“การเรียนรู้ไม่มีใครแก่เกินเรียนและไม่มีคำว่าสาย เราสามารถเรียนรู้ได้เสมอ ไม่ว่าจะเป็นเพศ วัย อาชีพใดก็สามารถเรียนรู้ได้” “การเรียนแล้วไม่ทำไม่ถือว่าเป็นการเรียนรู้ การรู้แล้วไม่ทำไม่ถือว่ารู้จริง” บทความของสตีเฟน อาร์ โควีย์ จากหนังสือการวางเป้าหมายและแผนชีวิตได้กล่าวเอาไว้ และฉันได้ประสบกับตนเองแล้วว่า บทความนี้เป็นสิ่งที่ถูกต้องที่สุด ฉันยินดีพูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับทุกคน อยากให้ทุกคนมีชีวิตที่ดีขึ้นเหมือนที่ฉันได้เรียนรู้จากมหาวิทยาลัยชีวิต
ฉันได้รู้จัก “ศูนย์เรียนรู้ของชุมชนเครือข่ายมหาวิทยาลัยชีวิต : เมืองชุมพร” เมื่อปี พ.ศ.2552 จากนั้นจึงได้ก้าวเข้าสู่หลักสูตรเตรียมความพร้อมก็ด้วยเพราะความเกรงใจ อ.กฤษณา ภาษยะวรรณ์ ที่ฉันรู้จักมักคุ้นกันมาหลายปี เมื่อได้สัมผัสกระบวนการเรียนรู้ครั้งแรกก็รู้สึกงงและเกิดคำถามขึ้นในใจว่า สอนอะไรก็ไม่รู้ให้ทำบัญชีครัวเรือน บันทึกการใช้เวลา วางแผนรายสัปดาห์ คิดในใจว่าหลักสูตรอะไรแปลกมาก แล้วยังมีสโลแกนโก้หรูอีกว่า “เรียนแล้วชีวิตต้องดีขึ้นระหว่างเรียน ไม่ต้องรอเรียนจบเหมือนมหาวิทยาลัยทั่วไป” เรียนแค่นี้ชีวิตมันจะดีขึ้นได้อย่างไร ?
ด้วยความที่อยากรู้และฉันก็เริ่มติดเพื่อน ๆ ที่เรียนด้วยกันฉันจึงตัดสินใจสมัครเรียนในหลักสูตรสัมฤทธิ์บัตรที่เปิดสอนเพื่อรอเวลาให้ “สถาบันการเรียนรู้เพื่อปวงชน” ซึ่งตั้งอยู่ที่ อ.บางคนที จ.สมุทรสงคราม จัดการศึกษา ณ สถานที่ตั้งครบถ้วนตามหลักการจัดตั้งสถาบันการศึกษาระดับมหาวิทยาลัย หลักสูตรนี้ได้เปิดให้นักศึกษาลงทะเบียนเรียน 2 วิชาสำคัญซึ่งเป็นพื้นฐานและเอกลักษณ์ของมหาวิทยาลัยชีวิต คือ วิชากระบวนทัศน์การพัฒนา และวิชาการวางแผนและเป้าหมายชีวิต ทั้ง 2 วิชานี้ได้บูรณาการเชื่อมโยงถึงกัน ทำให้ฉันและเพื่อน ๆ นักศึกษาได้สร้างวิธีคิด วิธีปฏิบัติขึ้นมาใหม่ในชีวิตของตนเอง เราได้สืบค้นหารากเหง้าและภูมิปัญญาท้องถิ่น ได้เรียนรู้ปัญหาเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นกับชีวิตของตนเอง ครอบครัว และชุมชน
พวกเราได้ตระหนักถึงทางเลือกทางรอดทางเดียวในชีวิตเมื่อได้เรียนวิชาเศรษฐกิจพอเพียง ฉันได้ทำบัญชีครัวเรือนโดยบันทึกรายจ่ายทุกวัน เมื่อได้วิเคราะห์ย้อนกลับไปดูร่องรอยการใช้เงินทำให้ได้เห็นว่า ครอบครัวของฉันมีรายจ่ายที่ไม่จำเป็นเดือนละหลายร้อยจนถึงหลายพันบาท
จากเดิมสามีชอบซื้อล็อตเตอรี่งวดละประมาณหกร้อยเจ็ดร้อยบาท ถ้าได้เลขเด็ดถูกใจก็ซื้อเพิ่ม เดือนหนึ่งมี 2 งวดต้องเสียเงินค่าล็อตเตอรี่เกือบสองพันบาท เคยพูด เคยห้าม แต่สามีก็ไม่เชื่อเพราะเขามีความหวังว่าเขาจะมีโอกาสถูกรางวัล แต่เมื่อฉันลงมือทำบัญชีครัวเรือน ฉันจับ “คำกุญแจ” ซึ่งเป็นหัวใจของวิชาเศรษฐกิจพอเพียงที่ว่า “การลดรายจ่ายคือการเพิ่มรายได้” ฉันจึงชวนสามีให้มีส่วนร่วมในการทำบัญชีครัวเรือนด้วยกัน สิ้นเดือนเมื่อรวบรวมรายจ่ายในแต่ละรายการเอามาเปรียบเทียบกัน สามีเกิดอาการตกใจว่าค่าล็อตเตอรี่และค่าหวยใต้ดินรวม 2 งวดตกประมาณสี่พันกว่าบาท ผลปรากฏว่าสามีเลิกซื้อล็อตเตอรี่และหวยใต้ดินไปเลย
ปัจจุบันการใช้ชีวิตในครอบครัวของฉันอยู่อย่างคนมีรายได้เพิ่ม ชีวิตดีขึ้น มีเงินเก็บให้ลูกเรียนอย่างสบายตามอัตภาพ สิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างมากก็คือจากเดิมใช้เงินซื้อทุกอย่างก็หันมาปลูกผักสวนครัว ชอบกินผักอะไรก็ปลูกผักนั้น ชอบกินผักบุ้งจีนก็ซื้อผักบุ้งจีนมากินแล้วตัดรากปลูก ถึงตอนนี้ไม่ต้องซื้อผักบุ้งกินแล้วเพราะยิ่งตัดผักบุ้งก็ยิ่งแตกยอด ฉันภาคภูมิใจกับผักบุ้งที่ปลูกด้วยตนเองมาก เพราะเมื่อสมัยก่อนตัดรากโยนทิ้งไม่มีคุณค่าแต่วันนี้ครอบครัวฉันเปลี่ยนไปแล้ว
ในบ้านตอนนี้ฉันมีพืชผักสวนครัวอีกหลายชนิด มะละกอ ตำลึง ไคร้ พริก ส้มจี๊ด ฯลฯ แต่ที่เป็นพระเอกก็ต้องยกให้ผักบุ้งจีน เพราะเป็นเรื่องที่ฉันเล่าให้เพื่อน ๆ ฟังด้วยความภูมิใจ หลายคนถามว่าไปเอาเคล็ดลับมาจากไหน ฉันตอบได้อย่างไม่ลังเลว่า “มหาวิทยาลัยของเรา” เป็นที่สร้างแรงบันดาลใจ
อีกประมาณ 2 ปี ฉันและเพื่อน ๆ จะได้เป็นบัณฑิต ได้รับปริญญาและที่สำคัญคือมีปัญญาเพิ่มขึ้น ฉันต้องมีชีวิตที่อยู่อย่างมีศักดิ์ศรี สามารถพัฒนางาน พัฒนาชีวิตของตนเองและครอบครัวให้มีความหมาย มีคุณค่าให้สมกับคำว่า “เรียนแล้วชีวิตต้องดีขึ้น”.