ขอนำเรื่องราว แง่คิดจากถอดบทเรียนจากน้ำท่วม เรื่องเล่าผ่านมุมธรรม “จากน้ำท่วมสู่น้ำใจ” โดย อาจารย์ญาณภัทร ยอดแก้ว http://www.gotoknow.org/blogs/posts/480098 มาเล่าสู่กันฟังเพิ่มเติมว่า
หลวงพ่อท่านเป็นผู้สั่งสอนและส่งเสริมแนวธรรม รวมทั้งให้พร ให้โอกาส ให้กำลังใจในการทำความดีแก่ผู้เขียนเสมอมา นั่นก็คือ หลวงพ่อพระครูปลัดวีระนนท์ วีระนนฺโท เจ้าอาวาสวัดป่าเจริญราช ปทุมธานี พระวิปัสสนาจารย์ผู้ชำนาญกรรมฐานหลากรูปแบบ หลวงพ่อเป็นพระสงฆ์รูปหนึ่งที่เตือนญาติโยมอยู่เสมอว่า
คำเตือนของท่านหากย้อนไปเมื่อช่วงมีนา-เมษา ประมาณต้นปีเดียวกัน หลายคนคงเฉยๆ และมีบ้างที่อาจเฉยเมย แต่พอเอาเทปเก่าที่ท่านเทศน์มาฟังตอนนี้ “ชัดเจน” สิ่งที่ท่านบอกไว้ก่อนนั้น คือ วันนี้ที่เราเจอกัน
วันหนึ่ง ณ ศูนย์พักพิงของมหาวิทยาลัยฯ ประมาณสองสัปดาห์หลังการเปิดศูนย์ฯหลวงพ่อและน้องบอม(ลูกศิษย์คนใกล้ชิด) ได้มาเยี่ยมเยียนผู้ประสบภัยโดยมีท่านรองเกดและผู้เขียนคอยต้อนรับ หลวงพ่อได้มีโอกาสให้กำลังใจผู้พักพิงและได้ให้ธรรมะผ่านสื่อทีวีไทย (ไทยพีบีเอส) เป็นข้อคิดสะกิดใจที่คมคำและมีคุณค่า โดยเฉพาะการบริหารจัดการน้ำของฝ่ายบ้านเมืองที่ยังมีเรื่องการเมืองเข้ามา แทรกในท่ามกลางความทุกข์ยากของประชาชนอย่างไม่น่าจะเป็น และท่านยังได้เน้นถึงการจัดการน้ำตามแนวพระราชดำริของรัชกาลที่ ๕ และในหลวงรัชกาลปัจจุบัน ว่าทำไมไม่ศึกษาและปฏิบัติตามกัน ที่สำคัญวันนั้นท่านได้เตือนให้คนไทยมีศีลมีธรรม ไม่ทำลายธรรมชาติและให้สามัคคีกันเพื่อช่วยกันป้องกันอนาคตของประเทศชาติให้ ปราศจากภัยพิบัติ
ถัดจากนั้นอีกไม่นาน หลวงพ่อได้แวะเวียนมาเยี่ยมเยียนผู้ประสบภัยอีกครั้งหนึ่ง โดยผู้เขียนได้ปรึกษากับท่านรองเกดว่า สิ่งที่หลวงพ่อพูดวันก่อนนั้นควรได้รับการเผยแพร่อย่างต่อเนื่องในสถานการณ์ ปัจจุบัน จนเป็นที่มาของการประสานงานทาง WBTV ให้มาบันทึกเทปรายการพิเศษร้อยน้ำใจช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมและรายการ ธรรมะจากข่าวที่มหาวิทยาลัยฯ สาระดีๆ จากธรรมะที่ท่านสอนมีอีกเช่นเคย (ผู้สนใจสามารถติดตามชมย้อนหลังได้ทาง www.youtube.com ธรรมะจากข่าว ๑๔.๑๑.๕๔)
น้ำใจของหลวงพ่อยังไม่จบแค่นั้น หลังจากนั้นอีก ๒ วัน ท่านก็มาเยี่ยมเยียนศูนย์พักพิงอีกครั้ง โดยวันนี้ทางพระมหาสมมาศ วชิรปญฺโญ และคณะพระอาจารย์จากมหาจุฬาฯ ได้จัดการประชุมหลังสวดมนต์เย็นพอดี จังหวะนั้นหลวงพ่อพระครูปลัดวีระนนท์ ก็ได้มาให้ธรรมะเป็นกำลังใจแก่ผู้พักพิง
มีคำทำนายจากผู้หยั่งรู้ไม่ว่าจะพุทธทำนายที่ สมเด็จ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ในพระไตรปิฎก ปฏิทินมายาของชาวมายา หรือแม้แต่องค์การนาซาออกมาประกาศว่า วันที่ 21 ธันวาคม ปี 2012 เป็นวันที่โลกถึงกาลแตกดับ และจากเหตุการณ์ภัยพิบัติทางธรรมชาติหลายๆ ครั้ง ที่เกิดทั่วโลก ไม่ว่าจะสึนามิ มหาอุทกภัย และยิ่งเมื่อปี 2012 มาถึง ยิ่งทำให้ผู้คนตื่นตระหนกว่าคำทำนายเหล่านั้นจะเป็นจริง
สำนักพิมพ์ดีเอ็มจี และ ยุวพุทธิกสมาคมแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ จึงร่วมกันจัดพิมพ์หนังสือ "อ่านก่อนถึงวันสิ้นโลก" ขึ้น โดยได้รวบรวมข้อมูลไว้ครบถ้วน ทั้งด้านวิทยาศาสตร์ พุทธพยากรณ์ คำสอนของครูบาอาจารย์ คำทำนายของท่านผู้รู้ ทรรศนะ จากผู้ทรงคุณวุฒิต่างๆ อาทิ พระธรรมโกศาจารย์, พระอาจารย์สำราญ ธัมมธุโร, พระไพศาล วิสาโล, พระอาจารย์คึกฤทธิ์ โสตฺถิผโล, ดร.สมิทธ ธรรมสโรช, พล.ต.อ.วิสิษฐ เดชกุญชร, ดร.องอาจ ชุมสาย ณ อยุธยา, ดร.ก้องภพ อยู่เย็น, พญ.คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์, ดร.วรภัทร์ ภู่เจริญ, อนุรุธ ว่องวานิช และดนัย จันทร์เจ้าฉาย ฯลฯ ที่ได้แสดงทรรศนะเกี่ยวกับภัยพิบัติที่เกิดขึ้นทั่วโลกและใน ประเทศไทยไว้อย่างน่าสนใจ พร้อมแนะให้ยึดหลักธรรมนำความคิด เพื่อ "เตรียมกาย" และ "เตือนใจ" ตั้งตนให้อยู่ในความไม่ประมาท พร้อมรับมือกับเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นในกาลอันใกล้รวมถึงแนะนำ ข้อควรปฏิบัติขณะเกิดภัยพิบัติในทุกมิติ
นายอนุรุธ ว่องวานิช นายกยุวพุทธิกสมาคมแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ กล่าวถึงที่มาของ หนังสือ "อ่านก่อนวันสิ้นโลก" ว่า "ยุวพุทธฯ ได้จัดงานเสวนา "เตรียมกาย เตือนใจ รับภัยพิบัติ" ตั้งแต่ปี2553 เป็นต้นมา โดยมีวิทยากรจากหลากหลายวงการมาบรรยาย ซึ่งจัดมา 3 ครั้งแล้ว เพราะเป็นเรื่องที่คนไทยให้ความสนใจและมีเสียงเรียกร้องให้จัด อีก จึงเป็นการจุดประกายให้นำข้อมูลเหล่านั้นทั้งทางวิทยาศาสตร์ และทางธรรมมารวมกัน แล้วจัดพิมพ์หนังสือ "อ่านก่อนวันสิ้นโลก" เพื่อให้เป็นรูปธรรมในการขยายผลให้กว้างมากยิ่งขึ้น และช่วยกระตุ้นเตือนให้คนเตรียม "ใจ" น้อมมาสู่การปฏิบัติธรรม เพราะหากเราปล่อยใจไปไม่ดูแล จะเป็นทุกข์ กังวลเกี่ยวกับภัยพิบัติไม่จบไม่สิ้น"
ภายในงานมีการเสวนาโดยผู้ร่วมเขียนหนังสือ "อ่านก่อนถึงวันสิ้นโลก" เพื่อการเตรียมพร้อมรับมือภัยพิบัติ และวันสิ้นโลก เริ่มจาก
ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา นักวิเคราะห์ ธรณีวิทยาและภัยพิบัติ อดีตนักวิทยาศาสตร์องค์การนาซา กล่าวว่า "ภัยพิบัติที่เกิดขึ้นล้วนเป็นผลจากภาวะโลกร้อน ตอนนี้มีแก๊สมีเทนพุ่งจากขั้วโลกเหนือเป็นจำนวนมาก เพราะน้ำแข็งที่เคยปกคลุมอยู่ได้ละลายไป แก๊สชนิดนี้ร้ายแรงกว่าคาร์บอนไดออกไซด์ถึง 21 เท่า นอกจากนี้ เมื่อโลกร้อนขึ้น น้ำก็ระเหยมากขึ้น ฝนตกมากขึ้น มีพายุบ่อยขึ้น ปัญหาต่างๆ จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะปีนี้ดวงอาทิตย์จะมีการระเบิดมากขึ้น อาจเกิดพายุสุริยะ และจะร้ายแรง ที่สุดในช่วงเดือนธันวาคม ซึ่งบังเอิญตรงกับคำทำนาย อื่นๆ เกี่ยวกับปี 2012
แต่ผมก็ยืนยันว่า ยังไม่สิ้นโลก แต่จะเกิดเรื่อยๆ และกระจายออกไป ผมคิดว่าปัญหาเป็นเรื่องดี เพราะทำให้เรามีบทเรียน พร้อมเผชิญหน้าทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น ทำให้เราได้เรียนรู้ เราต้องมาวิเคราะห์จะแก้ไข กลับกลายเป็นบทเรียน สิ่งที่ต้องจะเผชิญต่อไปได้เรื่อย ๆ เพื่อมนุษย์จะได้เก่งขึ้นเมื่อเกิดปัญหาจะไม่หนักหนา เพราะความหนักของปัญหาอยู่ที่ใจ ดังนั้นมนุษย์จึงต้องเตรียมพร้อมเสมอ ช่วยกันลดภาวะโลกร้อน ไม่ใช่มัวแต่ทะเลาะกันเกี่ยงกัน และที่สำคัญที่สุดคือ การเตรียมตัวด้านจิตใจ ทุกคนควรนั่งสมาธิ เป็นการเริ่มต้นจากจุดเล็กๆ แล้วขยายออกไป จนเป็นวงกว้างมากขึ้นๆ เพราะฉะนั้นอย่ารีรอ เริ่มเดี๋ยวนี้เลยให้เร็วที่สุด"
ด้าน นายอนุรุธ กล่าวถึงที่มาของหนังสือว่า ยุวพุทธฯ ได้จัดงานเสวนา “เตรียมกาย เตือนใจ รับภัยพิบัติ” ตั้งแต่ปี ๒๕๕๓ เป็นต้นมา โดยมีวิทยากรจากหลากหลายวงการมาบรรยาย ซึ่งจัดมา ๓ ครั้งแล้ว เพราะเป็นเรื่องที่คนไทยให้ความสนใจและมีเสียงเรียกร้องให้จัดอีก จึงเป็นการจุดประกายให้นำข้อมูลเหล่านั้นทั้งทางวิทยาศาสตร์และทางธรรมมารวม กัน แล้วจัดพิมพ์หนังสือ “อ่านก่อนถึงวันสิ้นโลก” เพื่อให้เป็นรูปธรรมในการขยายผลให้กว้างมากยิ่งขึ้น และช่วยกระตุ้นเตือนให้คนเตรียม “ใจ” น้อมมาสู่การปฏิบัติธรรม เพราะหากเราปล่อยใจไปไม่ดูแล จะเป็นทุกข์ กังวลเกี่ยวกับภัยพิบัติไม่จบไม่สิ้น ซึ่งยุวพุทธฯเน้นการฝึกสติโดยตรง ท่านพุทธทาสเคยบอกไว้ว่าคุณธรรมไม่กลับมาโลกาจะวินาศ ดังนั้นการรับมือภัยพิบัติไม่เพียงแต่จะเตรียมกายต้องเตรียมใจไปพร้อมกัน
ขณะประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สำนักพิมพ์ดีเอ็มจี กล่าวว่า หัวข้อที่ผมเขียนคือ หนังสือ “อ่านก่อนถึงวันสิ้นโลก” ผู้มีปัญญากำลังหาทางหนีออกจาก โลก ซึ่งเป็นคำสอนของครูบาอาจารย์ที่ท่านเพียรสอนมา หมายถึง การออกจากการเวียนว่ายตายเกิด เพราะหากเราตายไปตอนเกิดภัยพิบัติ แล้วเกิดมาอีกทีโลกใบนี้จะไม่น่าอยู่แล้ว จะมีแต่น้ำและจิตใจมนุษย์ก็ไม่มีกุศล ดังนั้นตอนนี้ต้องหมั่นนั่งสมาธิ และเราควรเรียนรู้อยู่กับธรรมชาติ พร้อมกับเรียนรู้การอยู่ท่ามกลางทุกข์โดยไม่เป็นทุกข์
น.ส.ฐปณีย์ กล่าวว่า สิ่งที่สัมผัสได้จากการลงพื้นที่ในช่วง ๒ ปีที่ผ่านมาทั่วทุกภาคในประเทศไทย คือชาวบ้านมักจะบอกว่าภัยน้ำท่วมที่ประสบอยู่รุนแรงกว่าในอดีตมาก เพราะปริมาณน้ำมากจริง ๆ อย่างไรก็ตามยังมีสิ่งดี ๆ ที่ได้เห็นคือ คนไทยตื่นรู้และตื่นตัวกับการรับมือมากขึ้น หลายคนที่ประสบภัยและบ้านเรือนได้รับความเสียหาย ได้หันมานำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ คือจะไม่ซื้อสิ่งของฟุ่มเฟือยมาไว้ในบ้านแล้ว แต่จะซื้อเฉพาะสิ่งของใช้จำเป็นเท่านั้น และอยู่อย่างพอเพียง
http://www.youtube.com/watch?feature=player_embedded&v=uD6UhzW-pd8
อ่านรายละเอียดเนื้อหาบทความตั้งแต่เริ่มต้นได้ที่นี่ค่ะ
http://www.gotoknow.org/blogs/posts/480096
http://www.gotoknow.org/blogs/posts/480098
http://www.gotoknow.org/blogs/posts/480099
http://www.gotoknow.org/blogs/posts/480100
ไม่มีความเห็น