บันได
คาร์เนกี (Carnegie Ladder) หมายถึง "ระดับความเป็นเลิศ"
ของมหาวิทยาลัยในสหรัฐอเมริกา
โดยยึดถือเกณฑ์ความเป็นเลิศตามแบบของมหาวิทยาลัย ฮาร์วาร์ด
เป็นต้นแบบ วัดความสำเร็จที่ความใหญ่ มีตึกเพิ่ม
มีหลักสูตรเพิ่ม นักศึกษาเพิ่ม เงินสะสมเพิ่ม มีสนามกีฬาขนาดใหญ่
ทีมกีฬาที่มีชื่อเสียง Carnegie Ladder เป็นคำเรียกทั่วๆ
ไปตาม
Carnegie Classification System
หนังสือ The Innovative University : Changing The DNA of Higher Education บอกเราว่า บันได คาร์เนกี นี้เหมาะแก่มหาวิทยาลัยวิจัยกลุ่มยอดที่มีอยู่ประมาณ ๒๐๐ แห่งเท่านั้น (ในสหรัฐอเมริกา) สถาบันอุดมศึกษากลุ่มที่ ๒ และกลุ่มที่ ๓ ไม่ควรไปหลงไต่บันไดนี้ เพราะจะเป็นภาระทางการเงินมากโดยไม่คุ้มค่า
อ่านข้อความในหนังสือตอนนี้แล้ว ก็นึกถึงสถานการณ์ในประเทศไทย ที่มีการหลงยึดถือ “ศักดิ์ศรี” ของมหาวิทยาลัยตามขั้นบันไดดังกล่าว
หลายปีมาแล้วผมได้ยินอธิการบดีท่านหนึ่งกล่าวในที่สาธารณะ หลังจาก สมศ. กำหนดให้แต่ละมหาวิทยาลัยต้องกำหนดตัวเองว่าอยู่ในกลุ่มใดใน ๔ กลุ่มสถาบันอุดมศึกษา คือ (๑) สถาบันเพื่อชุมชน (๒) สถาบันอุดมศึกษาเพื่อการวิจัย (๓) เพื่อผลิตบัณฑิตระดับปริญญาตรี (๔) สถาบันอุดมศึกษาเฉพาะทาง ท่านกล่าวว่าจะระบุว่ามหาวิทยาลัยที่ท่านเป็นอธิการบดีอยู่ในกลุ่มที่ ๓ ก็ทำใจไม่ได้
สะท้อนวิธีคิดแบบขั้นบันได ขั้นที่สูงกว่าถือว่าดีกว่า
หนังสือเล่มที่เอ่ยถึง ระบุชัดเจนว่า Carnegie Ladder เป็นมายา ใช้ Carnegie Classification System เป็นพันธนาการกำหนดพฤติกรรมของสถาบันอุดมศึกษา ให้เดินตามแนวทางของมหาวิทยาลัยกลุ่ม elite ที่ไม่ควรถือเป็นแบบอย่างสำหรับสถาบันอุดมศึกษาเพื่อคนส่วนใหญ่ ที่ไม่ใช่ elite
มหาวิทยาลัยส่วนใหญ่ในปัจจุบัน ควรทำหน้าที่ยกระดับชีวิตของคนที่ต้องการ จากดำรงชีพแบบปากกัดตีนถีบเป็นแรงงานไร้ความรู้ เป็นแรงงานมีความรู้ หรือทำงานแบบไร้ความรู้ เป็นทำงานแบบมีความรู้ ความเป็นเลิศของมหาวิทยาลัยส่วนใหญ่ควรอยู่ที่ประสิทธิผลและประสิทธิภาพในการทำหน้าที่นี้ ไม่ใช่อยู่ที่การวิ่งไล่กวดมหาวิทยาลัยกลุ่ม ฮาร์วาร์ด
กลับมาที่ประเทศไทย นิทานเรื่องนี้สอนเราว่า การจัดแบ่งกลุ่มสถาบันอุดมศึกษา ไม่ใช่ตัวบอกว่ากลุ่มใดดีที่สุด แต่แบ่งตามการทำหน้าที่ให้แก่สังคม ในแต่ละกลุ่มจะมีสถาบันที่คุณภาพสูงหรือเป็นเลิศ และมีสถาบันที่คุณภาพต่ำ สถาบันใดกำหนดกลุ่มของตนเองผิดก็จะกลายเป็นสถาบันที่คุณภาพต่ำ
ย้ำว่า คุณภาพสูงหรือต่ำอยู่ที่ผลงาน ไม่ใช่อยู่ที่ราคาคุย
ผลงานต่อการยกระดับคุณภาพชีวิตของนักศึกษาหรือผู้จบการศึกษา มีความสำคัญพอๆ กับผลงานวิจัยสร้างความรู้ใหม่ หรือประยุกต์ใช้ความรู้ ซึ่งหมายความว่าบัณฑิตที่จบออกไปต้องมีความรู้ความสามารถ (competencies) ตรงตามความต้องการของงาน ที่จะเป็นงานที่ตนเองเป็นผู้ประกอบการ หรืองานของนายจ้างก็ได้ สถาบันอุดมศึกษาที่มุ่งมั่นสร้างความเป็นเลิศด้านนี้และทำได้สำเร็จ ถือว่ามีคุณภาพสูง เป็นยอดของสถาบันอุดมศึกษากลุ่มที่ ๓ ของ สมศ.
แต่หนังสือ The Innovative University บอกเรามากกว่านั้น
เวลานี้ค่าเล่าเรียนระดับอุดมศึกษาสูงขึ้นอย่างน่าตกใจ และเกินกำลังผู้เรียน เพราะสถาบันต่างๆ หลงเอาเงินรายได้ไปใช้ไต่บันได คาร์เนกี และไม่รู้จักใช้เทคโนโลยีที่ช่วยการเรียนรู้ให้บัณฑิตได้ competencies เพื่อการทำงานที่มีรายได้เพิ่มขึ้น และให้นักศึกษาเรียนได้อย่างยืดหยุ่น สะดวกแก่ผู้เรียน และมีค่าใช้จ่ายน้อย นั่นคือการเรียนแบบ online แบบใหม่ ที่ถือเป็น “คลื่นลูกที่สี่” ของอุดมศึกษา
วิจารณ์ พานิช
๘ ม.ค. ๕๕
เห็นด้วยกับข้อเขียนของอาจารย์อย่างยิ่งครับ.