หน้าแรก
สมาชิก
The Kop
สมุด
พรุ่งนี้แล้วสินะส...
ความรู้เกี่ยวกับผึ้ง
The Kop
Miss Pairama Nakasurakun
สมุด
บันทึก
อนุทิน
ความเห็น
ติดต่อ
ความรู้เกี่ยวกับผึ้ง
ผึ้ง : ราชินีแมลง
ปัจจุบันคนไทยทั่วไป มักนึกถึงน้ำผึ้งเดือนห้า และรู้จักผึ้งในฐานะแมลงที่มีเหล็กในพิษ ซึ่งสามารถทำให้คนที่ถูกผึ้งต่อยรู้สึกเจ็บปวด ส่วนอีกหลายคนก็รู้ว่าผึ้งมีนิสัยรักสงบ ขยันทำงาน และสังคมผึ้งเป็นสังคมที่ไม่มีใครเอาเปรียบใคร เพราะอาณาจักรของมันมีการแบ่งหน้าที่รับผิดชอบ โดยไม่ต้องมีนายบังคับหรือสั่งให้ทำงาน
ผึ้งที่พบในประเทศไทยมี
4
ชนิดคือ ผึ้งมิ้ม (
Apis flora)
หรือผึ้งแมลงวัน เพราะลำตัวผึ้งชนิดนี้มีขนาดใหญ่กว่าแมลงวันเล็กน้อย และมีนิสัยชอบดมของหวาน ท้องของผึ้งมิ้มเป็นปล้องสีดำสลับสีขาว ผึ้งชนิดที่สองคือผึ้งหลวง (
Apis dorsata)
ผึ้งชนิดนี้มีขนาดใหญ่ที่สุด และต่อยเจ็บที่สุด ท้องเป็นปล้องสีเหลืองสลับสีดำ ผึ้งหลวงผลิตน้ำผึ้งมากและชอบสร้างรังตามที่โล่งแจ้ง ส่วนผึ้งโพรง (
Apis cerana)
เป็นชนิดที่คนชอบนำมาเลี้ยงในหีบเลี้ยงผึ้ง มันมีขนาดเล็กกว่าผึ้งหลวง และชอบสร้างรังในโพรงไม้ และผึ้งพันธุ์ (
Apis mellifera)
ซึ่งเป็นผึ้งที่มาจากยุโรปและแอฟริกา ผึ้งชนิดนี้มีขนาดใหญ่กว่าผึ้งโพรงเล็กน้อย และชอบสร้างรังในที่ทึบแสงเช่น ตามโพรงไม้มันสามารถหาน้ำหวานได้เก่ง แต่ไม่ดุร้ายเท่าผึ้งหลวง
ตามปกติผึ้งมักอยู่รวมกันเป็นครอบครัวใหญ่ในรัง โดยมีการแบ่งชั้นวรรณะ เป็นผึ้งนางพญา ผึ้งงาน และผึ้งตัวผู้ ในรังหนึ่งๆ จะมีผึ้งนางพญาเพียงตัวเดียวเป็นหัวหน้า ผึ้งนางพญามีขนาดใหญ่กว่าผึ้งงานหรือผึ้งตัวผู้ เพราะได้รับอาหารจากผึ้งงาน และมีผึ้งงานคอยปรนนิบัติรับใช้ หน้าที่หลักของผึ้งนางพญาคือวางไข่ ซึ่งตามธรรมดาจะวางได้ครั้งละตั้งแต่
1,000-2,000
ฟอง ผึ้งนางพญามีอายุยืนประมาณ
2-3
ปี และขณะครองรังมันจะผลิตสาร
pheromone
ออกมาควบคุมความเป็นอยู่ และการทำงานของผึ้งทุกตัวในรัง ส่วนผึ้งงานนั้นมีขนาดเล็กกว่าผึ้งอีก
2
ชนิด และเป็นผึ้งเพศเมียที่ต้องทำงานตลอดชีวิต หน้าที่หลักของผึ้งงานคือซ่อมแซมรัง ทำความสะอาดรัง เป็นพี่เลี้ยงดูแลตัวอ่อนและทำงานก่อสร้างและพอมันมีอายุมากขึ้น ผึ้งงานก็จะทำหน้าที่ป้องกันรังเฝ้ายามและหาอาหารเช่น น้ำหวานจากดอกไม้ ในรังหนึ่งๆ อาจมีผึ้งงานมากถึงหมื่นตัว ผึ้งชนิดนี้จึงเป็นกำลังสำคัญของอาณาจักรผึ้ง และถึงแม้มันจะเป็นเพศเมีย แต่เมื่อมันมีรังไข่ที่เล็กเกินไป มันจึงไม่สามารถวางไข่ได้เหมือนผึ้งนางพญา ชีวิตของผึ้งงานนั้นสั้น คือประมาณ
7-8
สัปดาห์เท่านั้นเอง และผึ้งชนิดสุดท้ายคือผึ้งตัวผู้ ซึ่งไม่มีหน้าที่ใดๆ ในรังนอกจากจะผสมพันธุ์กับผึ้งนางพญาเท่านั้นเอง ดังนั้น เมื่อมันได้กระทำภารกิจของมันเสร็จ ผึ้งงานก็จะหยุดป้อนอาหารมัน แล้วมันก็จะอดอาหารตาย การไม่มีเหล็กในทำให้มันต่อยไม่เจ็บ ในเดือนเมษายน-พฤษภาคม เมื่อผึ้งนางพญารู้สึกว่าตนถึงวัยสืบพันธุ์ มันก็จะปล่อย
pheromone
ออกมาดึงดูดบรรดาผึ้งตัวผู้ ให้บินตามมันไปผสมพันธุ์กันกลางอากาศ ผึ้งตัวผู้ที่ได้ผสมพันธุ์แล้วจะหมดแรงตกลงมาตาย ตัวที่ไม่ได้ผสมพันธุ์ก็จะบินต่อไปจนหมดแรงหรือบางตัวก็หลงทาง ส่วนพวกที่บินกลับรังได้ก็ไม่ได้รับการเอาใจใส่และถูกผึ้งงานไล่ออกจากรัง จนในที่สุดมันก็อดอาหารตายเพราะหาอาหารไม่เป็น
ศัตรูของผึ้งที่สำคัญได้แก่ มดแดงที่คอยจะแย่งน้ำหวาน ตัวต่อที่คอยโฉบจับผึ้ง แมงมุมที่คอยชักใยดักผึ้งงาน กิ้งก่า แมลงปอ ผีเสื้อกลางคืนและนก
ทุกวันนี้มนุษย์รู้ดีว่าผึ้งเป็นแมลงที่ช่วยขยายพันธุ์ไม้และดอกไม้โดยการนำเกสรตัวผู้ไปผสมกับเกสรตัวเมีย และน้ำผึ้งคือน้ำหวานที่ผึ้งเก็บจากเกสรดอกไม้ที่มีกลิ่นหอมและมีสีเหลืองน้ำตาล ซึ่งผู้คนนิยมใช้เป็นเครื่องดื่มที่ให้พลังงาน ใช้ทำเครื่องสำอาง ขนม และเป็นยาสมานแผล พิษเหล็กในของผึ้งยังสามารถรักษาโรคปวดข้อได้บ้าง นักชีววิทยาชี้แจงว่า ตามปกติผึ้งเป็นสัตว์ที่รักสันติ มันจะต่อยศัตรูเพื่อป้องกันรังเท่านั้น และผึ้งที่ต่อยก็เป็นเฉพาะผึ้งงานและผึ้งนางพญา ส่วนผึ้งตัวผู้นั้นต่อยไม่เจ็บ เวลาผึ้งต่อยเหล็กในซึ่งมีปลายแหลมเหมือนลูกธนูจะถูกปล่อยออกมาทางท้อง ดังนั้น เวลาผึ้งดึงตัวออกปลายท้องมันจะแตกทำให้ผึ้งตาย ด้วยเหตุนี้ผึ้งจึงไม่ชอบต่อยใครนอกจากจำเป็นจริงๆ
นักชีววิทยาได้สนใจศึกษาพฤติกรรมของผึ้งมานานนับพันปีแล้ว
Aristotle
ในสมัยก่อนคริสตกาล เคยเชื่อว่า ผึ้งมีภาษาที่ใช้ปกครองผึ้งด้วยกันในปี พ.ศ.
2512
บาทหลวง
C.Butter
ได้พบความจริงว่า ผึ้งที่ทรงอำนาจมากที่สุดในรัง คือผึ้งนางพญา และเมื่อ
28
ปีก่อนนี้
Karl von Frisch
ก็ได้รับรางวัลโนเบลสาขาแพทยศาสตร์และสรีรวิทยาร่วมกับ
Konrad Lorenz
และ
Nikolaas Tinberger
ในฐานะผู้ให้กำเนิดวิทยาการด้าน
Ethology
หรือบุคลิกภาพวิทยาที่ว่าด้วยบุคลิกภาพของสัตว์ ขณะรับรางวัล
Von Frisch
มีอายุได้
86
ปีแล้ว และขณะทำงานที่มหาวิทยาลัย
Munich
นั้น เขาได้แสดงให้เห็นว่า ผึ้งใช้ลีลาเต้นรำในการสื่อความหมายกัน ยกตัวอย่างเช่น เวลาผึ้งงานเห็นอาหาร
(
น้ำหวาน) ในบริเวณใกล้รัง เวลามันบินกลับรัง มันจะบินวนเป็นวงกลม แล้วผึ้งตัวอื่นๆ ก็จะบินวนเป็นวงกลมเหมือนกัน จนกระทั่งผึ้งทั้งรังรับรู้ข่าวดี จากนั้นฝูงผึ้งก็จะบินตรงไปที่แหล่งอาหารนั้นๆ แต่ถ้าแหล่งอาหารอยู่ไกลรังมันก็จะบินวนเป็นเลขแปด เป็นต้น
Von Frisch
ยังได้พบอีกว่า ผึ้งแต่ละพันธุ์ใช้ภาษาในการสื่อสารไม่เหมือนกัน ข้อมูลนี้ทำให้
Von Frisch
สรุปว่า ความสามารถในการเข้าใจภาษาของผึ้งสามารถถ่ายทอดได้ทางพันธุกรรม นอกจากนี้
Von Frisch
ก็ยังแสดงให้เห็นอีกว่า ผึ้งสามารถรู้ระยะทางที่มันบินจากรังไปถึงแหล่งอาหารได้ด้วย (แต่
Von Frisch
ก็ไม่ได้ระบุชัดว่า ผึ้งวัดระยะทางดังกล่าวได้อย่างไร) หรือในวันที่ครึ้มฟ้าครึ้มฝน ทั้งๆ ที่ผึ้งไม่สามารถเห็นดวงอาทิตย์ แต่มันก็สามารถบอกทิศของแหล่งอาหารได้ ทั้งนี้เพราะระบบประสาทของผึ้งสามารถรับแสงอาทิตย์ได้ดี โดยไม่จำเป็นต้องเห็นดวงอาทิตย์ตรงๆ และถ้าเขาจับผึ้งใส่ในห้องที่มืดสนิท เขาก็พบว่าผึ้งจะหยุดเต้นรำทันที อย่างไรก็ตาม
Von Frisch
ได้พบว่า ผึ้งชอบออกหาอาหารในวันที่ท้องฟ้าสดใสมากกว่าในวันที่ฟ้ามืดครึ้ม และมันจะหยุดเต้นรำทันทีที่พระอาทิตย์ตกดิน
ในวารสาร
Nature
ฉบับวันที่
24
เมษายน พ.ศ.
2545 G. Bloch
และ
G. Robinson
แห่งมหาวิทยาลัย
Illinois
ที่
Urbana-Champaign
ได้รายงานว่า ผึ้งงานที่ค่อนข้างอาวุโส ซึ่งตามปกติมีหน้าที่บินออกหาอาหาร และไม่มีหน้าที่ดูแลตัวอ่อน ซึ่งเป็นหน้าที่ของผึ้งงานสาวจะหวนกลับมาดูแลตัวอ่อน เมื่อรังของมันขาดแคลนพี่เลี้ยงดูแล
ตามความเข้าใจเดิมของนักชีววิทยา เวลาผึ้งงานมีอายุมากขึ้น มันจะปรับเปลี่ยนหน้าที่จากเดิมที่ต้องดูแลตัวอ่อน มันก็จะปรับพฤติกรรมไปทำหน้าที่หาอาหาร ซึ่งต้องทำทุก
22-25
ชั่วโมง แต่เมื่อรังของมันขาดแคลนคนดูแล ผึ้งตัวอ่อน ผึ้งงานชราก็จะปรับพฤติกรรมหยุดออกหาอาหารและปรับนาฬิกาชีวิตทำงาน เพื่อหวนกลับมาดูแลทายาทผึ้งแทนอีก
นักชีววิทยากำลังงุนงงกับความสามารถในการปรับพฤติกรรมนี้ว่า ผึ้งสามารถทำได้โดยไม่มึนงง ง่วงนอนหรืออ่อนเพลีย ซึ่งถ้าเป็นคนการปรับเวลา ปรับนาฬิกา ใจ ไม่ทัน จะทำให้คนอ่อนเพลีย และนี่คือสาเหตุที่ทำให้คนขับรถหลับในบนถนนจนเกิดอุบัติเหตุเสียชีวิตนับพันคนในแต่ละปี ในการอธิบายความสามารถพิเศษนี้
E. Erichson
แห่ง
Carl Hayden Bee Research Center
ที่เมือง
Tucson
ในสหรัฐอเมริกา คิดว่าต่อมฮอร์โมนในผึ้งงานชราคงเริ่มทำงานอีก ซึ่งก็มีลักษณะคล้ายกับการที่สตรีวัยกลางคนได้ตั้งครรภ์อีกยังไงยังงั้น
ในวารสาร
Journal of Experimental Bioloth
ฉบับเดือนพฤศจิกายน พ.ศ.
2544 J. Tautz
แห่งมหาวิทยาลัย
Wiirzburg
ในประเทศเยอรมนีได้รายงานว่า เวลาผึ้งงานพบอาหารแล้วบินกลับรัง มันส่งข่าวดีให้เพื่อนผึ้งรู้โดยการเต้นรำ แต่ผึ้งในรังมีนับหมื่นตัว การจะเห็นผึ้งตัวหนึ่งตัวใดเต้นรำนั้นเป็นเรื่องยาก นอกจากนี้เสียงที่เกิดจากลีลาการเต้นก็ไม่สามารถกลบเสียงหึ่งในรังได้ และ
Tautz
ก็ได้พบว่า ผึ้งส่งสัญญาณโดยใช้รังผึ้งเป็นสื่อ เพราะรังผึ้งนั้นยืดหยุ่นได้ การเต้นรำของผึ้งที่มีข่าวดีจะทำให้ผนังของรังผึ้งในบริเวณที่มันเต้นรำสั่น เมื่อผึ้งในบริเวณใกล้เคียงเห็นผนังสั่นเข้าออกเป็นจังหวะมันก็รู้ข่าวดีนั้นทันที ในการทดลองโดยใช้แสงเลเซอร์และกล้องถ่ายภาพ
Tautz
ได้พบว่า ผึ้ง
132
ตัว สามารถส่งข่าวให้เพื่อนมัน
471
ตัวรู้ได้ โดยการเต้นรำ และนี่คือเทคนิคที่ผึ้งใช้ในการสื่อสารถึงกัน
อันนี้ก็เป็นข้อมูลเกี่ยวกับผึ้งที่วันนี้เอามาฝากค่ะ
เขียนใน
GotoKnow
โดย
The Kop
ใน
พรุ่งนี้แล้วสินะสอบเลี้ยงผึ้ง
คำสำคัญ (Tags):
#ไปรมา
#นิสิตวิชาการเลี้ยงผึ้ง
หมายเลขบันทึก: 48432
เขียนเมื่อ 5 กันยายน 2006 15:26 น. (
)
แก้ไขเมื่อ 9 มิถุนายน 2012 14:26 น. (
)
สัญญาอนุญาต:
จำนวนที่อ่าน
จำนวนที่อ่าน:
ความเห็น (0)
ไม่มีความเห็น
ชื่อ
อีเมล
เนื้อหา
จัดเก็บข้อมูล
หน้าแรก
สมาชิก
The Kop
สมุด
พรุ่งนี้แล้วสินะส...
ความรู้เกี่ยวกับผึ้ง
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID
@gotoknow
สงวนลิขสิทธิ์ © 2005-2023 บจก. ปิยะวัฒนา
และผู้เขียนเนื้อหาทุกท่าน
นโยบายความเป็นส่วนตัว (Privacy Policy)
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท