เยียวยารักษา “จริต...”


 

ขึ้นต้นด้วย ๑. เรื่อง เรื่อง บัณฑิต สามเณร - 84000.org

 
๒. สาลิเกทารชาดก เรื่อง พญานกแขกเต้ายอดกตัญญ - นิทานชาดก - ธรรมะไทย

 


พระพุทธเจ้าเป็นผู้ที่น่าเคารพนับถือเลื่อมใส เกิดมาชาติไหนก็เพื่อมาทำความดี ช่วยเหลือทั้งตนเองและผู้อื่น ตั้งแต่บำเพ็ญพุทธบารมี ไม่มีประวัติชาติไหนที่ท่านเห็นแก่ตัว ไม่บำเพ็ญบารมี

 


เราก็ดูประวัติพระอริยสาวกอย่างพระสีวลี ทุกวันนี้พระสีวลีได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่มีลาภสักการะมาก มีสิ่งของเยอะ ไม่ว่าพระสีวลีท่านจะอยู่ที่ไหน ไม่ว่าที่กันดารที่ไม่มีผู้คน เวลาพระพุทธเจ้าท่านจะเสด็จไปไหน ต้องเอาพระสีวลีติดตามไปด้วย เพราะเมื่อพระสีวลีไปแล้วจะมีคนมาถวายของ จะไม่ยากลำบากในเรื่องปัจจัยทั้ง ๔ เพราะเหตุใดท่านถึงเป็นอย่างนั้น ก็เพราะในอดีต ที่ผ่านมาท่านได้สร้างเหตุสร้างปัจจัยไว้ถึงพร้อม (บรรยายอดีตชาติของพระสีวลีที่ได้ถวายน้ำผึ้งแก่พระพุทธเจ้าองค์ก่อน)


ด้วยเหตุนี้พอท่านเกิดในภพไหนชาติไหนก็เกิดเป็นมหาเศรษฐีมาตลอด จนสุดท้าย ได้มาเกิดเป็นพระสิวลี ได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ขีณาสพ


ที่กล่าวมาทั้งหมด ๒-๓ เรื่อง เพื่อจะให้ทุกคนมองเห็นความดี มองเห็นบารมี เพื่อจะได้มีกำลังใจปฏิบัติคุณงามความดี


ธรรมทั้งหลายทั้งปวงมันเกิดจาเหตุจากปัจจัย ถ้าไม่มีเหตุมีปัจจัยมันจะเป็นไปไม่ได้


เราดู ๆ คนที่เกิดมามันไม่เหมือนกัน แต่ก็มีลมหายใจเหมือนกัน บางคนก็ไม่ครบ อาการ ๓๒ ก็มี บางคนก็ทุกข์ยากลำบากเหลือเกิน เพราะมาจากกรรมคือการกระทำในอดีตชาติ


กรรมของคนเรามันไม่เหมือนกันนะ แม้แต่เป็นฝาแฝดเกินมาด้วยกัน หน้าตาแทบจะเป็นคนเดียวกันแต่จิตใจแตกต่างกัน


คนเรามันไม่เหมือนกัน จิตใจต่างกัน จริตก็ต่างกัน พระพุทธเจ้าท่านถึงตรัสว่าจริตของคนมีหลายอย่าง เพื่อให้เห็นกรรมเก่าจะได้ปฏิบัติธรรมให้ถูกต้องกับจริตของตนเอง


การปฏิบัติธรรมก็เหมือนกับเรากินยาเพื่อรักษาโรค การรักษาโรคต้องกินยาให้ถูกกับโรค


โรคนี้ก็เหมือนกับจริต...


พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าคนเรามันไม่เหมือนกัน เพราะกรรมที่สั่งสมมาไม่เหมือนกัน อย่างคนพุทธจริต พระพุทธเจ้าท่านให้เจริญกรรมฐานเรื่องพิจารณาอนิจจัง ทุกข์ขัง อนัตตา ถ้าไปพิจารณาอย่างอื่นก็ไม่ถูกกับจริตของตนเอง

 


ยกตัวอย่างพระสารีบุตรเป็นผู้ที่มีปัญญามาก ได้บรรลุธรรมช้ากว่าพระโมคคัลลานะ แต่พระสารีบุตรได้บรรลุธรรมเป็นพระโสดาบันเร็วกว่า ท่านได้ฟังธรรมจากพระอัสสชิ เพียงเล็กน้อย ที่ท่านถามพระอัสสชิว่า พระพุทธเจ้าท่านสอนธรรมอะไร พระอัสสชิตอบว่า “ธรรมทั้งหลายทั้งปวงเกิดจากเหตุ ถ้าต้องการดับต้องดับที่เหตุ...”

พูดแค่นี้พระสารีบุตร ก็เข้าใจ บรรลุธรรมเป็นพระโสดาบัน
ตอนพระสารีบุตรจะบรรลุธรรม พระพุทธเจ้าท่านแสดงธรรมให้กับทีฆนขะพราหมณ์ (พราหมณ์ผู้มีเล็บยาว) ที่กำลังฟังธรรมอยู่


พระพุทธเจ้าท่านสนทนาธรรมเรื่องตัวของทีฆนขะพราหมณ์ว่า “ของสิ่งไหนข้าพเจ้าชอบ ข้าพเจ้าก็จะเอา สิ่งไหนข้าพเจ้าไม่ชอบ ข้าพเจ้าก็ไม่เอา” พราหมณ์บอกกับพระพุทธเจ้าอย่างนี้


พระพุทธเจ้าตรัสถามต่อว่า


ความแก่พราหมณ์ชอบไหม...? พราหมณ์ตอบว่าไม่ชอบ
ความเจ็บไข้ได้ป่วยพราหมณ์ชอบไหม...? พราหมณ์ตอบว่าไม่ชอบ
ความตายพราหม์ชอบไหม...? พราหมณ์ตอบว่าไม่ชอบ
พระพุทธเจ้าจึงตรัสสรุปว่า “สิ่งที่พราหมณ์ไม่ชอบ พราหมณ์ก็จะได้ทั้งหมด...”


พระสารีบุตรกำลังนั่งพัดอุปัฏฐากพระพุทธเจ้าอยู่ได้ฟังก็เข้าใจ ได้บรรลุธรรม เป็นพระอรหันต์ขีณาสพ


คนเราทุกวันนี้จะเอาแต่สิ่งที่ชอบนะ ที่มันมีปัญหาไม่ใช่ทางสายกลางนะ


เมื่อมันมีซ้าย มันต้องมีขวา มันเป็นสุดโต่ง มันเป็นวัฏฏะสงสาร ถ้าเราเอาชอบ มันก็มีไม่ชอบ มันมีปัญหาไม่จบ เพราะมันเป็นความคิดความหลงของเราเฉย ๆ มันเป็นอัตตาตัวตนของเรา


อย่างคนที่มีโทสจริต พระพุทธเจ้าท่านก็ให้เจริญเมตตา ตื่นขึ้นมาต้องเจริญเมตตา ฝึกสงสารตนเอง เมตตาตนเองด้วยการทำความดี ด้วยการมีศีล มีธรรม นำตัวเองขยันหมั่นเพียร ช่วยเหลือตัวเองด้วยการทำความดี เมตตาคนอื่น เมตตาสัตว์อื่น ฝึกเมตตาสงสารคนอื่น ว่าเขาทุกข์ทั้งทางกาย ทุกข์ทั้งทางใจ ทุกข์จากการทำมาหากิน สารพัดทุกข์


ถ้าเราไม่เมตตาเขา ไม่สงสารเขา ก็เป็นอันว่าเราไปซ้ำเติมเขา เราอย่าไปจับผิดเขา ที่เขาทำผิดเพราะเขาไม่เข้าใจ อินทรีย์เขาอ่อน ยังไม่แก่กล้า

 


ความเมตตานี่สำคัญ ถ้าเราขาดความเมตตาแล้วชีวิตของเราจะไม่มีความสุข มองเห็น สิ่งใดไม่พอใจไปหมด เห็นต้นไม้ก็ว่าต้นไม้ไม่มีระเบียบ อยากเตะต้นไม้ เห็นผู้คนไม่ถูกอกถูกใจ ไปหมด


เราต้องเจริญเมตตามาก ๆ เขาจะมาว่า มาด่า มาตีเรา เราต้องเมตตาเขา


พระพุทธเจ้าท่านมีเมตตาต่อพระอานนท์ที่ดูแลอุปถัมภ์อุปัฏฐาก ท่านมีเมตตา ต่อพระเทวทัตที่ทำร้ายพระพุทธเจ้าทุกภพทุกชาติ พระพุทธเจ้าท่านก็ไม่มีความโกรธ ให้พระเทวทัต


อย่างเราอยู่ด้วยกันในบ้านในครอบครัวตั้งแต่ ๒ คนขึ้นไป สิ่งที่สำคัญที่สุดคือเรื่อง ความเมตตา


ทุกท่านทุกคนต้องมอบความเมตตาให้กับคนอื่น ถ้าไม่อย่างนั้นตัวเราก็ไม่มีความสุข คนอื่นก็ไม่มีความสุข


ผู้ที่เจริญเมตตามาก ๆ ผู้หลักผู้ใหญ่ก็ชอบ เพื่อนก็ชอบ ผู้น้อยกว่าเราก็ชอบ เทวดาก็ชอบ สัตว์ต่าง ๆ ก็ชอบ


แม้แต่ดวงวิญญาณต่าง ๆ ที่คอยรับความช่วยเหลือจากเรา รับบุญกุศลจากเรา ทุกท่าน ทุกคนต้องแผ่เมตตาอุทิศบุญกุศลให้เขา ที่เราทำความดี รักษาศีล ต้องแผ่เมตตาให้เขา เหล่านั้นด้วย


“เมตตาธรรมเป็นเครื่องค้ำจุนโลก”


การสร้างความดี สร้างบารมี สร้างคุณธรรม เป็นสิ่งที่ทุกคนทุกท่านพึงประพฤติปฏิบัติ สร้างเหตุปัจจัยให้ถึงพร้อมด้วยการไม่ประมาทกันทุก ๆ คน ให้มีความสุขในการทำการทำงาน มีความสุขในการเสียสละทำความดี


อย่างเราทำการค้าการขาย เราต้องมีศีลมีธรรม อาจจะรวยไม่มาก แต่ก็มีความสุข สุขจากการทำความดี สุขจากการที่ได้เสียสละ เช่นเราเป็นพ่อค้าคนกลาง เขาเอาผลไม้มาขาย เรารับจากคนที่ ๑ ผ่านไปคนที่ ๒ ไปสู่ผู้บริโภคซึ่งเป็นคนที่ ๓ เราก็อย่าไปเอารัดเอาเปรียบเขา


ชาวบ้านที่เขานำของมาขายให้เราเขาก็มีความทุกข์อยู่แล้ว ต้องเมตตาเขาให้มาก ๆ ต้องแชร์ความสุขซึ่งกันและกัน เราจะได้ทั้งเงินได้ทั้งบุญกุศล เป็นตัวอย่างความดีความเมตตาให้กับลูกหลานของเรา เป็นมรดกความดีให้เขาสืบไป


ขอให้ท่านทั้งหลายที่ได้รับพรมีกำลังใจทำความดีกันทุกท่านทุกคนเทอญ...

 

พระธรรมคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ที่องค์พ่อแม่ครูอาจารย์เมตตาให้นำมาบรรยาย
เช้าวันอังคารที่ ๘ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๕๕

 

หมายเลขบันทึก: 487470เขียนเมื่อ 9 พฤษภาคม 2012 05:37 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 พฤษภาคม 2012 12:30 น. ()สัญญาอนุญาต: ไม่สงวนสิทธิ์ใดๆจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

ไม่อนุญาตให้แสดงความเห็น
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท