อ่ะ สงสัยผมเป็นโรคเดียวกับอาจารย์อ่ะ ;(...
wow! the great perfection reminded to the great expectation :) Thanks ka
ณ ขณะปัจจุบัน ทุกอย่างที่เกิดขึ้นนั้น มันเพียบพร้อมสมบูรณ์ดีแล้ว” ตรงนี้ อ่านแล้ว ทำให้รู้สึกดีมากเลยครับ น่าจะทียบเคียงได้กับประโยคที่ผมเคยอ่านมา คือ "ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นมานั้น ดีเสมอ" ประมาณนั้นนะครับ อาจารย์
ขอบคุณมากครับ
บางท่านที่อ่านบันทึกนี้ อาจจะตีความไปในทำนองที่ว่า “ถ้าเช่นนั้น แสดงว่าเราไม่ต้องทำอะไรทั้งสิ้นนะซิ ปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามที่มันเป็น ไม่ต้องทำอะไร งอมืองอเท้าก็ได้ " ซึ่งถ้าเข้าใจเช่นนั้น ฟังดูน่ากลัวเหมือนกัน คล้ายๆ กับคนที่แยกไม่ออกระหว่างคำว่า “วางเฉย (อุเบกขา)” กับคำว่า “เพิกเฉย (เฉยเมย)” นั่นแหละครับ หากท่านเป็นคนหนึ่งที่ตีความไปเช่นนั้น ผมแนะนำให้ท่านอ่านบทภาวนาในภาพข้างล่างนี้ให้ขึ้นใจ แล้วท่านจะรู้เองว่าจะต้องทำอะไรต่อไปครับ
"No one is perfect." ผมได้ยินมาตั้งแต่เด็กๆ ผมไม่รู้ว่าผมจะอธิบายอย่างไงดีนะครับเพราะผมไม่ได้หาความสมบูรณ์แบบ แต่ผมแสวงหา "ความสุขในชีวิต" ครับ แต่ผมไม่ต้องการทางสงบ
บรรพบุรุษผมตั้งแต่คุณทวดคุณปู่คุณตาคุณลุงคุณป้าคุณน้าคุณอาจนถึงคุณพ่อคุณแม่ ทำงานรับราชการและรัฐวิสาหกิจกันทุกคนครับ และพอญาติรุ่นผมก็ไม่มีใครรับราชการสักคน จบมาก็ทำงานบริษัทกันเกือบทุกคนครับ มีแต่ผมที่หันมาทำธุรกิจส่วนตัว แน่นอนครับ ไม่มีใครเลยที่เห็นด้วยกันกับผมสักคน แถมพูดให้เสียใจอยู่ตลอดเวลา ญาติบางคนว่าผมจะไม่มีจะกินด้วยซ้ำ ผมไม่แคร์ซักนิด ผมกับมีความสุขมากขึ้นไปเรื่อยๆ เพราะผมได้ตั้งเป้าหมายแล้วว่า "เราต้องมีความสุขเท่านั้น" และผมเชื่อว่าสิ่งที่ผมทำจะนำความสุขมาให้ผมอย่างแน่นอนครับ เมื่อวันเวลาผ่านไป สิ่งที่ผมทำก็นำความสุขแท้จริงมาให้ จากคำชื่นชมจากคุณพ่อคุณแม่ที่พวกท่านมอบคำว่า "เก่ง" ให้แก่ผม เป็นความภาคภูมิใจที่ทำให้ผมไ้้ด้รับความสุขอย่างแท้จริงครับ
ทุกวันนี้ผมว่าชีวิตผมมีความสุขมากมากจนน่าจะเรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบแล้ว ที่จริงไม่ครับ ชีวิตผมสมบูรณ์แบบมานานมากแล้ว เพราะผมพอใจในชีวิตทีผ่านมาโดยตลอด ผมได้ใช้เวลาที่ผ่านมาบนความสุขที่ผมต้องการ คนคันแรกที่ซื้อเองได้นำความสุขมาให้ผม บ้านหลังแรกที่ซื้อเองก็ทำให้ผมมีความสุขมาก สิ่งที่เลือกทำทุกอย่างที่ผ่านมามันก็ทำให้ผมมีความสุข จนทุกวันนี้ ผมพร้อมที่จะหยุดลมหายใจแล้วด้วยครับ(เพื่อนรักยังพูดเล่นกับผมว่า นายตายได้แล้ว ใช้ชีวิตโคตรคุ้มเลย) ผมมองตัวเองว่าได้ใช้ชีวิตอย่า่งคุ้มค่าแล้ว ทุกเวลาทุกนาทีที่ผ่านมาผมมีความสุขตามที่ผมต้องการ ผมมีอิสระทางความคิด(ใช้ความคิดแต่ไม่เครียด) ผมมีบริษัทอายุกว่า 10 ปี และกำลังเปิดอีก 2 บริษัท(เผื่ยไว้ให้ลูกๆของผม) ผมมีอิสระเลือกที่จะทำอะไรก็ได้ (วันจันทร์ถึงวันศุกร์คนอื่นๆไปทำงานแต่ผมชอบอยู่บ้านนอนกลางวัน) ผมมีอิสระด้านเวลา(ผมเกษียณอายุการทำงานมา 2 ปีกว่า แล้วผมจ้างผู้จัดการทำงานแทนผมครับและบริษัทใหม่ผมก็จ้างผู้จัดการคนใหม่ทำงานแทนครับ) ผมมีอิสระทางการเงิน(บริษัทโอนเงินให้ผมเดือนละสองครั้ง) ผมมองว่าผมมีความสุขมากกว่าใครๆแล้วครับ
ก่อนที่ผมเป็น "คนรวย" ที่มีความสุข ผมก็เป็น "คนจน" ที่มีความสุขมาก่อนครับ เมื่อผมมีความสุข ทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมเลือกที่จะทำต่อไป ก็ทำให้ผมสนุกและมีความสุขมากขึ้น ผมถึงได้ประสพความสำเร็จเร็วครับ
ผมมองว่าความสมบูรณ์แบบในชีวิตนั้น คือไม่ว่าจะเป็นคนรวยหรือคนจน ทุกๆคนพอใจในสิ่งที่มีสิ่งที่เป็น มีความสุขกับสิ่งที่มีสิ่งที่เป็น รู้คุณค่าของสิ่งที่มีสิ่งที่เป็น การมีอิสระที่จะทำดีคิดดีพูดดีอะไีรก็ได้ที่มีความสุขและคนรอบข้างก็มีความสุขไปกับเรา นั้นคือความสมบูรณ์แบบของชีวิตในแบบฉบับของเขาแล้วล่ะครับ
ขอบคุณเอกที่แชร์เรื่องราวให้พวกเราได้ฟังและสร้างแรงกระเพื่อมของความสุขไว้ในโลกไซเบอร์นี้ทั้งที่ใน gotoknow และใน facebook ขอบคุณมากครับ
“ณ ขณะปัจจุบัน ทุกอย่างที่เกิดขึ้นนั้น มันเพียบพร้อมสมบูรณ์ดีแล้ว” . . ทำไมประโยคนี้จึงมีความสำคัญกับผมค่อนข้างมาก . . เพราะมันเป็นหลักที่ทำให้ผมบ่นน้อยลง จากที่บ่นวันละยี่สิบสามสิบครั้ง ลดมาเหลือสิบกว่าครั้ง ผมว่านี่เป็นตัวชี้วัดที่ดีเหมือนกันนะ จะได้รู้ความก้าวหน้าของเรา เป้าหมายที่วางไว้ก็คือ Complain Free คือไม่มีการบ่นอีกต่อไป . . การไม่บ่นไม่ได้แปลว่างอมืองอเท้าไม่ทำอะไร แต่ยังคงใช้หลักของ Serenity Pray อยู่ดี (ดู Comment ข้างบน) . . ถ้าสังคมไทยเป็น Complain Free Society ผมว่าคงจะดีไม่น้อย ปัจจุบันเราบ่นกันจนเคยตัว . . ถ้าทุกคนบ่นน้อยลงผมเชื่อว่าสังคมไทยจะกลับมปรองดอง ได้เร็วขึ้น . . การไม่บ่น (บ่นให้น้อยลง) จะช่วยลดอัตตา (อีโก้) ได้มากทีเดียว เคยสังเกตไหมครับว่าเวลาที่บ่น เราเอาตัวเรา (ความคิด) เป็นศูนย์กลางมากแค่ไหน ? เรามาช่วยทำให้สังคมไทยดีขึ้น ด้วยการบ่นให้น้อยลงกันเถอะครับ ท่องให้ขึ้นใจ จนเรายอมรับประโยคนี้ได้อย่างสนิทใจ “ณ ขณะปัจจุบัน ทุกอย่างที่เกิดขึ้นนั้น มันเพียบพร้อมสมบูรณ์ดีแล้ว”
ในความหมายของ The Great Perfection . . Everyone is Perfect ! . . Everything is Perfect !
เมื่อเช้านี้ตอนที่ไปประชุมข้างนอก ไม่อยากจะบอกเลยว่า เสียแต้มอีกแล้ว เพราะยังติดการบ่นอยู่ เช่น พูดกับคนอื่น (เชิงบ่น) ว่าสองสามวันนี้อากาศร้อนนะ . . เท่าที่สังเกตดูตนเอง พบว่าใช้การบ่นเป็นการเริ่มต้นการสนทนา คือแบบว่าไม่รู้จะพูดอะไร ก็เลยต้องพูดเรื่องดินฟ้าอากาศ แต่มันก็ออกมาในเชิงบ่นซะนี่ เช้านี้เลยเสียไปหนึ่งคะแนน !
การบ่นบ้างครั้ง ทำให้จิตใจดีขึ้นนะครับ ดีกว่าเก็บกด
หลักเรื่อง The Great Perfection ตามที่ผมเสนอมาข้างต้นนั้น . . เป็นเพราะต้องการทำให้เสียงบ่นทั้งหลายทั้งภายนอกและภายในค่อยๆ หายไปโดยปริยาย . . เห็นด้วยร้อยเปอร์เซนต์ครับว่าต้องอย่า "เก็บกด" . . ผมเองถือว่าอยู่ในขั้นทดลองทำดูครับ อาจารย์หมอ JJ