เครื่องมือการจัดการความรู้ “ธารปัญญา”
เครื่องมือการจัดการความรู้ “ธารปัญญา” เป็นเครื่องมือการจัดการความรู้ที่เหมาะสำหรับการดำเนินการจัดการความรู้ ที่ทำเป็นเครือข่ายขององค์กรหรือหน่วยงานที่มีภารกิจประเภทเดียวกัน
ซึ่งเครื่องมือชุด “ธารปัญญา” ประกอบด้วยเครื่องมือหลัก 5 ประการ ดังนี้คือ
1. ตารางอิสรภาพ เป็นตารางสำหรับประเมินตนเอง ว่ามีขีดความสามารถหลัก เพื่อบรรลุเป้าหมายที่พึงประสงค์ในระดับใด
2. แผนภูมิแม่น้ำ (River Diagram) เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้ผู้จัดการเครือข่ายแลกเปลี่ยนเรียนรู้ (KM network manager) มองเห็นภาพรวมของขีดความสามารถหลักของเครือข่าย และขณะเดียวกันช่วยให้สมาชิกของเครือข่ายมองเห็น “ตำแหน่ง” ของตนได้โดยง่าย และเห็นได้เป็นรายความสามารถหลัก
3. แผนภูมิขั้นบันได (Stair Diagram) เป็นผังแสดงระดับความสามารถปัจจุบันกับระดับความปรารถนาที่จะเพิ่มขีดความสามารถของแต่ละองค์กรที่เป็นสมาชิกเครือข่ายแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในขีดความสามารถหลักเรื่องใดเรื่องหนึ่ง
4. ขุมความรู้ (Knowledge Assets) เป็นบันทึกความรู้ชัดแจ้งและความรู้ในตัวคนเกี่ยวกับขีดความสามารถหลัก เพื่อบรรลุเป้าหมายที่พึงประสงค์
5. พื้นที่ประเทืองปัญญา หรือพื้นที่แลกเปลี่ยนเรียนรู้ มี 2 ประเภท คือ พื้นที่จริง คือการพบปะแลกเปลี่ยนกันตัวต่อตัว และพื้นที่เสมือน คือการนำขุมความรู้มาจัดเก็บในระบบ ICT เพื่อเปิดโอกาส เปิดเวที ให้ผู้ที่สนใจค้นคว้า เข้ามาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ได้สะดวกยิ่งขึ้น ทำให้เกิดการจัดการความรู้ในวงที่กว้างออกไป
เป้าหมาย วิธีการใช้เครื่องมือ และการนำเครื่องมือไปใช้ในงานด้านหลักสูตร และการสอนในโรงเรียน ตามประเด็นเครื่องมือหลัก 5 ประการ ของเครื่องมือการจัดการความรู้ “ธารปัญญา”
1. ตารางอิสรภาพ เป็นเครื่องมือเริ่มต้นของการจัดการความรู้ ซึ่งประกอบด้วย
1.1 การตั้งเป้าหมายร่วมกัน นำมาใช้ในการกำหนดเป้าหมายในด้านการเรียนการสอน เช่น
“เพื่อยกระดับผลการสอบ O-NET ของนักเรียนให้สูงขึ้น”
1.2 ร่วมกันกำหนดปัจจัยหรือองค์ประกอบหลักที่จะนำไปสู่เป้าหมาย โดยใช้ Story telling กำหนดปัจจัยหรือองค์ประกอบที่จะทำให้ “ผลการสอบ O-NET ของนักเรียนสูงขึ้น” โดยกำหนดปัจจัย ดังนี้
1.2.1 วิเคราะห์ผู้เรียนและวิเคราะห์หลักสูตร
1.2.2 สอนตามมาตรฐานและตัวชี้วัด
1.2.3 วัดและประเมินผลตามมาตรฐานและตัวชี้วัด
1.2.4 ซ่อมเสริมผู้เรียนให้สามารถพัฒนาตนเองได้เต็มตามศักยภาพ
1.3 นำองค์ประกอบแต่ละหัวข้อมาจัดระดับขีดความสามารถ เป็น 4 ระดับ คือ
ระดับ 1 พอใช้
ระดับ 2 ปานกลาง
ระดับ 3 ดี
ระดับ 4 ดีมาก
1.4 กำหนดเกณฑ์ความแตกต่างของค่าระดับขีดความสามารถ เช่น
องค์ประกอบที่ 2 สอนตามมาตรฐานและตัวชี้วัด
ระดับ 4 มีการสอนตามมาตรฐานและตัวชี้วัดร้อยละ 100
ระดับ 3 มีการสอนตามมาตรฐานและตัวชี้วัดร้อยละ 80-99
ระดับ 2 มีการสอนตามมาตรฐานและตัวชี้วัดร้อยละ 60-79
ระดับ 1 มีการสอนตามมาตรฐานและตัวชี้วัดร้อยละ 50-59
1.5 ประเมินตนเองตามระดับขีดความสามารถของตารางอิสรภาพ ว่าอยู่ในระดับใด
2. แผนภูมิแม่น้ำ (River Diagram) คือการนำผลการประเมินตนเองมา Plot เป็นกราฟ
แสดง Profile ของแต่ละหน่วยงาน เช่นองค์ประกอบที่ 1 มีค่าขีดความสามารถตั้งแต่ 2-4
องค์ประกอบที่ 2 มีค่าขีดความสามารถตั้งแต่ 1-4 เมื่อระบายสีช่วงความกว้างของระดับขีดความสามารถทั้งหมด จะได้ Profile ในรูป “แผนภูมิแม่น้ำ”
ความกว้างของลำธารเป็นตัวบอกความแตกต่างในระดับขีดความสามารถหลักของแต่ละหน่วยงาน ยิ่งกว้างมากเท่าใดโอกาสที่จะแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันก็มากเท่านั้น เช่น องค์ประกอบที่ 2 การสอนตามมาตรฐานและตัวชี้วัด หน่วยงานที่ได้ระดับ 1 ก็จะไปแลกเปลี่ยนกับหน่วยงานที่ได้ระดับ 4 เพื่อพัฒนาขีดความสามารถของตนเองให้ไปสู่เป้าหมาย ซึ่งแผนภูมิแม่น้ำนี้จะเป็นเครื่องมือให้ผู้จัดการเครือข่ายแลกเปลี่ยนเรียนรู้ (KM network manager) มองเห็นภาพรวมของขีดความสามารถหลักของเครือข่าย และขณะเดียวกันก็ช่วยให้สมาชิกของเครือข่ายมองเห็นตำแหน่งของตนเองภายในกลุ่มได้โดยง่าย เพื่อสะดวกในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้
3. แผนภูมิขั้นบันได (Stair Diagram) เป็นแผนผังแสดงความแตกต่าง (Gap) ระหว่างเป้าหมาย (Target) กับระดับที่ประเมินได้ในปัจจุบัน (Current) เช่น
องค์ประกอบที่ 2 สอนตามมาตรฐานและตัวชี้วัด มีเป้าหมาย อยู่ในระดับ 4 ถ้าประเมินตนเองได้ระดับ 4 Target-Current = Gap 4-4=0 แสดงว่าช่องว่างระหว่างการประเมินตนเองกับเป้าหมาย = 0 ซึ่งกลุ่มที่มีค่า Gap 0, 1 อยู่ในระดับสูง จะอยู่ยอดบันได อยู่ในกลุ่มพร้อมให้หรือแบ่งปัน
ส่วนกลุ่มที่อยู่ด้านขวาของบันได คือกลุ่มที่ประเมินตนเองไว้ในระดับต่ำ คือระดับ 1, 2 จะมีช่องว่าง (Gap) เท่ากับ 2, 3 แสดงให้เห็นว่าเป็นกลุ่มที่ต้องการพัฒนา เรียกว่ากลุ่มใฝ้รู้หรือผู้เรียนรู้
ซึ่งแผนภูมขั้นบันไดนี้ สามารถนำไปใช้ประโยชน์สำหรับการจัดเวที่แลกเปลี่ยนเรียนรู้ โดยการจับคู่แลกเปลี่ยนเรียนรู้ ระหว่างกลุ่มพร้อมให้กับกลุ่มใฝ่รู้ ทำให้เกิดความสมดุลระหว่างผู้ที่ต้องการเรียนรู้กับผู้ที่มีความสามารถ
4. ขุมความรู้ (Knowledge Assets) เป็นบันทึกความรู้ชัดแจ้ง (Explicit Knowledge) และแหล่งความรู้ในคน เกี่ยวกับขีดความสามารถหลัก (Core competence) เพื่อบรรลุเป้าหมายที่พึงประสงค์ ประกอบด้วย 3 ส่วนคือ
ส่วนที่ 1 สรุปบทเรียนในช่วงแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในประเด็นองค์ประกอบหลักที่จะยกระดับผลการสอบ O-NET ของนักเรียนให้สูงขึ้น ทั้ง 4 องค์ประกอบในเรื่องวิธีการหลัก ๆ ที่จะทำให้บรรลุเป้าหมายในแต่ละองค์ประกอบ
ส่วนที่ 2 เรื่องเล่าและคำพูดที่เกี่ยวกับความรู้หลัก
ส่วนที่ 3 รายละเอียดของแต่ละเรื่องเล่าหรือคำพูดอาจอยู่ในรูป เทปเสียง คลิปวีดีโอ หรือแหล่งข้อมูลเพิ่มเติมสำหรับผู้ที่สนใจเข้าไปศึกษาต่อ
5. พื้นที่ประเทืองปัญญา หรือพื้นที่แลกเปลี่ยนเรียนรู้ มี 2 ลักษณะ คือ
5.1 พื้นที่จริง คือการพบปะแลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกันแบบตัวต่อตัว
5.2 พื้นที่เสมือน คือการนำขุมความรู้มาจัดเก็บในรูป ICT เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ที่สนใจเข้ามาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ได้สะดวกขึ้น ทำให้เกิดการจัดการความรู้ที่กว้างขวางออกไป
การใช้เครื่องมือการจัดการความรู้ “ธารปัญญา” นั้น จะต้องใช้เครื่องมือบนพื้นฐานความคิด ความรู้ ปัญญา โดยเน้นการปรับใช้ให้เหมาะสมกับสถานการณ์หรือบริบทของแต่ละเครือข่ายหรือแต่ละองค์กร จึงไม่ควรยึดติดกับรูปแบบ
ขอบคุณที่เขียนบันทึกความรู้เรื่องนี้ได้ละเอียด ซึ่งจะเป็นประโยชน์ให้กับผู้อื่นได้เป็นอย่างดี
เยี่ยมค่ะ
ขอบคุณอาจารย์มากค่ะที่ให้กำลังใจ