเทศกำลังพัฒนาทั้งหลาย ในขณะที่ประเทศที่พัฒนาแล้วแตกต่างกันออกไป ประเทศเหล่านั้นมีจำนวนประชากรไม่มากนัก และอัตราการเพิ่มประชากรก็อยู่ในอัตราต่ำ แต่มีมาตรฐานการครองชีพสูงมาก ดังนั้นย่อมมีอัตราการใช้ทรัพยากรมากตามระดับการพัฒนา ตัวอย่างเช่นพลังงาน จากภาพ 3.5 จะเห็นได้ชัดว่าทวีปยุโรป สหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่นใช้พลังงานมากกว่าทวีปอื่นใดในโลก มองเห็นแสงสว่างได้ชัดเจน ทั้งที่รวมกันแล้วมีประชากรประมาณ 1,000 ล้านคน หรือ 1 ใน 6 ของประชากรโลกเท่านั้น
จำนวนประชากรมีอิทธิพลอย่างยิ่งต่อสิ่งที่จะเกิดขึ้นในประเทศ นับตั้งแต่ปริมาณอาหารที่บริโภค แรงงานในระบบเศรษฐกิจ การอยู่อาศัย การกำจัดของเสีย การทำลายสิ่งแวดล้อม กำลังป้องกันประเทศ เป็นต้น ดังนั้นการพยากรณ์จำนวนประชากรในอนาคตจึงเป็นเรื่องน่าสนใจอย่างยิ่ง เพราะมีนัยหลายประการ
สถาบันวิจัยประชากรและสังคมของมหาวิทยาลัยมหิดลได้ฉายภาพเมื่อปีให้เห็นว่าใน พ.ศ. 2568 คาดว่า จะมีประชากรไทยรวม 65,088,800 ล้าน โดยมีส่วนประกอบดังตารางข้างล่าง
ตารางการคาดคะเนประชากรในปี พ.ศ. 2568
วัย |
อายุ (ปี) |
จำนวน (คน) |
เปอร์เซ็นต์ |
วัยเด็ก |
0-14 |
10,441,200 |
16.04 |
วัยทำงาน |
15-59 |
41,746,500 |
64.14 |
วัยเกษียณ |
60-79 |
11,581,200 |
17.79 |
วัยชรา |
>80 |
1,319,900 |
2.03 |
รวม |
|
65,088,800 |
100.00 |
ที่มา : ดัดแปลงจาก Institute for Population and Social Research Mahidol University. [On-line]. 2010.
จะเห็นชัดเจนว่า สังคมไทยในอีกประมาณ 15 ปีจากนี้ไป จะเป็นสังคมของผู้สูงอายุโดยแท้ จะมีคนแก่มากกว่าเด็ก กล่าวคือ อายุต่ำกว่า 15 ปีมีอยู่ 10.4 ล้านคน หรือร้อยละ 16.04 ในขณะที่ผู้มีอายุ 60 ปีขึ้นไปจะมีจำนวน 12.9 ล้านคน หรือร้อยละ 19.82 ในขณะคนที่เป็นหลักในการทำมาหากินของสังคม คือผู้ที่อยู่ในวัย 15-59 ปี จะมีจำนวน 41.7 ล้านคน หรือร้อยละ 64.14 ซึ่งต้องทำงานหนัก เพราะเลี้ยงดูคนจำนวน 23.34 ล้านคน (10.44+12.9) หรือ ในสัดส่วน 1.78 คนหนุ่มสาววัยทำงานต้องเลี้ยงดูเด็กและคนแก่ 1 คน ตัวเลขคนสูงอายุนี้น่าสนใจมาก เมื่อพิจารณาจำนวนประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไปในปี พ.ศ. 2546 ที่ผ่านมา ซึ่งมีอยู่ 6.6 ล้านคน ดังนั้น จึงเท่ากับใน 15 ปีข้างหน้า จะมีผู้สูงอายุในวัยเกิน 60 ปีเพิ่มขึ้นกว่าหนึ่งเท่าตัวของปี พ.ศ. 2546 (พ.ศ. 2568 มีจำนวน 12.9 ล้านคน) หรือเพิ่มขึ้นกว่าหนึ่งเท่าตัวในเวลา 20 ปีเศษเท่านั้น
ในอีก 15 ปีข้างหน้าประชากรไทยจะมีอายุขัยเฉลี่ยสูงขึ้นเป็นผู้หญิง 80 ปี (ปัจจุบัน 74.9 ปี) ผู้ชาย 75 ปี (ปัจจุบัน 69.9) สำหรับผู้สูงอายุตอนปลายคือ อายุ 80 ปีขึ้นไปนั้นจำนวนจะเพิ่มจากไม่ถึง 7 แสนคนในปัจจุบัน เป็น 1.3 ล้านคนในปี 2568 ซึ่งเท่ากับเพิ่มเกือบ 2 เท่าตัวใน 20 ปี เมื่อมีจำนวนผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นในแต่ละปี ก็จะมีจำนวนคนตายเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพราะมีประชากรสูงอายุที่ถึงวัยจะต้องจากไปเพิ่มมากขึ้น ในปัจจุบันมีคนตายปีละประมาณ 3 แสนกว่าเกือบๆ 4 แสนคน แต่ในปี พ.ศ. 2568 จะมีคนตายปีละประมาณ 6.7 แสนคน แต่ในขณะเดียวกัน จำนวนเด็กเกิดก็จะลดน้อยลง เนื่องจากหญิงไทยโดยเฉลี่ยแต่ละคนมีลูกน้อยลง ในปัจจุบันเฉลี่ยมีคนละ 1.8 คน แต่ในปี พ.ศ. 2568 จะมีคนละเพียง 1.4 คนเท่านั้น ปัจจุบันเด็กเกิดในแต่ละปี มีจำนวนประมาณ 8 แสนกว่าคน แต่ในอีก 15 ปีข้างหน้า อัตราเด็กเกิดในแต่ละปีจะลดลงเหลือเพียง 7 แสนกว่าคน ซึ่งเมื่อเทียบกับตัวเลขจำนวนคนตายปีละประมาณ 6.7 แสนกว่าคนในเวลาเดียวกัน หมายความว่าในเวลา 15 ปีจากนี้ไป ประชากรไทยจะมีจำนวนคงที่อยู่ที่ 70 ล้านคน เพราะอัตราการเกิดและอัตราการตายเท่ากัน จำนวนประชากร 70 ล้านคงที่เช่นนี้ เรียกว่า “STEADY STATE”
เมื่อการเพิ่มประชากรคงที่จะเป็นผลดีอย่างมากในการวางแผนพัฒนาประเทศ ทั้งด้านการเศรษฐกิจ การสาธารณสุข การศึกษา สังคม การใช้ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพราะจำนวนคงที่จะสามารถคาดคะเนความต้องการด้านต่าง ๆ ได้ค่อนข้างถูกต้องแม่นยำขึ้น ดังนั้นรัฐจึงสามารถกำหนดทิศทางของประเทศได้ถูกต้องตรงความจริงมากกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน โดยเฉพาะการเติบโตทางเศรษฐกิจที่เบียดบังทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติอย่างปัจจุบันจะลดลงไปและเน้นไปสู่การเติบโตทางเศรษฐกิจเพื่อความยั่งยืนของระบบธรรมชาติมากขึ้น
การเปลี่ยนแปลงประชากรเป็นประเด็นสำคัญอย่างยิ่งต่อการเปลี่ยนแปลงสิ่งแวดล้อม เพราะประชากรมีปฏิสัมพันธ์โดยตรงกับทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมบนโลกนี้ จำนวนประชากรและพฤติกรรมการบริโภคของประชากรส่งผลโดยตรงต่อการนำทรัพยากรธรรมชาติมาใช้ประโยชน์เพื่อการผลิตตอบสนองความต้องการของมนุษย์ ซึ่งมีกระบวนการต่างๆ มากมาย ตั้งแต่การสำรวจ การขุดค้น การเตรียมการผลิต การผลิต การแจกจ่ายและการบริโภค ทุกขั้นตอนของกระบวนการเหล่านี้ล้วนแต่ทิ้งสิ่งของเหลือใช้ (Waste) ลงสู่สิ่งแวดล้อมทั้งสิ้น
ดีคับ ขอบคุณครับ