การดำเนินงาน KM เมืองนครที่ผ่านมานั้นมองว่าเจ้าภาพหรือเจ้าของงานอยู่ที่หน่วยงานเดียว จึงทำให้ขาดการทำงานอย่างบูรณาการและมีส่วนร่วม ขาดการมีความเป็นเจ้าของในงานนั้น ๆ จึงไม่ค่อยทุ่มเท และเต็มที่เท่าไหร่
เห็นด้วยกับครูนงนะคะที่ว่า
ผมอยากเห็นการแบ่งการรับผิดชอบทั้งระดับตำบล อำเภอ และปีต่อๆไปอาจจะเป็นระดับโซนไปเลย เพื่อเห็นถึงระดับการมีส่วนร่วมที่จริงจังมากขึ้น ไม่ใช่หน่วยงานหนึ่งหน่วยงานใดทำอยู่หน่วยงานเดียวอย่างที่เป็นห่วงกังวลกันอยู จะได้เห็นประสบการณ์การเรียนรู้อะไรดีๆอีกมากมาย
แล้วการ ลปรร.ในงานนี้ก็จะสนุกและเกิดผลมากยิ่งขึ้นคะ
ตอนนี้ตกลงเบื้องต้นว่า ทำร่วมกันแต่แบ่งกันเป็นโซน 5 หน่วยงานคือ กศน. พช. ธกส. เกษตร และ สธ.
โดยมีปกครองเป็นทีมเลขา ให้นายอำเภอเป็นCKO อำเภอ
วันนี้อ.ชมภู อ.เป้าและคณะอีก2คนมาหารือการทำ คู่มือ สรุปได้2หัวข้อคือ
1)การจัดการความรู้ โครงสร้าง บทบาทหน้าที่ของนักเรียนในวงเรียนรู้ต่างๆ
2)เนื้อหา กระบวนการชุมชนเข้มแข็ง สภาผู้นำชุมชน แผนแม่บทชุมชน วิสัยทัศน์เมืองนคร เศรษฐกิจพอเพียง
แหม่ม แป้น
ช่วยกันคิดวิเคราะห์หาทางออกที่เหมาะสมที่สุด ช่วยกันเสริมเติมเต็มความคิดต่อไปนะครับ
อ.ภีม
รบกวนอาจารย์ช่วยต่อความคิดให้ผมหน่อยครับ ผมยังต่อไม่ค่อยติด ซึ่งถ้า 5 โซน ๆ ละ 1 อำเภอ มีอยู่ 5 หน่วยงานคือ กศน. พช. ธกส. เกษตร และ สธ.ก็แปลว่าหน่วยงานหนึ่งก็เป็นเจ้าภาพอำเภอหนึ่งอย่างที่ผมว่าใช่ไหมครับ ในระดับการปฏิบัติแต่ละอำเภอมีปกครองเป็นทีมเลขา ให้นายอำเภอเป็นCKO เครือข่ายทำงานก็เครือข่ายเดิม หรือปกครองเป็นทีมเลขาระดับจังหวัด หรืออย่างไรครับอาจารย์
งานนี้เป็นการสร้างตึกหลังใหญ่ ฐานจึงต้องมั่นคง แต่ที่ผ่านมาเราไม่มีโอกาสเตรียมฐานมากนัก
ลงลุยกันเลย ใครทำก็จะเรียนรู้ว่า จะทำอย่างไรให้ดียิ่งขึ้น โดยที่เป้าหมายเราชัดเจนว่า จะบูรณาการหน่วยงานทำงานร่วมกับชุมชนทั้งระบบเพื่อไปสู่ความเข้มแข็งของชุมชนตามวิสัยทัศน์เมืองนครและ แนวทางเศรษฐกิจพอเพียง
กพร.และ สคส.มาช่วยเรื่องการจัดการความรู้ในหน่วยงานก็เป็นเรื่องดีที่จะเสริมกันได้ เราได้เปรียบ เพราะได้ทดลองจัดการความรู้ร่วมกับชุมชนอย่างบูรณาการ ซึ่งเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก
ม.วลัยลักษณ์ได้ช่วยอบรมการทำKMหัวหน้าส่วนจังหวัด 2 รุ่น ก็จะเสริมแนวคิด เทคนิค
ซึ่งเรื่องนี้ต้องการการเรียนรู้อย่างต่อเนื่องให้เนียนเข้าไปในเนื้องานที่ทำ
ผมคิดว่าแนวคิดและเทคนิคหลายๆอย่างพอทำไปก็จะเก่งขึ้น ผมเองถ้าไม่ได้ทำก็ตามไม่ทันเช่นกัน
ตอนนี้ผมไม่ค่อยห่วงเรื่องเทคนิค แต่ห่วงเรื่องระบบเชื่อมโยง ซึ่งหากไม่สรุปบทเรียน เราจะพันขาตัวเองไปเรื่อยๆ
คุยกับทีมว่า เราจะนำเข้าหารือวงเรียนรู้คุณเอื้อจังหวัด 2 สัปดาห์ครั้ง เพื่อปรับปรุงระบบส่งต่อโครงการของปกครองกับเครือข่ายยมนาให้กับทีมจัดการความรู้
อยากให้ทำกันตั้งแต่เริ่มต้นเลย และถ้าให้ดี ผมเห็นว่าควรทำกันรายตำบลจะเหมาะกว่าเพื่อเชื่อมโยงกับแผนพัฒนาตำบลของอบต.และส่วนราชการต่างๆ
อาจจะต้องใช้งานวิจัยท้องถิ่นเข้ามานำในช่วงแรก ซึ่งเป็นกระบวนการพัฒนาสภาผู้นำชุมชน ด้วยการศึกษาวิเคราะห์ทุนชุมชนทั้งรายครัวเรือน หมู่บ้านและตำบลเพื่อจัดทำแผนแม่บทชุมชน
แล้วตามด้วยการจัดการความรู้เมื่อมีข้อมูล ความรู้ เป้าหมายการพัฒนาที่ชัดเจนแล้ว
งานนี้สนุกแน่และจะได้เรียนรู้เยอะมาก และจะเป็นประโยชน์กับจังหวัดนครศรีธรรมราชในระยะยาวอย่างแน่นอน
ผมเห็นว่าอาจจะต้องทำความร่วมมือกับสกว.ท้องถิ่นให้เข้ามาสนับสนุนงานนี้อย่างเป็นระบบด้วยครับ
ตอนนี้สกว.เขามียุทธศาสตร์ ABC research น่าจะไปด้วยกันได้ดีครับ
เรื่อง 5 อำเภอนำร่องจะเป็นตัวแบบ
เพื่อให้นายอำเภอมาเป็นCKO
เลขาคือปกครอง (ประสานจัดการ งบประมาณ)
หน่วยงาน 5 หน่วยเป็นหน่วยปฏิบัติ
เป็นแนวทางใหม่ ไม่ใช่คำสั่งเดิม คือ ต่อไปเห็นว่าควรให้ปกครองเป็นเจ้าภาพหลัก มี5หน่วยร่วมรับผิดชอบ
การแบ่งโซน มีแนวคิดว่า 5หน่วยหลักจะแบ่งรับผิดชอบเป็นแกนหลักคุณอำนวยคนละโซนครับ
ชัดเจนขึ้นครับอาจารย์ ว่า 5 อำเภอนำร่องจะเดินอย่างไร ส่วนอำเภออื่นนอกจาก 5 อำเภอนำร่องนี้จัดทัพเหมือนเดิม หรืออย่างของใหม่ครับ รบกวนอีกครั้ง
หลายเรื่องที่เขียนยังเป็นเพียงแนวคิดครับ เพราะไม่สามารถระดมความคิดเห็นจากผู้เกี่ยวข้องได้ ถ้าไม่share vission แม้จะคิดดีอย่างไร ก็ไปได้ไม่ไกล
วงเรียนรู้ไม่เป็นทางการจึงสำคัญมาก คือ ต้องทำให้เกิด care จึงจะ share และจึงเกิด learn
วงจังหวัดวันที่เข้าพบท่านผู้ว่าถือว่าพอใช้ได้ ถ้าได้คุยกับนายอำเภอนำร่อง5อำเภอเพื่อกลับลงไปเป็นประธานคุณเอื้ออำเภอ ในขณะที่คุณเอื้ออำเภอจาก 5 หน่วยงานก็เชื่อมโยงกับคุณเอื้อจังหวัด เราจะเกิดการทำงานเป็นทีมในองค์ประกอบTeam learning ซึ่งในแต่ละหน่วยงานสามารถนำการจัดการความรู้ไปใช้ในหน่วยงานของตนเองเสริมแรงอีกทางหนึ่งในวงประชุมหัวหน้าส่วนอำเภอของแต่ละหน่วยงาน
การเสริมพลังแนวดิ่งกับแนวราบจึงจะเป็นจริง ซึ่งโชคดีมากที่ได้ท่านผู้ว่าวิชมเป็นประธานคุณเอื้อ
การจัดการความรู้นอกจากใช้เคล็ดคือทักษะ แล้ว ก็ต้องใช้ไหวพริบ ปฏิภาณและจินตนาการซึ่งเป็นปัญญา ซึ่งตรงกับความเข้าใจทางใต้ของเราที่ทับศัพท์ว่า
มีปัญญาทำมั้ย?
ไม่ใช่มีความรู้หรือไม่
ซึ่งเป็นศัพท์ทางวัฒนธรรมที่บอกให้รู้ว่า ชาวบ้านทางใต้เขารู้จักการจัดการความรู้มานมนานแล้วครับ