การศึกษาไทยในอดีต มีลักษณะการเรียนแบบค่อยเป็นค่อยไป เรียนแบบซึมซับ เรียนเพื่อนำไปใช้ในชีวิต ไม่เน้นการแข่งขัน การเรียนในยุคปัจจุบัน เรียนแบบเร่งรัด พัฒนาให้รู้ทุกอย่าง แล้วนำไปสู่การแข่งขัน คิด ทำ แก้ปัญหาไม่เป็น มิใช่เรื่องสำคัญ
ในบ้านมีพ่อแม่เป็นครู ในโรงเรียนมีครูเป็นพ่อแม่ ปัจจุบันครูจะใช้ไม้เรียวทำโทษเด็กที่ดื้อรั้น ที่ไม่เอาใจใส่ ไม่เคารพกติกาไม่ได้ ครูจะตวาดดุด่า ด้วยคำพูดที่รุนแรงไม่ได้ ครูจะลงโทษเด็กที่ทำผิดวินัยต้องได้รับอนุมัติเป็นลายลักษณ์ษร ครูต้องสอนให้เด็กสอบผ่านและเลื่อนชั้นได้ทุกปีการศึกษา จบมาต้องได้ใบประกาศทุกคน
ถามว่าเกิดอะไรขึ้นในสังคมไทย เราเดินตามหลักสากลของต่างชาติ ที่เขาพร้อมด้วยเทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อม รวมถึงการยอมรับในกติกาของสังคม เราไปหยิบเอาหลักสิทธิเสรีภาพอย่างหลวมๆ ของเขามาใช้ บางทีลืมมองดูความพร้อมที่ตัวเรา กลายเป็นการหลงไหลได้ปลื้มกับสิ่งที่ยืมมา
ครูจำนวนมากถูกกล่าวหาว่าเป็นคนทำร้าย ต้องเสียเวลาขึ้นโรงขึ้นศาลกู้หนี้ยืมสินไปว่าจ้างทนายไปแก้ต่าง ด้วยตั้งใจจะสอนศิษย์ให้เป็นคนดี แต่ครูกลับต้องมีคดีจองจำ ครูเป็นแม่ของลูกตนเองยังไม่พอ ต้องเป็นแม่ของลูกผู้อื่นอีก ทุกข์กายยังพอไหวแต่ทุกข์ใจนั้นหนักหนา ทั้งๆที่ตั้งใจสอนให้ศิษย์เป็นคนดีมีความรู้ บางแห่งสื่ออุปกรณ์ไม่พร้อม บางแห่งเมื่อสอบไม่ผ่าน แต่ต้องทำให้ผ่าน ผลักให้ขึ้นไปเรียนในชั้นต่อไปส่งทุกข์ต่อๆกันไป สุดท้ายเข้ามหาวิทยาลัย ถามต่อๆกันไปว่า เขาจบมาจากโรงเรียนไหน? หากจะกล่าวว่า การศึกษาเป็นทุกข์อย่างยิ่งก็คงไม่ผิด(ทุกขา ปรมา สิกขา) ทุกข์ที่ถูกเขี่ยวเข็นให้ไปเรียน ทุกข์ในการที่จะสอนคนให้เป็นมนุษย์ จึงขอเป็นกำลังใจสำหรับใครที่เป็นครู เนื่องในวันครูแห่งชาติ จงสู้เพื่อความสุขของสังคม "สทา โสตถี ภวันตุเต"