"third-genaration" หรือ 3 จี เริ่มมีบทบาทในแวดวงอุตสาหกรรมไอทีเมื่อปี 2000 บรรดาบริษัทโทรคมนาคมยักษ์ใหญ่ ทั้งในญี่ปุ่น เกาหลีใต้
และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุโรป ต่างทุ่มเม็ดเงินลงทุนจำนวนมหาศาล เพื่อซื้อใบอนุญาตและ สร้างเครือข่ายรองรับกันอย่างคึกคักคาดการณ์กันว่า ตั้งแต่ปี 2000 เป็นต้นมา บริษัทเทเลคอมสัญชาติยุโรปทุ่มเงินรวมกันราว 129,000 ล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อซื้อใบอนุญาต 3 จี ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่จะช่วยให้ผู้ใช้สามารถเช็กอีเมล์ ดาวน์โหลดเพลงและภาพยนตร์ จองตั่วเครื่องบิน กระทั่งตรวจสุขภาพผ่านทางมือถือ ไม่ว่าผู้ใช้จะอยู่ที่ใดก็ได้แต่ดูเหมือนว่า พฤติกรรมการใช้โทรศัพท์ของผู้บริโภคเกือบทั้งหมด จะยังคงไม่แตกต่างจากเมื่อ 6 ปีก่อนเท่าใดนัก ทำให้เสียงวิจารณ์ถึงความไม่คุ้มค่าของต้นทุนใบอนุญาติและการสร้างเครือข่าย 3 จี เริ่มดังขึ้นทุกขณะ บริษัทโทรคมนาคมบางแห่งเริ่มมีปัญหาการเงิน มีการฟ้องร้องค่าเสียหาย และบางแห่งถึงกับต้องล้มละลายจากรายงานการเงินประจำปีของโวดาโฟนระบุว่า ตั้งแต่ปี 2000 เป็นต้นมา ได้ทุ่มเงินกว่า 33,000 ล้านเหรียญฯ เพื่อซื้อใบอนุญาติ 3 จี และสร้างเครือข่ายรองรับการใช้งาน แต่ในไตรมาสแรกของปีนี้ โวดาโฟนมียอดขายข้อมูล 3 จี เพียง 277 ล้านเหรียญฯ โดยเป็นกำไรสุทธิ 42 ล้านเหรียญฯ หากโวดาโฟนทำรายได้ในอัตราเท่านี้ จะต้องใช้เวลาถึง 107 ปีจึงจะถึงจุดคุ้มทุนด้านฮัทชิสัน แวมปัว บริษัทโทรคมนาคมข้ามชาติของฮ่องกง เผยว่า ทุ่มเงินกว่า 25,200 ล้านเหรียญฯ ในการซื้อใบอนุญาต 3 จี แต่ระหว่างปี 2003 ถึง 2005 ฮัทชิสันขาดทุนไปกับการดำเนินการ 3 จี ราว 11,000 ล้านเหรียญฯ รวมถึง 3.5 ล้านเหรียญฯ เมื่อปีที่แล้วขณะที่ที-โมบายของเยอรมนี ทุ่มงบ 15,800 ล้านยูโร เพื่อ 3 จี หลังจากนั้นระหว่างปี 2000 ถึง 2004 ที-โมบายขาดทุน 5,400 ล้านยูโรพอล สตอดเดน ซีอีโอของเดบิเทล บริษัทโทรคมนาคมของเยอรมนี ซึ่งแพ้การประมูลซื้อใบอนุญาตกล่าวว่า "การที่เราไม่ได้ใบอนุญาต นับเป็นความโชคดีที่สุด และเป็นสิ่งที่ดีที่สุดของเรา 3 จี ไม่ใช่เพียงจะดูดเงินจำนวนมหาศาลเท่านั้น หากบริษัทเทเลคอมบางแห่งยังไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรกับมันด้วยซ้ำไป"นักวิเคราะห์ชี้ว่า บริษัทเทเลคอมส่วนใหญ่ประเมินค่าของ 3 จี สูงเกินไป กระทั่งไปฟินแลนด์เองก็มีปัญหาคนไม่นิยมโทรศัพท์ 3 จี จนรัฐบาลต้องยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ "บริษัทโทรศัพท์ต้องให้โทรศัพท์ไปฟรี เพราะว่าไม่มีใครต้องการจะซื้อมัน" จอห์น สตรันด์ ที่ปรึกษาอุตสาหกรรมในโคเปนเฮเกน เดนมาร์กกล่าวสำหรับนักลงทุนที่ครั้งหนึ่งเคยซื้อหุ้นของบริษัทโทรคมนาคมที่มีใบอนุญาต 3 จี เวลานี้มองว่ากลายเป็นตัวถ่วงด้านการเงินไปเสียแล้วผู้บริหารระดับสูงของบริษัทมือถือบางแห่งยอมรับว่า มีการพูดถึงผลประโยชน์ของ 3 จี ที่เกินจริง และไม่มีใครรู้ว่าต้องใช้ระยะเวลาเท่าใดที่ 3 จี จะได้รับความนิยม อย่างไรก็ดี บางคนชี้ว่าการเติบโตของยอดขายที่ 3% ถึง 7% ก็นับว่ารวดเร็วมากแล้ว "มันมีการพูดเกินความจริงตั้งแต่ต้น แต่เราก็ยังเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์" วิเว็ค บาดินรัธ ผู้อำนวยการฝ่ายเทคโนโลยีของออเรนจ์ในฝรั่งเศสกล่าว "เราใช้เงินไปมาก และเราหวังให้มันได้ผลเสียที"ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่า สาเหตุหลักที่ผู้ใช้โทรศัพท์มือถือไม่นิยมเทคโนโลยี 3 จี เป็นเพราะว่ามันใช้งานยากและมีราคาแพงเกินไป ดังนั้นความท้าทายหลักใหญ่ของบริษัทผู้ให้บริการก็คือ ทำอย่างไรให้ผู้บริโภคใช้งานได้ง่ายที่สุดเยนส์ เทียมันน์ วิศวกรจากสถาบันฟรอนโฮเฟอร์ในเบอร์ลินกล่าวว่า พวกโปรแกรมสตรีมมิ่งวิดีโอ คุยโทรศัพท์พร้อมภาพ ดาวน์โหลดเพลง และโมบายอินเทอร์เน็ต ยังมีราคาแพงและไม่ได้ผลเท่าใดนัก "ผมยังไม่เห็นเหตุผลว่าผู้บริโภคจะต้องการมันแต่อย่างใด" เยนส์กล่าวปัจจุบันมีผู้ใช้โทรศัพท์มือถือในยุโรป ทั้งตะวันตกและตะวันออกทั้งหมด 720 ล้านคน แบ่งเป็นผู้ใช้ 3 จี 38.6 ล้านคน หรือราว 5.4% เท่านั้นอย่างไรก็ดี ถึงแม้ว่า 3 จี จะเริ่มต้นช้าและมีต้นทุนสูงลิบ แต่บริษัทโทรคมนาคมเกือบทั้งหมดก็ระบุว่า 3 จี จะมีประโยชน์ในอนาคตอย่างแน่นอนอลัน ฮาร์เปอร์ ผู้อำนวยการฝ่ายวางแผนกลยุทธ์ของโวดาโพนกล่าวปกป้องการลงทุน 3 จี "แน่นอนว่า 3 จี จะต้องคุ้มค่าอย่างแน่นอน คุณต้องมองเหนือไปจากแค่เลขหมาย การลงทุนขยายเช่นนี้เป็นเหมือนการปฏิวัติเทคโนโลยี ซึ่ง 3 จี จะเป็นฐานในอนาคตอย่างแน่นอน"ขณะที่ เรเน โอเบอร์มันน์ ซีอีโอของที-โมบาย ซึ่งมีเครือข่าย 3 จี อยู่ใน 6 ประเทศกล่าวย้ำว่า "หากผมมีโอกาสอีกครั้ง ผมก็จะไม่ลังเลที่จะคว้าใบอนุญาต 3 จี มาอีก"ด้านทอร์สเทน เดิร์ค ซีอีโอของอี-พัลส ก็มองในแง่ดีเช่นกัน โดยตั้งข้อสังเกตว่า ตั้งต่ปี 1992 ถึง 1997 เครือข่ายจีเอสเอ็มมีผู้ใช้เพียง 10% เท่านั้นในเยอรมนี แต่หลังจากนั้นในปี 1997 ถึง 2002 ยอดผู้ใช้ก็ก้าวกระโดดไปถึง 80% ซึ่งการพัฒนาการของ 3 จี ก็จะเป็นเช่นเดียวกันนี้ "มันเป็นหนทางของการเติบโตทางธุรกิจ" เดิร์คกล่าว.
คำสำคัญ (Tags): #ima#it#rsu หมายเลขบันทึก: 47401เขียนเมื่อ 31 สิงหาคม 2006 15:40 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2012 15:46 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:
ความเห็น (0)
ไม่มีความเห็น