กล้ารู้ กล้าคิดแบบไม่หลงตนเอง


ผมเชื่อเฉพาะตนของผมเองว่า เราทุกคนเกิดมาเพื่อ “ทำหน้าที่ตามศักยภาพแห่งตน เพื่อสร้างสรรค์จรรโลงตนและโลกให้ไปสู่จุดหมายอันประเสริฐ”

โรค Narcissistic Personality Disorder (`นาร์เซอะ'ซิสติก `เพอร์เซอะ'แนลิตี้ ดิส'ออร์เดอร์) หรือที่มีชื่อเป็นภาษาไทยว่า โรคคลั่งตัวเอง (เรียกย่อๆ ว่า NPD หรือ ภาวะ Narcissism) เป็นภาวะบกพร่องด้านบุคลิกภาพอันเนื่องมาจากอาการหลงตัวเองมากเกินไป...............

 

 

 

วันนี้..คนไทยเราบางท่าน มีอาการเอ็นพีดี มาก  (อาจรวมถึงผมด้วย อิอิ) 

 

 

 เช่น นักสวดบางท่าน (แถวปทุมฯ)   นักการเมืองบางท่าน(แถวดูไบ)   นักวิชาการบางท่าน (แถวริมรั้วมหาลัยไทย)    หมอหลายท่าน (ก็หมอเขามี “หัว” อยู่แล้ว)  แม้แต่นักการเมืองบางท่าน หรือสุดท้ายแม้แต่ชาวนา ชาวสวน บางท่าน ...โหช่าง เก่ง เก๋า กร่างกันจริง

 

 

จากการเก็บสถิติของผมในช่วง ๒๐ ปีที่ผ่านมา ส่วนใหญ่พวกโด่งเด่นดังที่เป็น “สมองของสังคม” ที่เป็นที่ฮือฮานั้นร้อยละ 95  เป็นพวก “กรรมมารอ”  ส่วนพวกร้อยละ 5 ที่เก่งจริงๆ นั้น ไม่ค่อยดัง ท่านเก็บต้วเงียบๆ   ....แล้ว 5 คนตัวจริงๆนี้ ไปอยู่ไหน ...ตอบ คือพวกปิดทองหลังพระ  และหรือพวก เป่าแตรนำหน้าความคิดตัวเองไม่เป็น

 

 

ผมเกิดมาโชคดีมีบุญพอควร ทำให้ได้พบเห็นคนเก่งคนดี จริงๆ มามากพอควร   รวมทั้งคนไม่เก่งไม่ดี (แต่ดัง)  มาก็มาก   ...... ทำให้ได้คิดเปรียบเทียบ ชั่งน้ำหนัก ว่า ...แล้วคนอย่างเรา  ที่ดิบๆ สุกๆ จะดำเนินชีวิตอย่างไรดี 

 

เผอิญเราได้บวชได้เรียนมาพอควร  เราก็ได้คิดว่า ก็ดำเนินตามรอยพระพุทธเจ้าก็แล้วกัน  แบบว่าทางสายกลาง    คือ ทำความจริงให้ปรากฏเท่าที่เราทำได้ 

 

อะไรที่เรารู้จริงเราก็บอกว่าเรารู้จริง  ไม่ต้องอาย  เพราะเราคิดและทำมาหมดแล้ว ...ส่วนอะไรที่เราคิดแต่ไม่เคยทำก็บอกตรงตามนั้น  ไม่โอ้อวดตัวจนเกินจริง   

 

อีกทั้งเราต้องกล้าพูด กล้าแสดงออก ตามที่เรารู้ ตามที่เราคิด ตามที่เป็นจริง  โดยไม่ต้องกลัวว่าใครเขาจะเกลียด ใครเขาจะรัก 

 

 

ผมเชื่อเฉพาะตนของผมเองว่า  เราทุกคนเกิดมาเพื่อ “ทำหน้าที่ตามศักยภาพแห่งตน เพื่อสร้างสรรค์จรรโลงตนและโลกให้ไปสู่จุดหมายอันประเสริฐ”  ......ไม่ว่าสถานะทางสังคมของเราจะต่ำต้อยหรือสูงส่งเพียงใดก็ตาม   เพราะความสูงมีไม่ได้หากไม่มีความต่ำ ความขาวมีไม่ได้หากไม่มีความดำ

 

คำว่า “ธรรม”  เป็นคำ ที่แปลกยิ่ง

คือทุก สิ่ง  ขวางหน้า ตามองเห็น

เช่นบุญบาป นิพพาน และตัวเล็น

นกกระเต็น  เหม็นเน่า  เข้าตำรา

          ธรรมะใน ความหมาย ที่ดีดี

          คือสิ่งที่ สวยงาม ตามภาษา

          คือหน้าที่ ธรรมชาติ บัญญัติมา

          ให้โลกหล้า อยู่ร่วมกัน ฉันสัตว์คน

ธรรมะไม่   กลับมา   โลกาวินาศ

จะพิพาท  ขัดแย้ง ทุกแห่งหน

เห็นแก่พรรค แก่พวก และแก่ตน

ไม่เห็นหน   ทางรอด หากปลอดธรรมฯ

 

...คนถางทาง (๒๑ พฤษภาคม ๒๕๕๕)

 

หมายเลขบันทึก: 488637เขียนเมื่อ 21 พฤษภาคม 2012 05:48 น. ()แก้ไขเมื่อ 14 มิถุนายน 2012 11:52 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (13)

ชอบบทความนึ้ ขอเก็บไว้สอนหมวยน้อยค่ะ

เรียนคนถางทาง...ภาษา พาสื่อ ภาษาอังกฤษ

(โรค Narcissistic Personality Disorder (นาร์เซอะ'ซิสติกเพอร์เซอะ'แนลิตี้ ดิส'ออร์เดอร์) หรือที่มีชื่อเป็นภาษาไทยว่า โรคคลั่งตัวเอง (เรียกย่อๆ ว่า NPD หรือ ภาวะ Narcissism) เป็นภาวะบกพร่องด้านบุคลิกภาพอันเนื่องมาจากอาการหลงตัวเองมากเกินไป.) พอเขียนคำอ่านไว้แบบนี้เป็นการให้ได้เรียนรู้เรื่องภาษา ผ่านบันทึก เป็นการดีสำหรับคนที่ มีภูมิคุ้มกันบกพร่องทางภาษา

และอาจเป็นภาษาตั้งต้น(คงคล้ายสารตั้งต้นในยาเสพติด) ในการผสมให้รักษา

ด้วยความขอบคุณมากมาย

ด้วยความยินดีครับท่านวอญ่า

หวั่นลั้งกงได้ป๊บกั๋นหริ่มเหล่ซ้าบ "ส่งคล้า" สักวัน

"..จากการเก็บสถิติของผมในช่วง ๒๐ ปีผ่านมา ส่วนใหญ่พวกโด่งเด่นดังที่เป็น “สมองของสังคม” ที่เป็นที่ฮือฮานั้นที่เก่งจริง ดีจริง ประมาณ 5 ในร้อย อีก 95 นั้นพวก “กรรมมารอ” ทั้งสิ้น ....แล้ว 95 คนตัวจริงๆนี้ ไปอยู่ไหน ...ตอบ คือพวกปิดทองหลังพระ และหรือพวก เป่าแตรนำหน้าความคิดตัวเองไม่เป็น.."..ขออนุญาตครับท่านอาจารย์ที่เคารพ..อ่านตรงนี้ งงครับ..ไม่แน่ใจว่า..ตรง 95 คนตัวจริงนี้ ควรเป็น 5 คน ตัวจริง..ใช่ไหม ครับ?..รึว่า ผมเองจะเริ่มงงๆหลงๆไปบ้างแล้ว..

ความแก่+ความง่วงทำให้หลงไป ท่านลุงฯ ถูก และผมผิตนะคร๊าบ ....เปลียนจาก 95 เป็น 5 ในบทความเดี่๋ยวนี้ พร้อมแต้มเสี

ดีจังที่..หนูยังไม่เป็นโรคนี้ค่ะ.. อิอิอิ เพราะไม่ค่อยฉลาดและไม่เก่งขนาดเป็นผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง เลยเดินอยู่ตรงทางกลางๆที่ท่านอาจารย์แนะนำนั่นแหล่ะค่ะ.. การจะเป็นโรคนี้ได้และถูกจัดอยู่ในกลุ่มห้าเปอร์เซ็นต์ นั้น ต้องเก่งแบบเทพค่ะ.. ซึ่งตรงนี้ .. ยังไม่สามารถค่ะ -- คงต้องส่งท่านอาจารย์ออกหน้านำไปก่อนเลยค่ะ เพราะของอย่างนี้ต้องสั่งสมทั้งประสบการณ์และความเจ๋ง -- ไม่ใช่ปากเก่งอย่างเดียว

ผมไม่แน่ใจว่าตัวเองอยู่ใน 95% หรือ 5% ครับ คิดว่าน่าจะอยู่ทั้งสองด้านตามโอกาสอำนวย (ฮา)

ผมสังเกตว่า "คนเก่งๆ" ทั้งหลายที่ประชาสัมพันธ์ตัวเองนั้น กลายเป็นว่าเป็นเพื่อเหตุผลทางธุรกิจกันครับ บ้างก็เพื่อทุนจากแหล่งต่างๆ บ้างก็เพื่อ "gig" (ที่ไม่ได้แปลว่ากิ๊ก) ด้านธุรกิจการพูดการเขียน เดี๋ยวนี้รายได้จากการเป็นวิทยากรในองค์กรต่างๆ ในประเทศไทยนั้นไม่น้อยทีเดียวครับ เลี้ยงตัวได้สบายๆ เทียบได้กับต่างประเทศทีเดียวครับ

แต่ก็สังเกตว่าในวงการวิทยากรในปัจจุบันนั้น การแข่งขันก็สูงมากทีเดียว (ตามรายได้ที่มากขึ้น) ผมเดาว่าเป็นอาชีพที่เหนื่อยอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน ไหนจะต้องรักษาภาพลักษณ์และจุดเด่นของตัวเองเพื่อให้แข่งขันได้ในวงการ ไหนจะต้องสร้างสินค้า (เนื้อหาการพูด) ให้สดใหม่ แล้วไหนจะต้องพูดให้ได้สมความคาดหวังอีก ฯลฯ ครับ

ท่านดร. ธฯ ว่ามา ผมเห็นด้วยมากๆ มันเหมือนดาราไปแล้ว อิอิ วิชาการบันเทิง อิอิ

ท่านรัชนีครับ...สู้ต่อไปครับ ปีนบันไดดาราให้ได้ ขอแต่ว่าเมื่อไปถึงแล้ว เราไม่เหลิง กลับมาติดดินเหมือนเดิมครับ แม้ใ้ต้ดินด้วยซ้ำ

ฮาๆๆๆ "วิชาการบันเทิง" อาจารย์คิดได้ยังไงเนี่ย

นึกไปนึกมาแล้วก็เหมือนนักร้องเลยนะครับ ต่างกันที่นักร้องออกเพลง นักวิชาการออกหนังสือ แล้วก็ไปออก "concert" เหมือนๆ กัน ที่จริงแล้วนักร้องกับนักวิชาการมาเจอใน "concert" เดียวกันก็เยอะเหมือนกันครับ

ต่อไปคงต้องจัดคอนเสิร์ตวิชาการกันสักที อิอิ

จริงๆ แล้วถ้าอาจารย์สนใจ "เข้าวงการ" นี่ผมคิดว่าอาจารย์ต้องดังมากทีเดียวครับ มี "นักวิชาการบันเทิง" หลายท่านอ้างอิงถึงคุณสมบัติที่คล้ายๆ กับอาจารย์จนโด่งดังมากทีเดียว แต่อาจารย์มี originality สูงกว่าเขาเยอะมากเลยครับ

ถ้าอาจารย์เข้าวงการเมื่อไหร่ ผมจะตามไปเชียร์ข้างเวที (จริงๆ นะครับ)

ขอบคุณและเป็นเกียรติมากครับท่าน ดร.ธ. ผมก็เข้าวงการแล้วงัยครับ (วงการ gtk) เพื่อบันทึกไว้เป็นมรดกของแผ่นดินตามศักยภาพ โอกาส เท่าที่มี ..ขอบคุณมากครับที่สร้างเวทีนี้ขึ้นมา ไม่งั้นป่านนี้มันก็คงบันทึกอยู่แค่ในสมองผมเท่านั้นเอง ที่ผมปวารณาไว้แล้วว่า ถ้ายังมีสติอยู่ จะขอไปตายในถ้ำ ในป่าลึก เหมือนแมว ที่ไม่มีใครเห็น ตายคนเดียวกลางป่ากว้าง ไร้ชื่อ ไร้เสียง ไร้ดอกไม้จันทน์ เสียงแตรสังข์กังสดารใดๆ

เช่นเดียวกันครับ ขอบคุณอาจารย์ที่เขียนเนื้อหาดีๆ ให้ผมและสมาชิกทุกท่านได้อ่านครับ ผมกลายเป็นติดบันทึกอาจารย์ไปแล้ว เห็นแล้วต้องคลิกทันทีครับ

ผมชื่นชมอาจารย์ในความตั้งใจในความสันโดษครับ ผมเองเรียนรู้ที่จะมีความสุขกับความสันโดษมากขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา พบว่าความความสุขในความสันโดษนี้สงบสบายมากกว่าความสุขแบบอื่นๆ ที่เคยพบเจอมาครับ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท