สมัยผมหนุ่มๆ ต้องหัดสูบบุหรี่ จึงจะโก้ ต่างจากสมัยนี้ที่คนโก้ต้องไม่สูบบุหรี่
ตอนเรียนอยู่จุฬาปี ๑ เพื่อนๆ จะชวนไปบ้าน ไปเล่นรัมมี่ กินข้าว และสูบบุหรี่กัน ผมก็หัดกับเขาบ้าง แต่แค่ลองไม่ได้สูบประจำ ตอนนั้นมีเพื่อนติดบุหรี่หลายคน แต่ก็คงจะไม่ถึงหนึ่งในสาม นอกนั้น (รวมทั้งผม) เป็น "คางคก" คือสูบบุหรี่ตราขอ และท่าทางขัดเขิน ยังคีบบุหรี่ อัดบุหรี่ และปล่อยควันออกทางจมูกได้ไม่เทียบเท่าผู้ชำนาญ
เพื่อนหลายคนมีความสามารถในการปล่อยควันบุหรี่ออกทางปากเป็นวงกลมหลายๆ วงติดต่อกัน บางคนมีความสามารถปล่อยควันออกทางปากแล้วสืดเข้าไปทางจมูกทันที เห็นควันไหลเป็นทาง สิงห์อมควันทั้งหลายจะฝึกท่าเคาะบุหรี่ออกจากซอง ท่าจุดบุหรี่ให้ตนเองและให้เพื่อน ท่าต่อบุหรี่ ท่าคีบบุหรี่ ฯลฯ หมายความว่าบุหรี่เป็นเครื่องประกอบความเท่ หรือความโก้ ของหนุ่มสมัยผม และเป็นสิ่งที่ผมไม่มี ผมเป็นได้แค่คางคก ซึ่งผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมไม่มีศัพท์คางคกสำหรับคนที่สูบบุหรี่แบบเก้งก้าง
แต่พอลองสูบบุหรี่ในวงไพ่บ่อยๆ เข้าก็ชักจะชินและคล้ายๆ สูบเป็น
พอไปเรียนต่อที่อเมริกา มันเหงาและหนาว การสูบบุหรี่ช่วยแก้หนาวและแก้เหงาได้ ผมสูบบหรี่ซาเลมวันละซอง เขี่ยเถ้าบุหรี่และทิ้งก้นบุหรี่ไว้ในขวดกาแฟที่กินหมดแล้วได้ตั้งหลายขวด เพื่อนมาเห็นก็ยังทัก ว่าไอ้จานลื๊อติดบุหรี่แล้วหรือวะ แต่สมัยนั้นติดบุหรี่ไม่ถือเป็นเรื่องใหญ่โตอะไรนะครับ
กลับมาเมืองไทยผมก็ยังสูบบุหรี่ จนแต่งงานก็ยังสูบ ต่อมาภรรยาบอกว่าเหม็น ตัวเหม็น เสื้อผ้าก็เหม็น ปากเหม็น หายใจก็เหม็นบุหรี่ ผมก็เลิก เลิกไม่ยากเลยสำหรับผม คือเลิกก็เลิกเลย ผมนึกถึงพ่อผมเลิกยานัดที่นัดมาหลายสิบปี ก็เลิกได้ทันทีที่ตั้งใจเลิก ผมจึงบอกภรรยาว่า ผมเป็นคนที่ไม่ติดอะไรเลย ยกเว้นติดเมีย
ต่อมาผมริอ่านสูบกล้องยาเส้น มันหอมดี และเวลาสูบตอนเขียนต้นฉบับรายงานผลวิจัย (paper) มันเขียนคล่องถ้าได้สูบไปป์ สูบอยู่หลายปี โดนภรรยาบ่นและเลิกไปหลายหน (คือเลิกแล้วสูบใหม่) จนถึงประมาณปี ๒๕๓๑ มีขบวนการต่อต้านการสูบบุหรี่ อาจารย์หมอสุวิณา รัตนชัยวงศ์ เอากระดาษเขียนกลอนว่าถ้าจะสูบบุหรี่ก็ให้สูบคนเดียวอย่าเที่ยวเผื่อแผ่ควันให้คนอื่น และให้เก็บที่เขี่ยบุหรี่ออกจากห้องประชุมกรรมการคณะ (แพทย์ มอ.) หมด ที่ประชุมกรรมการคณะก็เลยลงมติห้ามสูบบุหรี่ในห้องประชุมทุกห้องภายในคณะ โดยพวกสิงห์อมควันทั้งหลายออกมาสนับสนุนกันอย่างแข็งขัน ผมแปลกใจมาก
แต่ผมก็ยังสูบไปป์ในห้องทำงานคณบดี จนวันหนึ่งพี่โม (ผศ. พญ. มาลิดา พรพัฒน์กุล) หัวหน้าภาควิชาพยาธิวิทยามาหาที่ห้อง มาถึงก็ทำจมูกฟุดฟิด และบ่นว่าเหม็นกลิ่นยาเส้น "เอ๊ะ คณะห้ามสูบบุหรี่ในห้องประชุมและห้องทำงาน แล้วคณบดียังสูบไปป์ในห้องได้อย่างไร" ผมจึงเลิกสูบไปป์ตั้งแต่วันนั้น
ตอนไปหาหมอฟัน หมอสุรินทร์ถามผมว่า "ฟันอาจารย์ดำเหมือนคนสูบบุหรี่" คนมักจะไม่รู้ว่าผมสูบไปป์อยู่หลายปี เพราะสูบที่บ้านและห้องทำงาน ไม่ได้สูบในที่สาธารณะ
คนที่เคยสูบบุหรี่นี่ก็ถือว่าเสี่ยงต่อมะเร็งปอดมากกว่าคนที่ไม่เคยสูบเลยนะครับ คนสมัยนี้โชคดีกว่าผม ที่มีการรณรงค์ต่อต้านบุหรี่จนคนเห็นโทษของมันชัดเจน
วิจารณ์ พานิช
๒๖ สค. ๔๙
รักษาสุขภาพเถอะค่ะ อย่าสูบบุหรี่เลย ถึงจะสูบคนเดียวหรือไม่ก็ตาม ^__^
น่านับถือที่สุด...คือ การเอาชนะใจตนเอง...
case ที่บำบัด...ยากมากที่สุด...คือ ผู้ติดบุหรี่...
เพราะก่ำกึ่ง...ระหว่างความไม่ชัดเจนว่าเป็นสิ่งที่ดีหรือไม่ดี...ไม่เหมือน case ยาเสพติดที่ฟันธงลงไปเลยว่า "ผิด-ไม่ดี"...แต่บุหรี่ไม่มีกฏหมายบังคับว่าต้องส่งบำบัด...
ดังนั้นผู้มาบำบัดจึงมักเป็นผู้สมัครใจ...จริงๆ...แต่ก็บำบัดยาก...มาก...