ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปกี่ปี ผมก็ยังเป็น Perfectionist อยู่ดี


. . . I am not talking about perfection, I am talking about the "Great Perfection.” . . .

               หลายคนเคยเตือนผมว่า “จะหาความสุขในชีวิตไม่ได้ !” . . เพราะอะไรนะหรือ? . . เขาบอกผมว่าเป็นเพราะผมแสวงหา “ความสมบูรณ์แบบ (Perfection)” ในทุกสิ่งทุกอย่างที่ผ่านมาในชีวิต . . ที่ผมติดนิสัยเช่นนี้ อาจเป็นเพราะผมโตมาในครอบครัวที่ “เนี้ยบ” มาก (เกินไป) . . หรืออาจเป็นเพราะต้องมีชีวิตวัยเด็กที่ "เฮี๊ยบ" ภายใต้กฎระเบียบโรงเรียนประจำ . . หรือว่าเป็นเพราะระบบการศึกษาที่บ่มเพาะผมมาให้เป็นวิศวกร ทำงานที่ต้องการความละเอียดถี่ถ้วน ผิดพลาดไม่ได้แม้น้อยนิด . . หรือเป็นเพราะชีวิตการทำงานที่ผมต้องหันมารับผิดชอบเรื่องการบริหารคุณภาพ . .  ผมเองก็ไม่ทราบว่าเป็นเพราะเหตุใด  แต่ถึงอย่างไรในตอนนี้ก็ขอยอมรับโดยดีว่า "ผมเลือกที่จะเป็น Perfectionist"  ครับ

         

            แต่สิ่งที่กลับตาลปัตรก็คือนิยามของคำว่า Perfection สำหรับผมนั้นได้เปลี่ยนไปแล้ว แต่ก่อนความสมบูรณ์แบบคือการตั้งสเปค (Specification หรือข้อกำหนด) แล้วพยายามทำให้สิ่งต่างๆ เป็นไปตามข้อกำหนดที่วางไว้ . . หลังจากที่ได้ใช้ชีวิตมาระยะเวลาหนึ่ง มาถึงวันนี้คำว่า Perfection สำหรับผมมีความหมายที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิมมาก เพราะมันหมายถึง “The Great Perfection" ซึ่งก็คือความสมบูรณ์ (เพียบพร้อม) “อันยิ่งใหญ่” ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่อยู่ในเงื้อมมือของคนตัวเล็กๆ อย่างเราอีกต่อไป หากแต่เป็นผลอันสืบเนื่องมาจากสิ่งที่เรียกว่า ธรรมะจัดสรร งานรังสรรค์ของพระผู้สร้าง (God, พระธรรมชาติเจ้า) การได้พบกับเต๋า หรืออะไรก็ตามแต่

 

            ที่แน่ๆ ก็คือ ผมอยากจะสื่อว่า “ณ ขณะปัจจุบัน ทุกอย่างที่เกิดขึ้นนั้น มันเพียบพร้อมสมบูรณ์ดีแล้ว” อย่าลืมนะครับว่า ผมไม่ได้พูดถึง Perfection อย่างที่คนส่วนใหญ่เข้าใจกัน แต่ผมกำลังพูดถึง The “Great Perfection” ด้วยความรู้สึกอยากขอบคุณสวรรค์ (พระผู้เป็นเจ้า พระพุทธเจ้า ฯลฯ) เพราะสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นนั้น มันช่างสมบูรณ์ดีแล้วจริงๆ !!

หมายเลขบันทึก: 480012เขียนเมื่อ 26 กุมภาพันธ์ 2012 09:53 น. ()แก้ไขเมื่อ 20 มิถุนายน 2012 11:38 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (11)

อ่ะ สงสัยผมเป็นโรคเดียวกับอาจารย์อ่ะ ;(...

wow! the great perfection reminded to the great expectation :) Thanks ka

ณ ขณะปัจจุบัน ทุกอย่างที่เกิดขึ้นนั้น มันเพียบพร้อมสมบูรณ์ดีแล้ว”   ตรงนี้   อ่านแล้ว ทำให้รู้สึกดีมากเลยครับ  น่าจะทียบเคียงได้กับประโยคที่ผมเคยอ่านมา คือ "ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นมานั้น ดีเสมอ" ประมาณนั้นนะครับ อาจารย์

                               ขอบคุณมากครับ

บางท่านที่อ่านบันทึกนี้ อาจจะตีความไปในทำนองที่ว่า “ถ้าเช่นนั้น แสดงว่าเราไม่ต้องทำอะไรทั้งสิ้นนะซิ ปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามที่มันเป็น  ไม่ต้องทำอะไร งอมืองอเท้าก็ได้ " ซึ่งถ้าเข้าใจเช่นนั้น ฟังดูน่ากลัวเหมือนกัน คล้ายๆ กับคนที่แยกไม่ออกระหว่างคำว่า “วางเฉย (อุเบกขา)” กับคำว่า “เพิกเฉย (เฉยเมย)” นั่นแหละครับ หากท่านเป็นคนหนึ่งที่ตีความไปเช่นนั้น ผมแนะนำให้ท่านอ่านบทภาวนาในภาพข้างล่างนี้ให้ขึ้นใจ แล้วท่านจะรู้เองว่าจะต้องทำอะไรต่อไปครับ


"No one is perfect." ผมได้ยินมาตั้งแต่เด็กๆ ผมไม่รู้ว่าผมจะอธิบายอย่างไงดีนะครับเพราะผมไม่ได้หาความสมบูรณ์แบบ แต่ผมแสวงหา "ความสุขในชีวิต" ครับ แต่ผมไม่ต้องการทางสงบ

บรรพบุรุษผมตั้งแต่คุณทวดคุณปู่คุณตาคุณลุงคุณป้าคุณน้าคุณอาจนถึงคุณพ่อคุณแม่ ทำงานรับราชการและรัฐวิสาหกิจกันทุกคนครับ และพอญาติรุ่นผมก็ไม่มีใครรับราชการสักคน จบมาก็ทำงานบริษัทกันเกือบทุกคนครับ มีแต่ผมที่หันมาทำธุรกิจส่วนตัว แน่นอนครับ ไม่มีใครเลยที่เห็นด้วยกันกับผมสักคน แถมพูดให้เสียใจอยู่ตลอดเวลา ญาติบางคนว่าผมจะไม่มีจะกินด้วยซ้ำ ผมไม่แคร์ซักนิด ผมกับมีความสุขมากขึ้นไปเรื่อยๆ เพราะผมได้ตั้งเป้าหมายแล้วว่า "เราต้องมีความสุขเท่านั้น" และผมเชื่อว่าสิ่งที่ผมทำจะนำความสุขมาให้ผมอย่างแน่นอนครับ เมื่อวันเวลาผ่านไป สิ่งที่ผมทำก็นำความสุขแท้จริงมาให้ จากคำชื่นชมจากคุณพ่อคุณแม่ที่พวกท่านมอบคำว่า "เก่ง" ให้แก่ผม เป็นความภาคภูมิใจที่ทำให้ผมไ้้ด้รับความสุขอย่างแท้จริงครับ

ทุกวันนี้ผมว่าชีวิตผมมีความสุขมากมากจนน่าจะเรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบแล้ว ที่จริงไม่ครับ ชีวิตผมสมบูรณ์แบบมานานมากแล้ว เพราะผมพอใจในชีวิตทีผ่านมาโดยตลอด ผมได้ใช้เวลาที่ผ่านมาบนความสุขที่ผมต้องการ คนคันแรกที่ซื้อเองได้นำความสุขมาให้ผม บ้านหลังแรกที่ซื้อเองก็ทำให้ผมมีความสุขมาก สิ่งที่เลือกทำทุกอย่างที่ผ่านมามันก็ทำให้ผมมีความสุข จนทุกวันนี้ ผมพร้อมที่จะหยุดลมหายใจแล้วด้วยครับ(เพื่อนรักยังพูดเล่นกับผมว่า นายตายได้แล้ว ใช้ชีวิตโคตรคุ้มเลย) ผมมองตัวเองว่าได้ใช้ชีวิตอย่า่งคุ้มค่าแล้ว ทุกเวลาทุกนาทีที่ผ่านมาผมมีความสุขตามที่ผมต้องการ ผมมีอิสระทางความคิด(ใช้ความคิดแต่ไม่เครียด) ผมมีบริษัทอายุกว่า 10 ปี และกำลังเปิดอีก 2 บริษัท(เผื่ยไว้ให้ลูกๆของผม) ผมมีอิสระเลือกที่จะทำอะไรก็ได้ (วันจันทร์ถึงวันศุกร์คนอื่นๆไปทำงานแต่ผมชอบอยู่บ้านนอนกลางวัน) ผมมีอิสระด้านเวลา(ผมเกษียณอายุการทำงานมา 2 ปีกว่า แล้วผมจ้างผู้จัดการทำงานแทนผมครับและบริษัทใหม่ผมก็จ้างผู้จัดการคนใหม่ทำงานแทนครับ) ผมมีอิสระทางการเงิน(บริษัทโอนเงินให้ผมเดือนละสองครั้ง) ผมมองว่าผมมีความสุขมากกว่าใครๆแล้วครับ

ก่อนที่ผมเป็น "คนรวย" ที่มีความสุข ผมก็เป็น "คนจน" ที่มีความสุขมาก่อนครับ เมื่อผมมีความสุข ทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมเลือกที่จะทำต่อไป ก็ทำให้ผมสนุกและมีความสุขมากขึ้น ผมถึงได้ประสพความสำเร็จเร็วครับ

ผมมองว่าความสมบูรณ์แบบในชีวิตนั้น คือไม่ว่าจะเป็นคนรวยหรือคนจน ทุกๆคนพอใจในสิ่งที่มีสิ่งที่เป็น มีความสุขกับสิ่งที่มีสิ่งที่เป็น รู้คุณค่าของสิ่งที่มีสิ่งที่เป็น การมีอิสระที่จะทำดีคิดดีพูดดีอะไีรก็ได้ที่มีความสุขและคนรอบข้างก็มีความสุขไปกับเรา นั้นคือความสมบูรณ์แบบของชีวิตในแบบฉบับของเขาแล้วล่ะครับ

ขอบคุณเอกที่แชร์เรื่องราวให้พวกเราได้ฟังและสร้างแรงกระเพื่อมของความสุขไว้ในโลกไซเบอร์นี้ทั้งที่ใน gotoknow และใน facebook ขอบคุณมากครับ

“ณ ขณะปัจจุบัน ทุกอย่างที่เกิดขึ้นนั้น มันเพียบพร้อมสมบูรณ์ดีแล้ว” . . ทำไมประโยคนี้จึงมีความสำคัญกับผมค่อนข้างมาก . . เพราะมันเป็นหลักที่ทำให้ผมบ่นน้อยลง จากที่บ่นวันละยี่สิบสามสิบครั้ง ลดมาเหลือสิบกว่าครั้ง ผมว่านี่เป็นตัวชี้วัดที่ดีเหมือนกันนะ จะได้รู้ความก้าวหน้าของเรา เป้าหมายที่วางไว้ก็คือ Complain Free คือไม่มีการบ่นอีกต่อไป . . การไม่บ่นไม่ได้แปลว่างอมืองอเท้าไม่ทำอะไร แต่ยังคงใช้หลักของ Serenity Pray อยู่ดี (ดู Comment ข้างบน) . . ถ้าสังคมไทยเป็น Complain Free Society ผมว่าคงจะดีไม่น้อย ปัจจุบันเราบ่นกันจนเคยตัว . . ถ้าทุกคนบ่นน้อยลงผมเชื่อว่าสังคมไทยจะกลับมปรองดอง ได้เร็วขึ้น . . การไม่บ่น (บ่นให้น้อยลง) จะช่วยลดอัตตา (อีโก้) ได้มากทีเดียว เคยสังเกตไหมครับว่าเวลาที่บ่น เราเอาตัวเรา (ความคิด) เป็นศูนย์กลางมากแค่ไหน ? เรามาช่วยทำให้สังคมไทยดีขึ้น ด้วยการบ่นให้น้อยลงกันเถอะครับ ท่องให้ขึ้นใจ จนเรายอมรับประโยคนี้ได้อย่างสนิทใจ “ณ ขณะปัจจุบัน ทุกอย่างที่เกิดขึ้นนั้น มันเพียบพร้อมสมบูรณ์ดีแล้ว”

ในความหมายของ The Great Perfection . . Everyone is Perfect ! . . Everything is Perfect !

เมื่อเช้านี้ตอนที่ไปประชุมข้างนอก ไม่อยากจะบอกเลยว่า เสียแต้มอีกแล้ว เพราะยังติดการบ่นอยู่ เช่น พูดกับคนอื่น (เชิงบ่น) ว่าสองสามวันนี้อากาศร้อนนะ . . เท่าที่สังเกตดูตนเอง พบว่าใช้การบ่นเป็นการเริ่มต้นการสนทนา คือแบบว่าไม่รู้จะพูดอะไร ก็เลยต้องพูดเรื่องดินฟ้าอากาศ แต่มันก็ออกมาในเชิงบ่นซะนี่ เช้านี้เลยเสียไปหนึ่งคะแนน !

การบ่นบ้างครั้ง ทำให้จิตใจดีขึ้นนะครับ ดีกว่าเก็บกด

หลักเรื่อง The Great Perfection ตามที่ผมเสนอมาข้างต้นนั้น . . เป็นเพราะต้องการทำให้เสียงบ่นทั้งหลายทั้งภายนอกและภายในค่อยๆ หายไปโดยปริยาย . . เห็นด้วยร้อยเปอร์เซนต์ครับว่าต้องอย่า "เก็บกด" . . ผมเองถือว่าอยู่ในขั้นทดลองทำดูครับ อาจารย์หมอ JJ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท