หมออนามัย ภูมิปัญญาท้องถิ่นด้านสุขภาพ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลหินซ้อน อำเภอแก่งคอย จังหวัดสระบุรี นายอานนท์ ภาคมาลี นักวิชาการสาธารณสุข ชำนาญการ
สถานการณ์ภูมิปัญญาท้องถิ่นด้านสุขภาพและการแพทย์พื้นบ้านไทย
ปัจจุบันเป็นที่ยอมรับกันแล้วว่าการแพทย์แผนปัจจุบันเพียงอย่างเดียวไม่สามารถแก้ปัญหาสุขภาพได้ทั้งหมด
เนื่องจากเป็นระบบการแพทย์ที่มีราคาสูง ต้องพึ่งพิงเวชภัณฑ์
อุปกรณ์ทางการแพทย์จากต่างประเทศ
ซึ่งเป็นข้อจำกัดที่สำคัญที่ทำให้การแพทย์แผนปัจจุบันไม่สามารถให้บริการประชาชนได้อย่างทั่วถึงและเท่าเทียมกัน
ดังนั้น
การหันไปศึกษาภูมิปัญญาในการดูแลรักษาสุขภาพของการแพทย์พื้นบ้านอย่างลุ่มลึกในทุกมิติเพื่อดึงสิ่งที่ยังเหมาะสมกับยุคสมัยมาปรับใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดในสถานการณ์จริงของชุมชนย่อมเป็นสิ่งที่ควรพิจารณา
เพราะในทัศนะของชาวบ้านนั้น
การแพทย์พื้นบ้านไม่ได้แยกออกจากการแพทย์แผนปัจจุบันอย่างเด็ดขาดแต่ดำรงอยู่อย่างเกื้อกูลซึ่งกันและกัน
ดังนั้นการพัฒนาสาธารณสุขจึงควรพัฒนาการแพทย์ทุกระบบไปพร้อมกัน
แล้วให้ประชาชนเป็นผู้เลือก รูปแบบของการรักษาที่เหมาะสมด้วยตนเอง
ด้วยเหตุนี้ภาครัฐและองค์กร สถาบันต่างๆ รวมทั้งภาคเอกชน
เริ่มให้ความสนใจ พยายามฟื้นฟูและพัฒนาการแพทย์พื้นบ้านอย่างต่อเนื่อง
แต่ก็ยังจำกัดในส่วนกลางของประเทศ ที่สืบทอดมรดกจากราชสำนักเป็นหลัก
หรือที่เรียกว่า “การแพทย์แผนไทย” ในขณะที่แต่ละภูมิภาค
ต่างมีมรดกการแพทย์ของตนที่แตกต่างกันตามระบบนิเวศและวัฒนธรรมของตน
การละทิ้งภูมิปัญญาด้านการแพทย์พื้นบ้านมาเป็นเวลานานโดยการขาดการวิจัย
และพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ความรู้ด้านนี้ไม่ได้รับการพัฒนาแล้ว
ยังกำลังจะสูญหายไปจากสังคมไทย
จึงจำเป็นเร่งด่วนที่ต้องศึกษาวิจัยและพัฒนา ฟื้นฟู
ให้เป็นระบบที่ชัดเจนเหมือนระบบการแพทย์แผนไทยจากส่วนกลาง ที่สำคัญคือ
กฎหมายยังไม่ยอมรับอย่างเป็นทางการว่า
แต่ละท้องถิ่นมีระบบการแพทย์พื้นบ้านของตนดำรงอยู่คู่กับชุมชน
แม้ว่าจะถูกกำหนดไว้ในทิศทางและนโยบายของการปฏิรูประบบสุขภาพแห่งชาติแล้วก็ตาม
การดูแลสุขภาพแบบพื้นบ้าน (Indigenous Self-Care)
เป็นภูมิปัญญาที่มุ่งเน้นการดูแลสุขภาพให้สมดุลและสอดคล้องกับกฎทางสังคมวัฒนธรรมและกฎธรรมชาติ
เป็นการดูชีวิตในมิติทางกาย ทางจิตใจ
ทางจิตวิญญาณและทางอารมณ์ให้อยู่ในสภาวะ กลมกลืมกับโลกรอบตัว
และหากชีวิตละเมิดกฎทางธรรมชาติ ชีวิตจะเสีย สมดุล อ่อนแอ และเจ็บป่วย
การแพทย์พื้นบ้าน (Flok medicine)
เป็นระบบวัฒนธรรมในการดูแลรักษาสุขภาพแบบพื้นบ้านมีเอกลักษณ์เฉพาะวัฒนธรรม
และมีการเรียนรู้ โดยอาศัยรากฐานประสบการณ์และรากฐานความเชื่อศาสนา
ระบบการแพทย์พื้นบ้านประกอบด้วยองค์ประกอบ 3 ส่วน คือ หมอพื้นบ้าน
ผู้ป่วย และบริบททางสังคมวัฒนธรรม
นอกจากนั้นระบบการแพทย์พื้นบ้านยังมีปฏิสัมพันธ์ระบบการแพทย์แผนปัจจุบัน
และระบบการแพทย์อื่นในสังคมด้วย
เหตุนี้จึงทำให้ระบบการแพทย์พื้นบ้านไม่หยุดนิ่งและมีการปรับตัวตลอดเวลา
พบว่า หมอพื้นบ้านส่วนใหญ่ จะมีพื้นฐานความเชื่อ
และระบบวัฒนธรรมเช่นเดียวกับชุมชนที่หมอพื้นบ้านอาศัยอยู่ร่วมไปถึงความเชื่อเกี่ยวกับสุขภาพและความเจ็บป่วยด้วย
เลือกวิธีการรักษาให้เหมาะสมกับสาเหตุของผู้ป่วยแต่ละคนและบ่อยครั้งที่ใช้วิธีรักษาโรคหลายวิธีประกอบกันมักมีการผสมผสานแนวคิดและวิธีการรักษาความเจ็บป่วย
2 ประเภทร่วมกัน ตัวอย่างเช่น
หมอกระดูกจะรักษาความเจ็บป่วยลักษณะกระดูกหัก กระดูกเคลื่อน
และเคล็ดขัดยอก จะมีการใช้เฝือกไม้ การจัดกระดูก การใช้ยาสมุนไพร
การบีบนวด ผสมผสานกับวิธีการเป่า มนต์คาถาหรือสมาธิ
เป็นการสะสมความสามารถเพื่อพึ่งตนเอง
และเป็นที่พึ่งของคนในชุมชนใกล้เคียง
มิได้เป็นอาชีพหลักในการประกอบอาชีพ
และหมอพื้นบ้านทั่วไปมีความรู้เชิงทฤษฎีการแพทย์แผนแพทย์ไทย
หรือการแพทย์พื้นบ้านอย่างเป็นระบบค่อนข้างน้อย ส่วนใหญ่
มีความชำนาญในการใช้ตำรับยาสมุนไพรไม่กี่ตำรับ (1-10 ตำรับ)
อย่างไรก็ตาม
หมอพื้นบ้านบางคนที่สะสมความชำนาญมาอย่างยาวนานจะมีความรู้เรื่องยาสมุนไพรหลายร้อยตัว
และสามารถรักษาโรคได้หลายโรค มีตำรับยามาก
และสามารถพลิกแพลงส่วนประกอบในตำรับยาได้ด้วย
โรคและอาการที่หมอพื้นบ้านรักษานั้นอาจจำแนกได้เป็น 4 กลุ่ม คือ 1.
กลุ่มอาการทั่วไป ได้แก่ กระดูกหัก ปวดเมื่อยล้ากล้ามเนื้อ
เคล็ดขัดยอก สัตว์มีพิษกัดบาดแผล ไข้ ผื่นคัน การคลอด คางทูม ท้องเสีย
เป็นต้น 2. กลุ่มอาการเรื้อรัง ได้แก่ เบาหวาน โรคกระเพาะ
ริดสีดวงทวาร ริดสีดวงจมูก มะเร็ง อัมพาต แผลเรื้อรัง ฯลฯ 3.
กลุ่มโรคพื้นบ้าน มีอาการและโรคที่แตกต่างกันหลากหลาย
และอยากที่จะทำความเข้าใจโดยการเทียบเคียงกับโรคสมัยใหม่ ตัวอย่างเช่น
ลมผิดเดือน ผิดสำแดง ตาน ซาง ไข้หมากไม้ ผิดกาบูร ทำมะลา ประดง
เป็นต้น กลุ่มอาการที่เกี่ยวกับไสยศาสตร์ ได้แก่
อาการที่มีสาเหตุจากผี พลังอำนาจที่มองไม่เห็น เช่น เด็กร้อง ผีเข้า
ถูกคุณไสย ปัจจุบันพบว่า
องค์ความรู้ภูมิปัญญาส่วนใหญ่มักเป็นทักษะแลประสบการณ์ที่สะสมอยู่กับหมอยาผู้นั้นเอง
ไม่มีการขีดเขียนบันทึกเป็นตำรา
สำหรับหมอพื้นบ้านที่สะสมความรู้ในรูปของตำราก็พบว่า
ตำราเหล่านี้อยู่ในสภาพที่เสี่ยงต่อการชำรุดเสียหาย
หรือมีการชำรุดสูญหายไปแล้ว
ส่วนใหญ่ยังไม่มีศิษย์หรือผู้สืบทอดความรู้ต่อ
สภาพที่ดำรงอยู่ดังนี้บ่งบอกแนวโน้มที่น่าเป็นห่วงในการสืบต่อความรู้ของหมอพื้นบ้าน
และมีข้อสังเกตเกี่ยวกับสาเหตุที่เป็นอุปสรรคในการหาผู้มาสืบต่อความรู้หมอยาพื้นบ้านที่ลดน้อยลง
ดังนี้ 1. ค่านิยมและแรงจูงใจที่คนจะสืบต่อความรู้หมอพื้นบ้าน
เปลี่ยนแปลงไป แรงจูงใจเดิมที่สนใจศึกษาเพราะอยากเป็น
อยากช่วยเหลือผู้อื่นและเห็นการรักษามาตั้งแต่ครอบครัว
อาจไม่เพียงพอแล้ว แรงจูงใจทางเศรษฐกิจและการเลี้ยงชีพมีความสำคัญกว่า
จะเห็นได้ว่ามีคนจำนวนมากสนใจเรียนและสอบใบประกอบโรคศิลปะแผนไทย
เพราะสามารถนำมาเป็นอาชีพเพื่อหารายได้
และได้รับการยอมรับจากทางราชการ
ในขณะที่หมอพื้นบ้านแม้ได้รับการยอมรับในชุมชน
แต่อาจไม่สามารถประกอบเป็นอาชีพหลักได้และไม่ได้การยอมรับจากทางราชการ
2 . ข้อจำกัดเฉพาะ ในการคัดเลือกผู้สืบต่อความรู้ของหมอพื้นบ้านเอง
แม้หมอพื้นบ้านส่วนใหญ่บอกว่ายินดีสืบทอดความรู้ให้แก่ใครก็ได้ที่สนใจ
แต่ไม่ได้หมายความว่าทุกคนเป็นหมอได้
ซึ่งหมอพื้นบ้านแต่ละคนมักจะมีหลักเกณฑ์กำหนดว่าผู้จะสามารถรับการถ่ายทอดความรู้จากหมอพื้นบ้านได้
3. ความรู้และทักษะประสบการณ์
ในการบำบัดรักษาของหมอพื้นบ้านอาจดูด้อยประสิทธิภาพ
และขาดความเป็นระบบ ความรู้เหล่านี้อาจเสื่อมสภาพตามกาลเวลา
กลายเป็นเทคนิควิทยาที่ล้าสมัย
4. การลดลงของแหล่งวัตถุดิบสมุนไพร
การรักษาของหมอพื้นบ้านต้องอาศัยวัตถุดิบสมุนไพร ซึ่งได้มาจากป่า
และทรัพยากรธรรมชาติในชุมชน เมื่อพื้นที่ป่าและทรัพยากรธรรมชาติลดลง
มีผลให้การรักษาของหมอยาพื้นบ้านยากลำบากมากขึ้นและมีประสิทธิภาพลดลง
รวมถึงความสะดวกในการจัดหายาสมุนไพรมาบำบัดรักษาผู้ป่วยก็จัดหามาบริการได้ยากลำบากขึ้น
สำหรับสถานการณ์ด้านองค์กร/เครือข่าย
พบว่ามีการจัดตั้งเป็นกลุ่มชมรมตามชุมชน
เช่นกลุ่มสมุนไพรหรือชมรมหมอพื้นบ้านในอำเภอต่าง ๆ
โดยมีกิจกรรมร่วมกันคือ การแลกเปลี่ยนความรู้และตำรายาระหว่างหมอยา
หรือการรวมกลุ่มกันไปหาสมุนไพรในป่า เป็นต้น
ต่อมาเมื่อทางภาครัฐมีนโยบายเข้ามาส่งเสริมการใช้สมุนไพรและการแพทย์แผนไทยในชุมชน
ก็มีหน่วยงานสาธารณสุขเข้าไปจัดตั้งและส่งเสริมกลุ่มชมรมสมุนไพรและหมอพื้นบ้านมากขึ้น
โดยพยายามจัดกิจกรรมผ่านชมรมดังกล่าว
บางแห่งหมอพื้นบ้านมีการรวมตัวกันเองเพื่อให้บริการรักษาโรคแบบพื้นบ้านร่วมกันเป็นกลุ่ม
(ไม่ได้จัดตั้งโดยองค์กรภาครัฐ)
ต่อมาเริ่มรวมตัวกันเป็นเครือข่ายในระดับภูมิภาค
มีการจัดรูปแบบองค์กรเครือข่ายที่ชัดเจน
โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อเป็นองค์กรในการส่งเสริมและฟื้นฟูการแพทย์พื้นบ้าน
และดูแลควบคุมกันเองระหว่างหมอพื้นบ้านเพื่อให้เกิดการยอมรับหมอพื้นบ้านมากขึ้น
ในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา
ได้มีความพยายามที่จะผลักดันการแพทย์พื้นบ้านให้เข้าสู่ระบบสุขภาพ
มีการจัดตั้งคณะทำงานขับเคลื่อนในพ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติเพื่อให้หมอพื้นบ้านได้มีบทบาทและใช้องค์ความรู้ภูมิปัญญาในการดูแลรักษาสุขภาพเบื้องต้น
จากคณะทำงานดังกล่าว ในปี 2544
เกิดการรวมตัวเป็นเครือข่ายข่ายสุขภาพวิถีไทย
ซึ่งมีทั้งกลุ่มเจ้าหน้าที่ภาครัฐ เอกชน และหมอพื้นบ้าน
และได้ร่วมกันพัฒนาโครงการภูมิปัญญาท้องถิ่นด้านสุขภาพเพื่อสร้างเสริมสุขภาพของชุมชน
ต่อมาสมาชิกเครือข่าย ได้ร่วมกันร่วมกันตั้งเป็นเครือข่ายหมอพื้นบ้าน
4 ภูมิภาคขึ้น โดยมีกลุ่มงานการแพทย์พื้นบ้านไทย
กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก
เป็นผู้ประสานงานในส่วนกลาง เครือข่ายสุขภาพวิถีไทย(2546)
ได้สรุปสถานการณ์ ภูมิปัญญาท้องถิ่นในแต่ละภูมิภาค ไว้ดังนี้ ภาคเหนือ
โดยเฉพาะจังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย
เป็นจังหวัดที่มีความพร้อมและมีศักยภาพสูงในการนำภูมิปัญญาท้องถิ่นด้านสุขภาพมาประยุกต์ใช้เพื่อการแก้ไขปัญหาสุขภาพ
เนื่องจาก หมอพื้นบ้าน องค์กรพัฒนาเอกชน และองค์กรภาครัฐ
มีบทเรียนในการนำภูมิปัญญาท้องถิ่นด้านสุขภาพ เช่นอาหาร การปฏิบัติตน
และการแพทย์พื้นบ้านมาใช้เพื่อการเยียวยาผู้ติดเชื้อ/ผู้ป่วยเอดส์
จากประสบการณ์ที่ผ่านมา มีความพยายามในการสังเคราะห์ความรู้จากปั๊บสา
จัดทำหลักสูตรการเรียนการสอนด้านการแพทย์พื้นบ้าน
การจัดตั้งชมรม/เครือข่ายหมอพื้นบ้าน
เพื่อให้เกิดกระบวนการแลกเปลี่ยนความรู้ระหว่างหมอพื้นบ้าน
แต่ก็พบว่ามีข้อจำกัดหลายประการ
เนื่องจากการเคลื่อนไหวดังกล่าวยังกระจัดกระจาย ไร้ทิศทาง
อีกทั้งกระแสการบริโภคนิยามได้ทำให้สมุนไพรและภูมิปัญญาท้องถิ่น
กลายเป็นสินค้า ซึ่งเป็นการลดทอนคุณค่าและศักยภาพของภูมิปัญญาท้องถิ่น
จึงเป็นเหตุให้ความพยายามในการรื้อฟื้นองค์ความรู้ยังไม่สามารถดำเนินไปได้เท่าที่ควร
ภาคใต้
เป็นการพัฒนาศักยภาพของชุมชนด้านการดูแลสุขภาพในพื้นที่ลุ่มน้ำภาคใต้
หลังจากที่ชุมชนมีประสบการณ์ชุดหนึ่งด้านงานวิจัยอาหารพื้นบ้าน
การดูแลทรัพยากร และการดูแลด้านพันธุกรรม และพบว่า ปัจจุบันนี้
หมอพื้นบ้านได้ลดบทบาทลงไปอย่างมาก โดยเฉพาะหมอด้านพิธีกรรม
เช่นหมอทำขวัญนาค หมอบ่าวสาว นอกจากนี้ยังพบว่า
บทบาทของหมอพื้นบ้านที่ลดลงนั้นยังสัมพันธ์กับการแทรกแซงของความรู้การแพทย์สมัยใหม่
ความเจริญและความทันสมัยที่เข้ามาทำลายความสัมพันธ์ในชุมชน
ทำให้คนรุ่นใหม่ไม่เห็นคุณค่าของภูมิปัญญาท้องถิ่น ดังนั้น
จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องพัฒนาศักยภาพหมอพื้นบ้านให้มีบทบาทในชุมชนเช่นเดิม
เนื่องจาก หมอพื้นบ้านเป็นทั้งผู้อาวุโสและปราชญ์ชาวบ้าน
เป็นแหล่งภูมิปัญญา
ซึ่งสามารถเป็นทางออกหนึ่งในการนำชุมชนไปสู่การพึ่งตนเองได้
และยังทำให้ชุมชนสามารถใช้ประโยชน์จากทรัพยากรที่มีอยู่อย่างเหมาะสมและยั่งยืน
ภาคอีสาน จุดเด่นของภาคอีสาน คือความหลากหลายของเครือข่ายภูมิปัญญา
และมีการประสานความร่วมมือระหว่างนักวิชาการ นักพัฒนา
และต่างก็เห็นร่วมกันว่า ป่า ยังเป็นแหล่งความรู้ เป็นโรงพยาบาล
เป็นโรงครัว ซึ่งสามารถที่จะสร้างกระบวนการเรียนรู้แบบบูรณาการได้
อย่างไรก็ตาม ในหลายทศวรรษที่ผ่านมา ผืนป่าได้ถูกทำลายไปเป็นอันมาก
ทำให้สมุนไพรหลายอย่างสูญหายไป หรือที่มีอยู่ก็ลดน้อยลงไปมาก
ดังนั้นการสร้างกระบวนการเรียนรู้ระหว่างเครือข่าย/กลุ่มองค์กรต่าง ๆ
ในชุมชนโดยใช้ป่าเป็นศูนย์กลาง
จึงเป็นวิธีการหนึ่งซึ่งสามารถนำไปสู่การสืบทอด การอนุรักษ์
และการใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่น
จากการทบทวนสถานการณ์ ที่กล่าวมาทั้งหมดนั้น
จะเห็นได้ว่าภูมิปัญญาท้องถิ่นด้านสุขภาพ
ดำรงอยู่บนความหลากหลายของวัฒนธรรมความเชื่อของแต่ละท้องถิ่น
แต่ก็หาได้หยุดนิ่งเฉพาะในท้องถิ่นนั้นๆไม่
ยังมีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในกลุ่มหมอพื้นบ้านด้วยกันเอง
และเรียนรู้เลือกรับปรับใช้องค์ความรู้ของการแพทย์ระบบอื่นๆของประชาชนผู้บริโภค
ซึ่งก็มีทั้งหมอพื้นบ้านที่ยังคงบทบาทอยู่ในจรรยาของหมอพื้นบ้าน
และส่วนที่ปรับไปตามกระแสสังคมและเศรษฐกิจ กลายเป็นหมอขายสมุนไพร
จึงทำให้เกิดภาพลักษณ์ของหมอพื้นบ้านใน 2 ลักษณะ
คือหมอพื้นบ้านที่พึงพอใจในความเป็นหมอพื้นบ้านไม่ให้ความสำคัญกับใบประกอบโรคศิลป์
แต่ต้องการการรับรองให้มีที่ยืนอยู่ในสังคมได้อย่างมีศักดิ์ศรี
ใช้ความรู้ความสามารถช่วยเหลือผู้อื่นได้
กับอีกลักษณะหนึ่งคือหมอพื้นบ้านที่ต้องการประกอบอาชีพ
กลุ่มนี้ต้องการได้รับใบประกอบโรคศิลปะเพื่อเป็นตัวนำทางให้สามารถนำองค์ความรู้การแพทย์พื้นบ้านของตนมาใช้เป็นอาชีพ
ดังนั้นในบางพื้นที่จึงอาจเห็นความขัดแย้งในสถานบทบาทของหมอพื้นบ้าน
และเกิดมีกลุ่มเครือข่ายต่างๆที่เกิดการรวมตัวกันด้วยวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกัน
จะเห็นได้ว่า ทุนทางสังคม ทุนทางภูมิปัญญาท้องถิ่นด้านสุขภาพที่มีอยู่
กำลังถูกคุกคามจากภายนอกและภายในชุมชน การเปลี่ยนแปลงภายในที่สำคัญ
ได้แก่
องค์ความรู้ที่ขาดการสืบทอดและองค์ความรู้ที่มีอยู่ก็ยากต่อการทำความเข้าใจของคนรุ่นใหม่
หมอพื้นบ้านซึ่งมีบทบาทหลักในการสืบทอดความรู้ ล้วนแต่เป็นผู้สูงอายุ
ขาดการรับรองจากหน่วยงานภาครัฐ นอกจากนี้
การเปลี่ยนแปลงภายนอกที่มีผลกระทบต่อภูมิปัญญาท้องถิ่นสุขภาพอย่างมากคือ
แนวคิดการบริโภคนิยมของชนชั้นกลางในเมือง
ซึ่งมีอำนาจซื้อสูงได้เข้ามากระตุ้นและสร้างแรงจูงใจการพัฒนาสมุนไพรเดี่ยว
มากกว่า การพัฒนาสมุนไพรตำรับ และสมุนไพรพื้นบ้าน
และยังมีผลกระทบต่อคนรุ่นใหม่ในชุมชนที่หันไปให้คุณค่าการบริโภคเทคโนโลยีและความทันสมัย
นอกจากนี้ ฐานทรัพยากรที่สำคัญของชุมชน ได้แก่ป่า
ซึ่งเป็นแหล่งยาสมุนไพรก็ถูกทำลายลงไปมาก
ทุนทางสังคมและทรัพยากรที่ลดทั้งคุณภาพและปริมาณ
จึงเป็นอุปสรรคหนึ่งที่จะทำให้ชุมชนบรรลุเป้าหมายการพึ่งตนเองด้านสุขภาพ
สถานภาพ บทบาท และการพัฒนาภูมิปัญญาท้องถิ่นด้านสุขภาพในสังคมไทย
ในระยะ 20 ปีมานี้ กระทรวงสาธารณสุข
เริ่มส่งเสริมสมุนไพรในงานสาธารณสุขมูลฐาน
หมอพื้นบ้านก็ได้รับความสนใจมากขึ้นในฐานะบุคคลที่ใช้สมุนไพรเยียวยารักษาควาเจ็บป่วย
ส่งเสริมการใช้สมุนไพรในแผนพัฒนาการสาธารณสุข ฉบับที่ 5 และฉบับที่ 6
กระทรวงสาธารณสุขได้มีนโยบายส่งเสริมการใช้สมุนไพรและการแพทย์แผนไทย
ให้มีประโยชน์ต่องานด้านสาธารณสุข
โดยได้จัดทำแผนงานรองรับชัดเจนและต่อเนื่อง
โดยเน้นการพัฒนางานด้านสมุนไพร และให้ความสนใจกับสมุนไพร
เพื่อส่งเสริมสุขภาพและรักษาอาการเบื้องต้น
หมอพื้นบ้านที่มีความรู้ด้านยาสมุนไพร
ได้เข้ามีบทบาทในด้านความรู้เกี่ยวกับยาสมุนไพรอยู่บ้าง
มีการส่งเสริมการสใช้สมุนไพร โดยโครงการสมุนไพรเพื่อการพึ่งตนเอง
มูลนิธิโกมลคีมทองตั้งแต่ปี พ.ศ.2522 เป็นต้นมา
ได้เก็บรวบรวมและจัดระบบความรู้เกี่ยวกับการใช้ยาสมุนไพรจากหมอพื้นบ้าน
ชาวบ้าน และตำราต่าง ๆ
เพื่อเผยแพร่สู่ประชนให้สามารถป้องกันและรักษาโรคด้วยตัวเอง
มีการฟื้นฟูการนวดไทยและพัฒนาหมอนวดพื้นบ้านโดยโครงการฟื้นฟูการนวดไทย
มูลนิธิสาธารณสุขกับการพัฒนาและคณะ
ทำให้หมอนวดพื้นบ้านเริ่มได้รับการยอมรับ
และถูกนำเข้าสู่ระบบบริการสาธารณสุขของภาครัฐ โดยในปี 2528
มูลนิธิสาธารณสุขกับการพัฒนา ได้จัดตั้งโครงการฟื้นฟูการนวดไทยขึ้น
เพื่อเผยแพร่ความรู้การนวดไทย
กิจกรรมของโครงการให้ความสำคัญที่การส่งเสริมการนวดในระดับสาธารณสุขมูลฐาน
ในปี 2534 - 2535 ฝ่ายสมุนไพรและแพทย์แผนไทยในชุมชน
สำนักงานคณะกรรมการสาธารณสุขมูลฐาน
ได้ร่วมกับศูนย์ศึกษานโยบายสาธารณสุข คณะสังคมศาสตร์แลมนุษยศาสตร์
มหาวิทยาลัยมหิดล โดยการสนับสนุนงบประมาณจากองค์การอนามัยโลก
ได้จัดทำโครงการวิจัยเรื่องศักยภาพหมอพื้นบ้านกับการสาธารณสุขมูลฐานขึ้น
โดยศึกษาวิจัยในพื้นที่ 6 จังหวัด ทั่วประเทศ ได้แก่ จังหวัดเชียงราย
พิจิตร ประจวบคีรีขันธ์ ยโสธร นครพนม และสุรินทร์
และได้จัดทำรายงานภาพรวมของศักยภาพหมอพื้นบ้านขึ้นอีกชุดหนึ่ง
โดยหวังจะให้เป็นข้อมูลในการเกิดนโยบาย
การพัฒนาแพทย์แผนไทยที่ชัดเจนและจริงจัง
งานวิจัยดังกล่าวช่วยทำให้ภาพของหมอพื้นบ้านชัดเจนขึ้นในระดับหนึ่ง
แต่ยังไม่สามารถให้คำตอบที่เด่นชัดพอที่จะเสนอเป็นนโยบายการพัฒนาหมอพื้นบ้านได้
และได้ตั้งข้อสังเกตจากการใช้ประโยชน์จากหมอพื้นบ้านในงานสาธารณสุขมูลฐานไว้ว่า
การคัดเลือกวิถีการปฏิบัติของการรักษาความเจ็บป่วยแบบพื้นบ้าน
ที่มีประสิทธิภาพและปลอดภัย
เมื่อนำเข้ามาสู่นโยบายและโครงการปฏิบัติควรพิจารณาอย่างรอบคอบและอาศัยมุมมองแบบหลายสาขา
ความสำเร็จของวิถีการปฏิบัติของการเจ็บป่วยแบบพื้นบ้านมีมิติทางสังคม
วัฒนธรรม และด้านจิตใจเป็นมิติสำคัญ
หากพิจารณาเพียงด้านประสิทธิภาพทางกายอาจไม่เพียงพอ
ดังนั้นการประเมินคุณค่าวิถีการปฏิบัติของการรักษาความเจ็บป่วยแบบพื้นบ้านอย่างรอบด้านจึงเป็นเรื่องสำคัญ
นอกจากนี้การเข้าถึงหมอพื้นบ้านเพื่อนำไปใช้ประโยชน์ควรคำนึงถึงการเพิ่มศักยภาพด้านวิชาการที่เกี่ยวกับการแพทย์ดั้งเดิมและการทำความเข้าใจถึงความต้องการที่แท้จริงของหมอพื้นบ้านในฐานะที่เป็นสมาชิกของชุมชนในลักษณะสังคม
วัฒนธรรมเฉพาะ มิฉะนั้นการใช้ประโยชน์จากหมอพื้นบ้านอาจเป็นแผนงานและ
โครงการที่มีลักษณะฉาบฉวยและมิได้เกิดประโยชน์ที่แท้จริงกับหมอพื้นบ้านหรือชุมชนก็เป็นได้
ถึงแม้ว่าการแพทย์พื้นบ้านจะมีลักษณะเด่นที่มองความเจ็บป่วยแบบองค์รวมไม่ได้แยกกายละจิตใจแยกจากกัน
ไม่แยกปัจเจกบุคคลออกจากสังคมก็ตามแต่เมื่อพิจารณาในประเด็นของความน่าเชื่อถือแล้วพบว่า
การแพทย์พื้นบ้านมีข้อด้อยบางประการ ได้แก่ 1.
เป็นระบบการแพทย์ที่ขาดการบันทึก ขาดข้อมูลทางสถิติ
ขาดข้อมูลที่ระบุถึงความสำเร็จหรือความล้มเหลว ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญมาก
2. การวัดประสิทธิภาพการรักษาโดยพิจารณาจากความพึงพอใจ และความคาดหวัง
ของผู้รับการรักษาแต่เพียงอย่างเดียวคงไม่ได้เพราะความรู้สึกดังกล่าวเป็นเรื่องที่วัดได้ยาก
ดังนั้นการวัดประสิทธิภาพของการแพทย์พื้นบ้านนอกจากจะพิจารณาจากมิติทางสังคม
วัฒนธรรมแล้ว
จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีหลักฐานทางการแพทย์มาพิสูจน์ความเชื่อถือนั้นด้วย
ในช่วงที่ผ่านมาการตั้งคำถามจากนักวิชาชีพ
และสังคมอยู่เสมอในประสิทธิภาพของหมอ พื้นบ้าน
จากการทบทวนงานวิจัยยังพบว่า
การศึกษาเกี่ยวกับประสิทธิภาพของการรักษาโรคแบบพื้นบ้านยังมีอยู่น้อยมาก
โดยเฉพาะขาดการเก็บข้อมูลถึงกระบวนการรักษาโรคจากการปฏิบัติจริงของหมอพื้นบ้าน
และข้อมูลของผู้ป่วยที่มารับการบริการจากหมอ 1. ระบบผูกขาด
(Monopolistic system)
เป็นระบบที่ให้สิทธิทางกฎหมายในการรักษาผู้ป่วยกับบุคลากรทางการแพทย์ปัจจุบันแต่เพียงกลุ่มเดียว
แต่ในความเป็นจริงก็มีการใช้การแพทย์พื้นบ้านในหมู่ประชาชน
รัฐจึงจำยอมรับความเป็นจริงอย่างไม่เป็นทางการ ประเทศที่มีระบบเช่นนี้
ได้แก่ ประเทศใน ยุโรป และอเมริกา
รวมทั้งอดีตอาณานิคมของประเทศเหล่านั้น 2. ระบบจำยอม (Tolerant
system) เป็นระบบที่ใช้การแพทย์แผนปัจจุบันเป็น
ระบบบริการสาธารณสุขของชาติและในระบบประกันสุขภาพ
แต่ก็ยอมรับสิทธิส่วนบุคคลที่จะเลือกใช้บริการทางการแพทย์ได้
จึงยอมรับบุคคลากรที่ให้บริการด้วยระบบการแพทย์พื้นบ้านที่ผ่านการทดสอบจากหน่วยงานของรัฐให้ทำการรักษาได้ในขอบเขตที่กำหนด
แต่ระบบประกันสุขภาพไม่ยอมให้ใช้จ่ายในส่วนนี้
ตัวอย่างประเทศที่มีระบบเหล่านี้ คือ ไทย อังกฤษ และเยอรมัน 3.
ระบบคู่ขนาน (Parallel system)
เป็นระบบที่การแพทย์ทั้งสองแบบได้รับการยอมรับอย่างเป็นทางการและเท่าเทียมกัน
แต่ต่างคนต่างปฏิบัติ ไม่มีการผสมผสานกัน ประเทศที่ใช้ระบบนี้ ได้แก่
อินเดีย ปากีสถาน บังคลาเทศ ศรีลังกา และพม่า 4. ระบบผสมผสาน
(Integrated system)
เป็นระบบที่การแพทย์ทั้งสองแบบผสมผสานกลมกลืนกันเป็นระบบเดียว
ตั้งแต่การเรียน การสอนบุคลากรทางการแพทย์ไปจนถึงการปฏิบัติงาน
ประเทศที่ใช้ระบบนี้ ได้แก่ จีน เนปาล
และเกาหลีเหนือเมื่อการแพทย์แผนปัจจุบันได้ขยายขอบเขตการให้บริการอย่างกว้างขวางทำให้การแพทย์แผนปัจจุบัน
กลายเป็นการแพทย์แผนหลักของสังคมไทย
ในขณะที่การแพทย์แผนไทยและการแพทย์พื้นบ้านไม่ได้รับการเหลียวแลและสนับสนุนจากรัฐเท่าที่ควร
การดำรงอยู่ของระบบบริการสาธารณสุขของไทย จึงเป็นระบบจำยอม
ส่วนจะพัฒนาขึ้นเป็นระบบคู่ขนาน
หรือระบบผสมผสานหรือไม่นั้นก็ขึ้นอยู่กับนโยบายของรัฐว่าจะสนับสนุนและเห็นคุณประโยชน์ของระบบการแพทย์อื่นๆ
นอกเหนือจากการแพทย์แผนปัจจุบันหรือไม่
ถึงแม้ว่าการแพทย์พื้นบ้านจะดำรงอยู่ในระบบจำยอม
แต่จากข้อเท็จจริงก็ปรากฏว่ายังมีชุมชนในชนบทอีกจำนวนไม่น้อยที่การแพทย์พื้นบ้านยังคงได้รับความนิยมจากประชาชน
และเมื่อทำการศึกษาว่ามีปัจจัยอะไรที่ทำให้การแพทย์พื้นบ้านสามารถดำรงอยู่ได้อย่างเหนียวแน่นในชุมชนดังกล่าว
ก็พบปัจจัยที่สำคัญๆ ดังต่อไปนี้ ปัจจัยหลัก ได้แก่ 1.
ความสอดคล้องของวิถีชีวิตชุมชน
รูปแบบและวิธีการรักษาของหมอพื้นบ้านที่สอดคล้องกับวิถีชีวิต
สถานะทางเศรษฐกิจของชาวบ้าน
มีการรักษาที่ไม่ยุ่งยากซับซ้อนและที่สำคัญ คือ
ไม่แบ่งแยกผู้ป่วยออกจากครอบครัวและญาติพี่น้อง 2.
ลักษณะของความเจ็บป่วย และประสิทธิภาพในการรักษา
มีความเจ็บป่วยบางประเภท
ที่ชาวบ้านเชื่อว่าต้องรักษากับหมอพื้นบ้านเท่านั้นจึงจะหาย เช่น
ไข้หมากไหม้ (ไข้รากสาด) และโรคกำเริด งูสวัด เป็นต้น
ละการแพทย์พื้นบ้านก็มีประสิทธิภาพในการรักษาโรคดังกล่าวได้ค่อนข้างดี
3. ความเชื่อเกี่ยวกับสาเหตุของการเกิดโรค
ที่สอดคล้องกันระหว่างหมอพื้นบ้านและผู้ป่วย
ที่เชื่อว่าความเจ็บป่วยมีสาเหตุมาจากอำนาจเหนือธรรมชาติและสาเหตุจากธรรมชาติ
4. ลักษณะทางสังคมที่เอื้ออำนวย ต่อการดำรงอยู่ของหมอพื้นบ้าน ได้แก่
ระบบสังคมแบบเครือญาติและระบบอาวุโสที่เหนียวแน่น
เนื่องจากความเจ็บป่วยไม่ใช่เป็นเรื่องของปัจเจกบุคคลแต่เป็นเรื่องของครอบครัวและชุมชน
ดังนั้นความเป็นเครือญาติและความเคารพในระบบอาวุโสจึงเข้ามามีบทบาทสำคัญในการชี้แนะรูปแบบการรักษาอันมีผลอย่างยิ่งต่อการดำรงอยู่ของการแพทย์พื้นบ้าน
ปัจจัยเสริม ได้แก่ 1. ระยะทาง ระหว่างหมู่บ้านและสถานพยาบาลของรัฐ
ถ้าไกลมากประชาชนเดินทางไม่สะดวก
ก็มีแนวโน้มว่าประชาชนจะหันไปใช้บริการจากการแพทย์พื้นบ้าน 2.
ค่ารักษาพยาบาล ที่ถูกกว่าและเป็นค่าใช้จ่ายที่ชาวบ้านทราบล่วงหน้า
นอกจากนั้นผู้ป่วยและญาติสามารถกำหนดค่ารักษาได้ตามฐานะทางเศรษฐกิจของตน
3. ความพึงพอใจในรูปแบบการบริการ ไม่มีขั้นตอนที่ยุ่งยากซับซ้อน
ไม่ต้องรอหมอนานเพราะหมอมีจำนวนคนไข้ไม่มาก
ญาติและผู้ป่วยสามารถเลือกรูปแบบการรักษาที่คนต้องการหรือพอใจ
และญาติมีส่วนร่วมในการรักษาผู้ป่วย 4. คุณสมบัติของหมอพื้นบ้าน เช่น
ความเป็นผู้สูงอายุที่มีประสบการณ์การรักษา ความมีคุณธรรมและจริยธรรม
เหล่านี้ล้วนสร้างความศรัทธาและความน่าเชื่อถือแก่ชาวบ้าน 5.
ปริมาณของสมุนไพรในชุมชน
เนื่องจากสมุนไพรเป็นรูปแบบของการเยียวนารักษาหลักของระบบการแพทย์พื้นบ้าน
ความขาดแคลนสมุนไพรย่อมส่งผลกระทบต่อการแพทย์พื้นบ้านอย่างไรก็ตาม
การดำรงอยู่ของแพทย์พื้นบ้านมิได้ขึ้นอยู่กับปัจจัยใดปัจจัยหนึ่งเท่านั้น
แต่ทุกปัจจัยมีความเชื่อมโยงและสนับสนุนซึ่งกันและกันอย่างมีกระบวนการ
ข้อเสนอแนะและแนวทางในการส่งเสริมพัฒนาภูมิปัญญาท้องถิ่นด้านสุขภาพ
โรงพยาบาลใช้เอกซเรย์ช่วยวินิจฉัยให้เห็นตำแหน่งที่กระดูกหัก
เพื่อประกอบการตัดสินใจเลือกวิธีการรักษาซึ่งเหมาะสมที่สุดสำหรับผู้ป่วยแต่ละราย
สำหรับบุคลากรแผนปัจจุบัน
หากยังไม่สามารถลงไปสัมผัสกับหมอพื้นบ้านได้โดยตรง
ก็ขอเพียงแต่ยอมรับข้อจำกัดของตนเอง
เปิดโอกาสให้ผู้ป่วยร่วมตัดสินใจเลือกใช้บริการ จึงมีข้อเสนอแนะดังนี้
1) ระดับนโยบายควร
ส่งเสริมให้มีการพัฒนาบุคลากรสาธารณสุขระดับปฏิบัติงาน ให้มากขึ้น
โดยเน้นการ วิจัยเชิง สหวิทยาการ กล่าว คือ
มีการร่วมมือกันระหว่างนักวิชาการ (ซึ่งมีข้อได้เปรียบด้านทฤษฎี)
และนักปฏิบัติ (ซึ่งอยู่ท่ามกลางข้อมูลเพราะใกล้ชิดกับปัญหาในพื้นที่)
ระดับนโยบายจะได้เห็นรูปแบบการพัฒนาที่สอดคล้องกับความเป็นจริงในท้องถิ่นมากขึ้น
และเปิดโอกาสใช้วิธีการพัฒนาที่หลากหลายยิ่งขึ้น
ดีกว่าจะคิดเป็นสูตรสำเร็จจากส่วนกลางแล้วสร้างความขัดแย้งให้กับเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน
2) ส่งเสริมให้มีการวิจัยพัฒนาต่อยอดจากฐานความรู้เดิม (Renovation)
เพื่อเป็นทางเลือกในการดูแลรักษาสุขภาพ ซึ่งน่าจะดีกว่าการลอกแนวคิด
การพัฒนาจากชาติตะวันตก ซึ่ง มีบริบททางสังคมต่างจาก ไทย หมอพื้นบ้าน
จึงควรได้รับการพัฒนาให้มีศักยภาพมากขึ้น
มิฉะนั้นจะถูกกลืนเหมือนกรณีผดุงครรภ์โบราณ
ระดับนโยบายจึงควรมีเป้าหมายหลักที่จะพัฒนาการแพทย์พื้นบ้านมาเป็นทางเลือกให้ประชาชนใช้บริการตามความเหมาะสมกับวัฒนธรรมในแต่ละท้องถิ่น
โดยให้ชาวบ้านมีส่วนร่วมในการดูแลกันเองได้ในระดับหนึ่ง
ก่อนที่จะต้องเข้าไปแออัด ยัดเยียดกันในสถานบริการของรัฐ
การแพทย์แผนไทย หรือมักเป็นที่รู้จักกันว่า การแพทย์แผนโบราณ เป็นความพยายามจะอธิบายภาวะต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับสุขภาพ ทั้งสภาวะปกติ และสภาวะที่ผิดปกติ (เป็นโรค) โดยใช้ทฤษฎีความสมดุลของธาตุต่าง ๆ ในร่างกายเข้ามาอธิบาย ผสมผสานองค์ความรู้จากวัฒนธรรมอินเดีย พุทธศาสนา และองค์ความรู้ที่ถูกพัฒนาขึ้นเองโดยครูการแพทย์แผนไทย คือ ชีวกโกมารภัจจ์ การแพทย์แผนไทย อาจหมายถึง กระบวนการทางการแพทย์ที่เกี่ยวกับการตรวจ วินิจฉัย บำบัด หรือป้องกันโรค หรือการส่งเสริมและฟื้นฟูสุขภาพของมนุษย์หรือสัตว์ การผดุงครรภ์ การนวดไทย และหมายความรวมถึงการเตรียมการผลิตยาแผนไทย ประดิษฐ์อุปกรณ์ และเครื่องมือทางการแพทย์ โดยอาศัยความรู้หรือตำราที่ได้ถ่ายทอดและสืบต่อกันมา การแพทย์แผนไทยอาจจะไม่มีองค์ความรู้ด้านกลไกการเกิดโรค และเทคนิคทางศัลยกรรมมากนัก แต่ต้องมีองค์ความรู้ด้านกลวิธีทางคลินิก เช่น การซักประวัติ และการรักษาด้วยยา เพียงแต่ขาดหลักฐานเชิงประจักษ์ทางคลินิก (Evidence-based clinical knowledge) ซึ่งก็มาจากกฎข้อบังคับตามใบอนุญาตประกอบโรคศิลปะ สาขาการแพทย์แผนไทย ที่ว่า มิให้แพทย์แผนไทยกระทำการอันเป็นวิทยาศาสตร์ใด ๆ นั่นเอง ทำให้ไม่สามารถมีการตั้งสมมุติฐานและวิจัยได้อย่างเต็มที่ ธาตุเจ้าเรือน ตามทฤษฎีการแพทย์ไทย กล่าวว่า คนเราเกิดมาในร่างกายประกอบด้วยธาตุทั้งสี่ ดิน น้ำ ลม ไฟ ซึ่งในแต่ละคนจะมีธาตุหลักเป็น ธาตุประจำตัว เรียกว่า“ธาตุเจ้าเรือน ” ซึ่งธาตุเจ้าเรือนนี้มี 2 ลักษณะ คือ ธาตุเจ้าเรือนเกิด ซึ่งจะเป็นไปตาม วันเดือนปีเกิด และธาตุเจ้า เรือนปัจจุบัน ที่พิจารณาจาก บุคลิกลักษณะ อุปนิสัยและภาวะด้านสุขภาพ กายและใจ ว่าสอดคล้องกับลักษณะของบุคคลธาตุเจ้าเรือน อะไร เมื่อธาตุทั้งสี่ในร่างกายสมดุล บุคคลจะไม่ค่อยเจ็บป่วย หากขาดความสมดุลมักจะเกิดความเจ็บป่วยด้วยโรคที่เกิดจาก จุดอ่อน ด้านสุขภาพของแต่ละคนตามเรือนธาตุ ที่ขาดความสมดุล ดังนั้นเพื่อเป็นการป้องกันปัญหาความเจ็บป่วยที่อาจเกิดขึ้นการปรับพฤติกรรมการบริโภค อาหารของแต่ละคนในชีวิตประจำวัน โดยใช้รสของอาหารคุณลักษณะที่เป็นยามาปรับ สมดุลของร่างกายเพื่อป้องกันความเจ็บป่วย จะได้รู้อย่างไรว่าเป็นคนธาตุอะไร มีจุดอ่อนด้านสุขภาพด้วยโรคอะไร และควรจะรับประทานอาหารอย่างไร ให้ตรงกับธาตุ เจ้าเรือนของตนสามารถอ่านได้จากอาหาร สมุนไพรประจำธาตุดังต่อไปนี้ คัมภีร์แพทย์แผนไทย คัมภีร์ที่เกี่ยวกับสาเหตุของการเกิดโรคโดยทั่วไป คัมภีร์เวชศึกษา กล่าวถึงสาเหตุการเกิดโรค และ วิธีการตรวจโรคต่างๆ คัมภีร์สมุฎฐานวินิจฉัย ซึ่งกล่าวถึงถึงสาเหตุการเกิดโรค โดยอาศัยทฤษฎีธาตุในการวินิจฉัยและพยากรณ์โรคคัมภีร์โรคนิทาน กล่าวถึงสาเหตุของโรค และ ความผิดปกติ
ไม่มีความเห็น