พ่อแม่ผู้ลิขิตชีวิตลูก...


 

เด็ก ๆ ที่เกิดมาเป็นผู้น่าสงสาร เพราะคุณพ่อคุณแม่เลี้ยงลูกไม่เป็น ไม่ถูกวิธี ชีวิตของเขา ถึงได้รับความยากลำบากในอนาคต เพราะเด็กมันเกิดมาตัวน้อย ๆ เค้าจะรู้เรื่องอะไร ถ้าคุณพ่อคุณแม่ไม่บอกไม่สอนไม่วางแผนชีวิตให้เขา เขาต้องทุกข์แน่ ต้องลำบากแน่ เพราะเด็ก ๆ เขาก็มีความรู้ระดับเด็ก กิน นอน เล่น เขาคิดได้แค่นี้...

Large_pic136

 


เด็กอายุ ๗-๑๕ ขวบ เขาต้องได้รับการฝึกการบังคับทั้งสั่งทั้งสอน ถ้าเราไม่ฝึกตอนนี้ เราไปฝึกตอนที่เขาเริ่มเป็นหนุ่มเป็นสาวเรียนมหาวิทยาลัยมันไม่ได้มันสายเกินไปแล้ว


ส่วนใหญ่คุณพ่อคุณแม่ชอบจะสอนเด็กตอนมันเริ่มเป็นหนุ่มเป็นสาวตอนเรียนมหาวิทยาลัย เพราะกลัวลูกไม่ได้ดีน่ะ ไปพูดแล้วพูดอีกบางทีก็ใช้คำพูดไม่เหมาะสม พูดคำหยาบ พูดประชดประชัน มันเลยกลายเป็นคนจู้จี้ขี้บ่น บ่นมากพูดมากยิ่งกว่าพระสวดมนต์อีก มันไม่ดีมันไม่ถูกมันเป็นการทำลายลูกเรา

ตั้งแต่แรกแล้วคือ ๗ ขวบ ถึง ๑๕ ขวบ เราไม่ยอมบอกยอมสอนทั้งภาคของความรู้ และภาคปฏิบัติ “เมื่อมันเริ่มโตแล้วเราถึงมาบอกมาสอนมันก็ยิ่งผิดนะ...!”

ช่วงเด็ก ๆ น่ะเราต้องบอกต้องสอนลูกเรา...

เพราะเด็กอายุในช่วงนี้ระดับนี้ มันจำ มันปฏิบัติตาม บังคับให้ทำงาน เรียนหนังสือ อ่านหนังสือ ดูแลความสะอาด ฝึกทำอาหาร ซักเสื้อผ้า

การใช้โทรศัพท์ การดูโทรทัศน์ การใช้คอมพิวเตอร์ อินเตอร์เนท โน๊ตบุ๊ค ต้องสอนเขาให้ใช้ให้มันมีประโยชน์ อย่าให้มันมีโทษแก่เขา ของมันอันตรายแต่ว่าคนไม่รู้จักอันตรายมันก็จะเกิดภัยเกิดโทษแก่เขา

 

การเล่นการเที่ยวการคบเพื่อนฝูงต้องสอนเขาหมดว่าอันไหนมันมีโทษ อันไหนมันดี เพราะเด็กมันชอบเที่ยวนะ เด็กมันก็ต้องมีเพื่อนมีฝูงนะ เพื่อนฝูงที่จะคบมันเป็นเพื่อนชนิดไหน “เพราะการคบเพื่อนมันนำความเจริญ ความเสื่อมมาให้ลูกของเรา...”

ยกตัวอย่างถ้าลูกคนไหนมีพ่อมีแม่ที่ดี ลูกมันก็เป็นคนดี ถ้าลูกเราไปคบกับคนดี ลูกเรา มันก็เป็นคนดี ถ้าไปคบกับเพื่อนที่ไม่ได้มาตรฐานเขาก็จะนำพาลูกของเราไปในที่ตกต่ำ คนเรานะ ถ้าคบเพื่อนฝูงอย่างไรมันก็เป็นไปกับสิ่งอย่างนั้น น้อยมากที่ไม่เป็นไปอย่างนั้น

 Large_pic134

การใช้เงินใช้สิ่งของก็ต้องฝึกให้ลูกเราฝึกเป็นคนใช้เงินใช้สิ่งของเท่าที่จำเป็น เดี๋ยวลูกเรา มันจะเสียคน เสียนิสัย จะเป็นคนไม่รู้จักคิด เป็นคนไม่มีเบรก ไม่มีสติ ไม่มีปัญญา เห็นอะไรขวางอยู่ข้างหน้าเป็นอันว่าซื้อหมด

อย่างนี้ในอนาคตลูกเรามันก็มีปัญหาแน่ เค้าจะเป็นคนไม่ยั้งคิด จะเป็นหนี้เป็นสินในอนาคต ไม่รู้จักวางแผนในการใช้เงินใช้สตางค์ ถ้าเราฝึกตั้งแต่เรายังเด็ก ๆ มันดี ทำให้เขาเป็นผู้ใหญ่เร็ว ทำให้เขาเข้มแข็ง ถ้าเราเลี้ยงลูกเราปล่อยไปตามธรรมชาติปล่อยไปตามสังคมที่เขากำลังเป็นอยู่นี้ มันเสี่ยง มันอันตราย

“พระพุทธเจ้าท่านถึงเมตตาให้เราฝึกลูกของเราตั้งแต่เด็ก ๆ...”

เมื่อครั้งที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้ใหม่ ๆ ท่านส่งพระอรหันต์ไปเผยแผ่ธรรมะ พระพุทธองค์ให้ไปทางละ ๑ รูป...

พระอัสสชิเดินทางไปเผยแผ่ อุปติสสมานพเห็นก็เกิดความเลื่อมใสมาขอฟังธรรม ของพระอัสสชิ

พระอัสสชิก็ตอบว่าเรายังเป็นผู้ใหม่ เป็นพระใหม่อยู่ เราสอนธรรมกับอุปติสสมานพ อย่างกว้างขวางไม่ได้ ท่านไปฟังธรรมของพระพุทธเจ้าดีกว่า

อุปติสสมานพพูดต่อไปว่า ถ้าอย่างนั้นก็ขอฟังธรรมโดยย่อที่อาจารย์ท่านสั่งสอน

พระอัสสชิก็ตรัสว่า อาจารย์ของเราสอนว่า “ธรรมเหล่าใดเกิดจากเหตุเราต้องสร้างเหตุเหล่านั้น”

อุปติสสมานพได้ฟังดังนั้นก็บรรลุธรรมเป็นพระโสดาบัน จึงได้รู้ธรรมว่าธรรมเหล่าใดเกิดจากเหตุจากปัจจัย เราก็ต้องสร้างเหตุสร้างปัจจัย “ถ้าเราไม่สร้างเหตุสร้างปัจจัยผลมันก็ไม่มี ภายหลังนะ...”

ด้วยเหตุนี้อุปติสสมานพก็ไปมอบกายถวายชีวิตบวชกับพระพุทธเจ้า มีนามในการบรรพชาอุปสมบทแล้วว่า “พระสารีบุตร” เป็นผู้เลิศทางปัญญากว่าภิกษุทั้งหลายทั้งปวง

เด็กเราหัวดี ลูกเราหัวดีนี้ก็เป็นสิ่งที่ดี ถ้าจะให้มันดียิ่ง ๆ ขึ้นไปก็ต้องบังคับให้เขาประพฤติปฏิบัติ เด็กส่วนใหญ่หัวดีเท่า ๆกัน หรืออาจจะใกล้เคียงกัน แต่มันสู้คนที่ขยัน คนที่รับผิดชอบ คนที่กระตือรือร้น คนที่เอาจริงเอาจังอย่างเสมอต้นเสมอปลายไม่ได้ เพราะคนฉลาด มันเป็นเพียงนักปรัชญาเฉย ๆ มันไม่ใช่ผู้ประพฤติปฏิบัติ

คนฉลาดน่ะ ถ้าไปติดยาเสพติดมันก็ไปไม่ได้เหมือนกัน ยาเสพติดมีหลายอย่างนะ อย่างความสะดวกสบายอย่างนี้ ดูหนังฟังเพลงเที่ยวต่าง ๆ อย่างนี้มันก็เป็นสิ่งเสพติดเหมือนกัน ไม่ว่าคนใดคนฉลาดไม่ฉลาดส่วนใหญ่มันติดทั้งนั้น

ถ้าเราประพฤติปฏิบัติอย่างนี้ เป็นคนขยันเป็นคนที่รับผิดชอบ ความรู้ความสามารถ มันจะค่อย ๆ เจริญเติบโตขึ้นขยายขึ้น แต่ละอย่างมันจะชัดเจนขึ้น ดีขึ้น

เราจะว่าฝึกไม่ได้มันก็ไม่ถูกนะ...

เรามาคิดดูพิจารณาดู ในครั้งพุทธกาล เด็ก ๗ ขวบเขาได้เป็นพระอรหันต์กันเยอะนะ จนครั้งพุทธกาลพระพุทธเจ้าท่านบัญญัติไม่ให้บวชเณรที่อายุต่ำกว่า ๗ ขวบ เพราะเด็กก็สามารถ รู้ธรรมได้ บรรลุธรรมได้ อย่างพระราหุลไปขอทรัพย์สมบัติจากพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าท่านก็ให้พระสารีบุตรบวชราหุลเป็นสามเณร

พระพุทธเจ้าท่านมอบสมบัติให้คืออริยทรัพย์คือการไม่เวียนว่ายตายเกิดให้กับพระราหุล

Large_pic131

ทำอย่างไรเด็กมันจึงจะว่าง่ายสอนง่ายเชื่อฟังพ่อแม่...?

อย่างเรานี้นะ จะเชื่อฟังเคารพนับถือใคร คนนั้นจะต้องเป็นคนดีมีคุณธรรม ถึงเป็นคนที่น่าเคารพนับถือน่าเลื่อมใส

คุณพ่อคุณแม่ต้องกลับมาย้อนดูมองดูตัวเองนะ ว่าตัวเองนี้ปฏิปทาน่าเคารพนับถือ แล้วหรือยัง...? มีศีล ๕ ประจำกายวาจาใจหรือยัง...? กินเหล้า สูบบุหรี่ เล่นการพนัน เป็นคนเจ้าชู้ เป็นคนรับผิดชอบดีหรือไม่ดี....? เราต้องย้อนกลับมาดูตัวเองอย่างนี้นะ...

เพราะตัวอย่างที่ดีนี้มันดีกว่าพูดให้ฟัง อย่างเราสอนเขาเป็นร้อยครั้งพันครั้ง ก็ยังไม่ดีเท่าเราปฏิบัติให้เขาดู เพราะเด็กเขาได้ยิน ได้เห็น ได้สัมผัส

เราอย่าไปพูดบอกลูกเราว่ากินเหล้า เล่นการพนัน สูบบุหรี่อย่างโน้นอย่างนี้ไม่ดีนะ แต่ตัวเองยังปฏิบัติอยู่ มันจะไปบอกลูกสอนลูกได้อย่างไร…!

พระพุทธเจ้าท่านให้เริ่มที่พ่อก่อที่แม่ที่เป็นแบบเป็นพิมพ์...

เราจะไปโทษลูกเราไม่ได้ เราจะไปโทษสังคมให้ได้ ความผิดทั้งหลายทั้งปวงเริ่มจากพ่อจากแม่ เด็ก ๆ ที่เกิดมาน่ะมองดูถึงเป็นผู้ที่น่าสงสาร เกิดมาเป็นคนหูหนวกตาบอดไม่ได้รู้อะไรอยู่แล้ว พ่อแม่เป็นผู้ลิขิตให้ลูกนะ

พระพุทธเจ้าท่านไม่ให้เรามองข้ามในสิ่งเหล่านี้ ถ้าเรามองข้ามในสิ่งเหล่านี้ มันเป็นการคิดผิด ทำผิด

คนเรานี้มันทุกข์ทางกายทุกข์ทางใจ ทุกข์ในการทำมาหาเลี้ยงชีพ ทุกข์กับเรื่องคนอื่นนะ

เวลานี้ถือว่าเป็นสิ่งที่มีค่ามีคุณมีประโยชน์ ถ้าเราผิดพลาดสักวินาทีหนึ่งก็สามารถ นำความเสียหายให้เราได้

พระพุทธเจ้าท่านให้เราทำอย่างนี้ ปฏิบัติอย่างนี้ เขาเรียกว่าปฏิบัติตามอริยมรรคมีองค์ ๘ เป็นหนทางที่ประเสริฐ

บางคนยังไม่เข้าใจนะ การปฏิบัติธรรมนึกว่าต้องไปบวชไปอยู่วัดไปอยู่ในที่เงียบ ๆ …

การประพฤติปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้าท่านให้เราทำความดีอย่างนี้แหละ ไม่ต้องไปคิดอะไรให้มันมาก สร้างเหตุสร้างปัจจัยให้ถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาท

ความอยากความต้องการมันไม่มีผลประโยชน์อะไรหรอก มันมีแต่จะนำความทุกข์มาให้เรา

เราอยู่เฉย ๆ อย่างนี้มันอ่านหนังสือออกไม่ได้หรอก มันต้องเรียนหนังสือต้องอ่านหนังสือ เราต้องสร้างเหตุสร้างปัจจัยให้มันถึงพร้อม ให้มันเพียงพอ

ที่เราเรียนไม่เก่ง คะแนนเรายังไม่ดี แสดงว่าความขี้เกียจขี้คร้านเรายังมีมาก ความเสียเสียสละเรายังน้อย เราก็รู้อยู่แล้วว่าคะแนนออกมามันต้องไม่ดี

บางคนก็ใช่ว่าเป็นคนไม่ดีนะ เป็นคนดีอยู่ แต่มันติดสุข ติดสบาย ติดอยู่เฉย ๆ มัวแต่ติดอยู่กับความสุขอยู่นั่นแหละ ไม่เอาเวลาไปอ่านหนังสือท่องหนังสือ

เราสร้างเหตุสร้างปัจจัย ยังไม่เพียงพอ ต้องหางานให้เราทำด้วยการอ่าน การเขียน การท่อง

Large_pic135

ความดีเป็นสิ่งที่ทวนกระแส...

คนเรานะ ถ้าสิ่งไหนดี ๆ มันไม่อยากทำ ไม่อยากจำ ไม่อยากประพฤตินะ มันต้องฝืนต้องอด ต้องทน เราอ่านหนังสืออย่างนี้นะ อ่านไปซักพักหนึ่งมันก็อยากจะหยุดนะ อยากหยุดเราก็ อย่าไปหยุด

อย่าไปสนใจความคิดอย่างนั้นอารมณ์อย่างนั้น...

พระพุทธเจ้าท่านให้เราอด เราทน มีความเพียร ถ้าเราไม่ทำอย่างนี้นะ สมาธิของเรา มันจะสั้น มันจะเป็นคนอดไม่ได้ทนไม่ได้ เพราะว่าความขี้เกียจขี้คร้านเป็นยาเสพติดที่อยู่ในใจ ของเรา

เราต้องอด ต้องทน อย่างนี้แหละ ปฏิบัติอย่างนี้แหละทุก ๆ วัน ทำแต่สิ่งที่เก่า ๆ อย่างนี้แหละ ต้องอยู่เหนือความเบื่อ ความไม่เบื่อ ต้องอยู่เหนือความชอบ ความไม่ชอบ

สิ่งที่มันชอบเราอย่าไปปฏิบัติตามมัน มันจะทำให้เราตกต่ำ เช่นเราอยู่ที่วัดนี้อะไรก็ดี หมดทุกอย่าง แต่มันอยู่นานอยู่หลายวันมันก็เบื่อ

ตัวนี้แหละ ให้เรารู้จักใจของเรา อวิชชาคือความหลงมันจะหลอกให้เราไปที่อื่นไปเที่ยวที่อื่น

พระพุทธเจ้าท่านสอนเราว่า “มันอยากไปก็อย่าไป...”

อย่างครูบาอาจารย์ท่านสอนว่าเราถูกกับองค์ไหนก็อย่าไปคลุกคลีมาก ถ้าเราไม่ถูก กับองค์ไหนให้ไปปฏิบัติอุปัฏฐากเขา ไม่ใช่ปฏิบัติเอาตามที่ชอบนะ อย่างเรามาบวชเป็นพระ วันไหน ๆ ก็ทำอย่างเก่านี้แหละ

Large_pic130

ตี ๓ ตี ๔ ทำวัตรสวดมนต์ ดูแลศาลาห้องน้ำห้องสุขา บิณฑบาต คิด พูด ทำแต่สิ่งที่ดี ๆ ทำอย่างเก่าอยู่อย่างนี้แหละ

เราต้องปรับตัวเองเข้าหาเวลา หาพระวินัย เข้าหาธรรมะ มันถึงเป็นการเดินตามรอย ของพระพุทธเจ้า เดินตามรอยของพระอรหันต์

ถ้าไม่อย่างนั้นนะ เราก็จะได้ชื่อว่าเป็นลูกศิษย์พระพุทธเจ้าแต่เราไม่ทำตามพระพุทธเจ้า ถึงจะโกนหัวปลงผมนุ่งห่มผ้ากาสาวพัตร์มันก็ไม่ได้บุญ

มันยิ่งบาปใช่มั๊ย...?

เขาแต่งตั้งให้เราเป็นพระ ให้เป็นคนดี แต่เราไม่ยอมเป็นพระ เป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ

ต้องรู้จักบังคับตัวเองเขาหาเวลากิจวัตรต่าง ๆ …

ตี ๓ ตี ๔ มันเป็นสิ่งที่ต้องฝืนต้องทนนะ ถ้าเราไม่ปรับตัวเองเข้าหาข้อวัตร เข้าหาธรรมวินัย มันก็ไปไม่ได้ ใช้ไม่ได้นะ

เหมือนกับเรานั่งเรือข้ามฝั่งมหาสมุทร เราต้องอาศัยเรือที่จะนั่งข้าม ถ้าเราไม่ได้นั่งเรือ เราก็ต้องตกน้ำตายแน่เลย ข้อวัตรปฏิบัติอะไรทุกอย่างนี้แหละมันเป็นเรือที่กำลังนำเราสู่ คุณงามความดี แต่ทุกวันนี้มันไม่มีทั้งเรือทั้งเครื่อง

ผู้ที่เป็นเด็ก ๆ ที่มาบวชเป็นสามเณรหรือว่าเป็นเด็กวัด ให้เราถือโอกาสถือเวลานี้เป็นการ ฝึกตัวเอง บังคับตัวเอง อย่าเอานิสัยเก่า ๆ ที่มันไม่ดีมาใช้ในวัด

นิสัยไม่ดีอย่างไร...?

ก็คือนิสัยขี้เกียจขี้คร้าน ชอบเล่นชอบสนุกสนาน สรวลเสเฮฮา ครูบาอาจารย์ท่านพา ทำความดีเราก็ต้องทำความดีกับครูบาอาจารย์

ถ้าเราไม่ประพฤติปฏิบัติอย่างนี้ ใน ๑๐ ปี ๒๐ ปี เราต้องมีความทุกข์ในอนาคตแน่นอน ฐานะทางการเงิน ทรัพย์สิน หน้าที่การงานมันต้องไม่ดีแน่ คนก็ไม่เคารพรักนับถือเราแน่

Large_pic123

เราจะไปโทษพ่อเราแม่เราโทษสังคมไม่ได้ เพราะเราไม่ยอมนำตัวเองมาประพฤติปฏิบัติ คุณงามความดี

ความขี้เกียจความขี้คร้านติดสุขติดสบายเขาเรียกว่าตัวนี้แหละคือตัวบาป คือตัวมหานรก มหาอเวจี เป็นเหตุเป็นปัจจัยให้เราได้รับทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัสเลยนะ พ่อแม่เรายากจน ประเทศเรายากจน เราต้องเป็นผู้ที่มาแก้ไข มันทำได้ มันปฏิบัติได้และก็เป็นสิ่งที่ดี

 

ความสุขความสบายนี้แหละมันทำให้คนติด เขาเรียกว่าสิ่งที่เป็นคุณเลยกลายเป็นโทษแก่เรา

พระพุทธเจ้าท่านถึงให้พระพิจารณาปัจจัยทั้ง ๔ ว่าสิ่งเหล่านี้มันเป็นเพียงความดี ให้เราได้พัฒนาตนเอง ให้เราทำความดี ปัจจัยทั้ง ๔ ไม่ได้มีไว้ให้เราหลงอยู่อย่างนั้น ไม่ได้ ไม่ถูก

ความงามของคนมันงามที่ไหน...? มันงามอยู่ที่ไม่ขี้เกียจขี้คร้าน เป็นคนเสียสละ เป็นคนไม่เห็นแก่ตัว

ทุก ๆ คนเกิดมาอยากให้ผู้อื่นรัก ถึงประดับด้วยอาภรณ์ต่าง ๆ ทั้งแต่งหน้า ทำผม ทำเล็บ จัดฟันอะไรต่าง ๆ ก็เพื่อให้คนอื่นเขารัก

คนเรานะถ้าคนอื่น ๆ รักแล้วมันมีความสุข...

การแต่งกายอย่างนั้นนะ เราแต่งเพื่อให้คนอื่นเขาสบายใจเมื่อได้พบได้เห็นเรา แต่มันยังไม่ยิ่งเท่ากับการเป็นผู้ที่ทำแต่ความดี พูดแต่สิ่งที่ดี คิดแต่สิ่งที่ดี

ถ้าเราเป็นคนดีอย่างนี้ ผู้ใหญ่เขาก็รัก เพื่อนด้วยกันเขาก็รัก คนผู้น้อยเขาก็เคารพรักยำเกรง

คนเรานะ แต่งกายสวย ๆ หล่อนี้มันแต่งได้ แต่เผลอเมื่อไหร่นะ ยักษ์ มาร มันจะออกมามันยังไม่ยิ่งเท่ากับเราเป็นคนดีเป็นคนเสียสละ

Large_pic129

คนเรามันมักง่ายนะ...

ทำน้อยอยากได้มาก ไม่ทำมันก็อยากได้ มันอยากรวย อยากถูกหวย ถูกล็อตเตอรี่ มันคิดซะอย่างนั้น มันไม่อยากสร้างเหตุ สร้างปัจจัย อย่างนี้ก็เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้

ถ้าเราไม่ประพฤติปฏิบัติอย่างนี้ ฐานชีวิตของเราก็ไม่หนักแน่น ไม่มั่นคง คนเรามันคิดหนักมันคิดมากเรื่องอนาคต แต่ก็ไม่ทำดีให้ถึงพร้อมในปัจจุบัน

มันคิดจนเครียดนะ คิดเรื่องอนาคตนั่น…

เราจะมีเงินมากเงินน้อย ถ้าเรารู้จักคิดให้มันถูกต้อง จิตใจมันสงบมันดับทุกข์เหมือนกัน พอ ๆ กัน ถ้าเราวิ่งตามวัตถุ เอาความสุขจากวัตถุนี้นะ ก็เหมือนเราตะครุบเงาไปเรื่อย เมื่อไหร่เราจะเอาเงาอยู่ เราวิ่ง มันก็วิ่งไปเรื่อยนะ

 

พระพุทธเจ้าท่านให้เราทำจิตใจให้ว่างให้สงบให้มีความสุขในทุกสถานที่นะ…
ให้ใจของเรามีความสุขมีความสงบ ไม่ว่าเราจะยืน เดิน นั่ง นอน เราจะได้เข้าใจว่าความสุข ความดับทุกข์มันอยู่ที่ใจของเราไม่ใช่อยู่ที่วัตถุนะ…

ร่างกายนี้ก็ไม่ใช่ของเรา ทุกสิ่งทุกอย่างมันก็ไม่ใช่ของเรานะ ที่เราทำไปปฏิบัติไปนี้ ก็เพื่อความเสียสละไม่เห็นแก่ตัว

สร้างความดีสร้างบารมีช่วยเหลือตนเองและก็ช่วยเหลือผู้อื่น...

คนเราก็อายุไม่เกินร้อยปี จะมีบ้างส่วนใหญ่ก็ไม่กี่คนหรอก เราเกิดมาเป็นมนุษย์ถือว่า เป็นผู้ประเสริฐ เราถือว่าเราได้สร้างความดี สร้างบารมี มีโอกาสก็ประพฤติปฏิบัติ นอกจากตัวเราคนอื่นก็ไม่ประพฤติปฏิบัติให้เราได้

การบูชาอะไรก็ไม่เท่าเราปฏิบัติบูชานะ

สุปฏิปันโน การปฏิบัติดีก็คือตัวเรานี้เอง อุชุปฏิปันโน การปฏิบัติที่มันตรงก็คือตัวเรานี้เอง ญายะปฏิปันโน ก็คือการปฏิบัติออกจากทุกข์ ความขี้เกียจขี้คร้าน อบายมุขต่าง ๆ ก็คือตัวเรา นี้แหละ สามีจิปฏิปันโน เป็นผู้ปฏิบัติสมควรกับการกราบไหว้ก็คือตัวเรานี้แหละ คู่แห่งบุรุษ ๔ คู่ ก็คือตัวเรานี้แหละ โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล สกิทาคามิมรรค สกิทาคามิผล อนาคามิมรรค อนาคามิผล อรหัตมรรค อรหัตผล

ความเป็นพระมันเป็นที่ใจ อย่างที่ผู้ที่มาบวชเขาเรียกว่าพระสงฆ์ สมมุตติสงฆ์ ถ้าใจเรา ไม่เป็นพระสงฆ์อย่างที่เขาเรียกกัน ก็เป็นแต่พระแต่งตั้งเท่านั้น

ในครั้งพุทธกาลคนที่ไม่ได้บวชก็ได้บรรลุธรรม จะอยู่ที่วัดอยู่ที่บ้านก็ปฏิบัติได้ทั้งหมด เพราะเขามาปฏิบัติที่ตัวเอง แก้ไขที่ตัวเอง

การเกิดเป็นมนุษย์มันเป็นสิ่งสำคัญ ๆ อยู่ที่การได้มาประพฤติปฏิบัติ มาทวนโลก ทวนกระแส ตั้งอยู่ในความดี ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท ที่เรามันผิดพลาด ที่มันไม่เจริญทุกอย่าง เราต้องตั้งใจใหม่ เอาใหม่ เราต้องปฏิบัติตัวเองให้ดีด้วยความไม่ประมาท...


 

พระธรรมคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ที่องค์พ่อแม่ครูอาจารย์เมตตาให้นำมาบรรยาย


วันจันทร์ที่ ๓๐ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๕๕

หมายเลขบันทึก: 486862เขียนเมื่อ 2 พฤษภาคม 2012 22:22 น. ()แก้ไขเมื่อ 19 มิถุนายน 2012 18:25 น. ()สัญญาอนุญาต: ไม่สงวนสิทธิ์ใดๆจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

ไม่อนุญาตให้แสดงความเห็น
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท