ตัวประหลาด


แต่เพราะความกลัวบิดา จึงจำต้องเดินก้มหน้าไปตามยถากรรม

ตัวประหลาด  บุญช่วย  มีจิต

 

                ชีวิตเด็กน้อยวัยเพียงแค่  10 ขวบ  ต้องมาระหกระเหิน  พลัดพรากจากบ้านเคยอยู่  ญาติเคยเห็น  ไปสู่ถิ่นที่ไม่เคยไป  ไม่ผิดอะไรกับลูกนกที่ปีกขนยังขึ้นไม่เต็มที่  พอพ้นจากรังก็ถลาลงสู่พื้นดิน  กว่าที่แม่ของมันจะพาตะเกียกตะกายขึ้นไปได้  ก็แสนทุลัก ทุเล  บางทีก็ต้องตกเป็นเหยื่อของเหยี่ยว ของกา หรือ แม้กระทั่งมนุษย์  มันเป็นโลกกว้างที่คิดไม่ออกว่า  จะไปบรรจบที่ใด  จริงอยู่  อาจจะตื่นตาตื่นใจกับสภาพแวดล้อมใหม่ ๆ  ตามประสาความอยากรู้อยากเห็นของวัยเด็ก  แต่ความกลัวมีมากกว่า  จึงไม่อาจจะที่ซึมซับเอาสิ่งสวยงามด้านบวกเข้าไปได้มากนัก  มีแต่ความวิตก กังวล ระคนคิดถึงบ้าน คิดถึงตา คิดถึงยาย คิดถึงพี่ป้า น้า อา  ถึงแม้ว่า ครอบครัวจะไม่อบอุ่นนัก  แต่ก็จะมีที่ไหนอีกเล่าจะให้ความสุขเท่าแหล่งกำเนิดของตนเอง  แต่เพราะความกลัวบิดา  จึงจำต้องเดินก้มหน้าไปตามยถากรรม

                มันไม่ใช่เรื่องสนุกนักหรอกกับเด็กตัวเล็ก ๆ  ต้องเดินทางข้ามเขาภูพานไปอีกฟากหนึ่ง  ใช้เวลาถึงหนึ่งวันเต็ม  ๆ  ขึ้นเขา ลงห้วย เดินไปตามทางเล็ก ๆ  เล็กจนกระทั่งบางครั้งต้องคลำทางว่า  ไปถูกทางหรือไม่  ผู้ไม่ชำนาญการเดินป่าก็จะไปไม่ถูก  เพราะบางครั้งต้องเดินตามทางเดินของสัตว์ป่า เหนื่อยนักก็พักหน่อย  แล็วก็เดินต่อไป  เพราะจะนอนพักกลางป่าไม่ได้  ต้องไปให้ถึงที่หมายให้ได้  ที่หมายก็คือบ้านคำข่า  บ้านญาติคือป้าขง และลุงขิง  ลุงโค้ง  และใครต่อใครอีกมากมาย

                เดินทางออกจากนากระเดาตอนเช้ามืด  พร้อมอุ้มไก่โต้งตัวโปรดไปด้วย  ไปพักกับลุหนายที่บ้านชาติก่อนหนึ่งหรือสองคืนนี่แหละ  รุ่งเช้าก็มุ่งหน้าขึ้นเขา  เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ได้สัมผัสกับภูเขา  จากที่มองเห็นทะมึนอยู่ลิบ ๆ  ไม่กี่ชั่วโมงก็ได้ปีนป่ายขึ้นไปอย่างยากเย็น  เป็นภูเขาที่สูงชันมากสำหรับผมที่ไม่เคยขึ้นเขามาก่อน  ทั้งเหนื่อย  ทั้งร้อน ทั้งหิว ก็ได้อาศัยข้าวเหนียวที่ห่อมา และบั้งทิง[1] พอประทังได้บ้าง

                การปีนเขาจะใช้เวลานานเท่าใด  ไม่สามารถกำหนดได้  รู้แต่ว่านานมากกว่าจะพ้นไปได้  พอพ้นเขาแล้วก็เข้าสู่ป่าดงดิบ  สลับป่าโป่งเป็นระยะ  ๆ  ขั้นเนินบ้าง  ลงห้วยบ้าง เดินไปตามริมห้วย  เลาะไปตามเนินเขา อีกหลายชั่วโมง  ไปถึงหมู่บ้านหนึ่ง  เป็นบ้านกลางดงดิบ  เพราะพอพ้นป่าก็ถึงบ้านเลย  ชื่อบ้านโคกกลาง  เป็นบ้านที่ศาสนาคริสต์(ไม่ทราบนิกายอะไร) เข้าไปสอนศาสนา  ได้ลิ้มรสกล้วยป่าที่หวานจับใจและอร่อยมาก เพราะหิวนะซี  ที่ชาวบ้านมีเมตตา  เห็นเด็กตัวเล็ก ๆ แต่งตัวขะมุกขะมอมเดินทางมา  พวกเขาคงจะไม่เคยเห็น  จึงให้กล้วยสุกและผลไม้ไปรับประทาน

                ออกจากโคกกลางไปก็เป็นป่า สลับภูเขา  แม่น้ำ ลำธาร  บ้างก็ผ่านแค้มป์ที่ชาวบ้านมาพักเรื่อยไม้เอาไปปลูกบ้านบ้าง  พบคนพื้นราบขึ้นมาหาของป่า  ล่าสัตว์บ้าง  ไปจนถึงลำห้วยแห่งหนึ่งมีน้ำใสไหลตลอดปี และเป็นจุดสำหรับพักกลางป่าของผู้เดินทาง  ด้วยรอบบริเวณมีกองไฟและมีร่องรอยคนพัก  มีแก่งหิน มีลานกว้าง พร้อมมีเสียงน้ำตกอยู่ใกล้  ๆ   ดูร่มรื่นมาก  ถ้าหากเป็นการไปปิกนิกละก็คงจะสนุกมากทีเดียว

                ที่นี่พบกับคณะบาทหลวงจากบ้านจันเพล  ซึ่งจะไปบ้านโดกกลางดังกล่าว  เป็นคณะใหญ่ประมาณสิบคน และมีเครื่องดนตรีประเครื่องสี  เครื่องเป่า ( สันนิษฐานว่าจะเป็นจำพวกซอ และแตรวง )  เพราะบางคนก็เป่าบรรเลงเพลงอย่างสนุกสนาน กังวานไปทั้งป่า  คณะนี้น่าจะมีคนสำคัญระดับหัวหน้า  ถ้าไม่เป็นบาทหลวงก็เป็นภราดรหรือบราเดอร์อะไรทำนองนั้น  คงจะไปประกอบพิธีกรรมหรือทำบุญอะไรสักอย่าง  เพราะมีลูกหาบ ขนสัมภาระมากมาย

                เมื่อหัวหน้าเห็นผมซึ่งเป็นเด็กตัวเล็ก ๆ  แต่งตัวมอซอ  เสื้อผ้าขาดวิ่น  และอุ้มไก่ตีอีกหนึ่งตัว  เดินตามพ่อซึ่งก็แต่งตัวมอซอพอ ๆ กัน  แถมไว้หนวด เครา รุงรัง ผมยาว รกยุ่งเหยิง ก็เลยให้ลูกน้องไปเรียก ( แกมบังคับ )ให้มาถ่ายรูปคู่กับหัวหน้าคนนั้น  ซึ่งผมไม่กล้ามองหน้า  เพราะกลัวจนตัวสั่น  ปกติผมจะกลัวแขกแปลกหน้าทุกคน  เพราะยายสอนให้กลัวแขก กลัวคนแปลกหน้า  เพราะอาจจะเป็นลาวกินบี [2]  พวกเราเด็ก  ๆ  จึงกลัวคนแปลกหน้ามาก

                ก็ยังนึกไม่ออกว่ารูปถ่าย ( สมัยนั้นกล้องถ่ายรูปน่าจะเป็นเล็นส์คู่ ไม่งั้นก็ซิงเกิ้ลเลนส์ เป็นฟิล์มขนาดสามนิ้ว ) ออกมาจะเป็นอย่างไร  อยากเห็นภาพครั้งแรกในชีวิตที่ได้ถ่ายประมาณสองสามเฟรม  หรือ อาจจะไม่ติดเลยก็ได้เนื่องจากแสงอาจจะไม่พอ เพราะอย่าถามหาแฟลตไลท์เลยในสมัย พ.ศ. 2500 ต้น ๆ น่ะ  คงยังไม่มีบริษัทใดผลิดออกมาแน่ ๆ  ถ้าใครเห็นรูปที่ว่านี้อยู่ที่ใดโปรดแจ้งมาให้ทราบด้วย  ก็อยากดูสาระรูปตัวเอง 

                พวกเขาคงนึกว่า  เราเป็นสัตว์ประหลาด  หรือ เป็นมนุษย์ผีตองเหลือง  ซึ่งมีชุกชุมบนเทือกเขาภูพานสมัยโน้น  หรือ อาจจะคิดว่าเป็นพวกผีกองกอย  ที่คอยควักตับไต ไส้ พุง ของมนุษย์ผู้ทำผิดกฎของป่ากินเป็นอาหารก็เป็นได้   หรือไม่ อาจจะคิดว่า

          เป็นตัวประหลาดอะไรสักอย่างหนึ่ง จึงยอมเสียฟิล์มถ่ายรูปไว้ดูเล่น !!

 

 



[1] เป็นกระบอกไม้ไผ่ที่มีข้อหัวท้าย  เจาะรูนิด ๆ  กรอกน้ำเข้าไป  ผูกสายสะพายบ่า ใช้ดื่มในที่ไม่มีน้ำ  หมดก็กรอกเอาน้ำจากลำธารที่ใสสะอาดบนเขานั่นเอง

[2] บี  ก็คือ ดี น่าจะเป็นข่าวเกี่ยวกับซีอุยมากกว่า : ผู้เขียน

หมายเลขบันทึก: 473708เขียนเมื่อ 7 มกราคม 2012 09:27 น. ()แก้ไขเมื่อ 9 พฤษภาคม 2012 14:23 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท