ม้ามณีกาบ บุญช่วย มีจิต
ในวรรณคดีอีสานเรื่องหนึ่ง คือ เรื่องการะเกด -มณีจันทร์ เล่าเรื่องม้ามณีกาบไว้ว่า เป็นม้าที่มีคุณสมบัติพิเศษ รู้สึกเหมือนมนุษย์ เหาะเหิน เดินอากาศได้ ต่อสู้กับศัตรูได้ และแสนรู้ เป็นม้าคู่ใจของพระเอกคือท้าวการะเกด [1] เป็นเรื่องที่ประทับใจผมมาตั้งแต่เด็ก ๆ ได้ยินผู้เฒ่าผู้แก่เล่านิทานให้ฟังก่อนนอนจนจำได้แม่นยำ และมาได้ดูหนังประโมทัย ( หนังตะลุงอีสาน ) คณะใหญ่ของนากระเดา [2] ที่เล่นเรื่องการะเกดกับสีทนมโนราห์เป็นส่วนใหญ่ ก็ยิ่งจำได้ติดตา
พอไปอยู่บ้านทุ่งมนกับปู่เหม ( ที่เรียกปู่ ๆ นี้ก็เรียกตามเสี่ยว คนอื่นอาจจะเรียกพ่อเฒ่าเหม พ่อแก่เหมเป็นต้น ) ก็มีเรื่องม้ามณีกาบเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยอย่างน่าระทึกใจ
เรื่องราวเป็นอย่างไรโปรดตามมา
ปู่เหมเป็นคนรูปร่างสูงใหญ่ ค่อนข้างผอม เสียงดัง อายุอานามประมาสักหกสิบปีต้น ๆ แต่แข็งแรง เป็นกวานบ้าน [3] เป็นที่เคารพนับถือของชาวบ้าน ดูเหมือนจะเป็นหมอรักษาโรคภัยไข้เจ็บด้วยวิธีไสยศาสตร์ด้วย ท่านคงหลงใหลในเรื่องไสยศาสตร์มากทีเดียว และคงจะเชื่อเป็นจริง เป็นจัง แน่นอน
ในประวัติเวียงจันทร์ได้พูดถึงผู้มีบุญสามพี่น้อง อันได้แก่
หงษ์หิน ลิ้นก่าน ฝาตีนแดง [4]
จะมากู้เวียงจันทร์ให้กลับเจริญรุ่งเรืองเหมือนอดีต ดังคำประพันธ์ที่พูด ( กลอนลำ ) กันอยู่เสมอว่า
“ เวียงจันทร์เศร้าสาวเอยอย่าฟ้าวว่า ยังสิโป้บาดหล้าหมากแตงช้างหน่วยปลาย ”
หมายความว่า ถึงเวียงจันทร์จะล่มไปแล้ว อย่าพึ่งเสียใจ สุดท้ายแล้วก็จะเจริญรุ่งเรืองเหมือนเดิมอีก
ปีนั้น สันนิษฐานว่า น่าจะเป็น พ.ศ. 2449 ตอนปลาย ๆ
เพราะมีใบปลิว มีข่าวลือ มีเรื่องน่าสะพรึงกลัว มีเรื่องเหลือเชื่อหลายต่อหลายเรื่องเกิดขึ้น เช่น
จะมียักษ์ออกมากินมนุษย์ที่เกิดในปี ระกา หรือ ปีจอ อะไรนี่แหละ อย่าออกจากบ้านช่องเด็ดขาด
จะมียาพิษมาโปรยใส่ตุ่มน้ำ อย่าเปิดฝาทิ้งไว้
จะมีผู้มีบุญได้แก่ฝาตีนแดงขี่ม้ามณีกาบมาทางทิศตะวันออก
จะเกิดอาเพศน้ำท่วมฟ้า ปลากินดาวอะไรพวกนี้ [5]
มีใบปลิวทำนองว่า พ.ศ. 2500 โลกจะแตก และจะมีพระศรีอาริย์มาโปรด
พวกเราเด็ก ๆ โดยเฉพาะผมกลัวมาก และก็เชื่อว่าเป็นจริงตามข่าวลือ
พอหมดหน้าฝน ลมหนาวก็พัดผ่านมา ทุ่งนาเหลืองอร่ามไปด้วยรวงข้าว ชาวบ้านต่างก็เกี่ยวข้าว เพื่อเร่งฟาด(นวด) ข้าว หรือ ฝัดข้าวในปัจจุบัน เพื่อนำขึ้นสู่ยุ้งฉางแข่งกับเวลา
ก็มีข่าวลือว่า มีท้าวลิ้นก่านเกิดขึ้นที่หมู่บ้านประทาย อำเภอบ้านแพง จังหวัดนครพนม มียาสารพัดนึกใช้รักษาคนไข้ มีเครื่องรางของขลังที่ใช้ป้องกันภัยพิบัติได้สารพัด
ขนาดปู่เหมซึ่งถือว่าเป็นเป็นรู้ เป็นผู้นำหมู่บ้าน ยังเชื่อเป็นตุ เป็นตะ และลงทุนเดินทางดั้นด้นไปพบผู้มีบุญทันที [6] ด้วยการเดินเท้าจากบ้านทุ่งมนไปที่บ้านแก้งกะอามใช้เวลาหนึ่งวันเต็ม ๆ เพื่อรอนั่งรถโดยสารซึ่งสมัยนั้นวิ่งเพียงวันละเที่ยวสองเที่ยวเท่านั้น [7] ไปลงนครพนม และเดินเท้าต่อไปยังบ้านประทายอีกสองสามวัน กว่าจะกลับมาทุ่งมนอีกก็ใช้เวลาเกือบหนึ่งอาทิตย์
ท่านมาบอกว่า ไปพบท่านลิ้นก่านจริง ๆ และได้ฮากไม้ ( ยา ) และยันต์ ( ตะกรุด ) เชือกผูกข้อมือ มาแจกจ่ายให้ญาติมิตรบริวาร ผมก็ได้ตะกรุดทองแดงมาผูกข้อมือ 1 อัน
ถึงจะรอแล้วรออีก ก็ไม่เห็นมีวี่แววว่าจะมีพระศรีอาริย์ขี่ม้ามณีกาบมาโปรดแต่ประการใด จวบจนผมเดินทางกลับบ้านนากระเดาจนทุกวันนี้ก็ยังไม่มีเหตุการณ์ใด ๆ ตามใบปลิว ตามข่าวลือนั้นเลย
จะมีก็แต่เพียงการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองเลือกตั้งแล้วเลือกตั้งอีก และก็มีปฏิวัติ รัฐประหารในเวลาต่อมาไม่นานเท่านั้นเอง !!
[1] การสะกดการันต์ สะกดความรู้สึกของผมเอง เพราะแท้จริงแล้วเขาสะกดอย่างไร เพราะถึงแม้จะมีสำนักพิมพ์พิมพ์ออกมาจำหน่ายก็สะกดไปคนทางสองทาง
[2] นากระเดายุคนั้นมีคณะหนังประโมทัยสองคณะ คือ คณะใหญ่ตั้งมาก่อนเล่นเรื่องสีทน มโนราห์ กับการะเกดเป็นพื้น อีกคณะหนึ่งเป็นคณะเล็ก หรือ คณะน้องใหม่ตั้งทีหลัง เล่นเรื่องจำปาสี่ต้น เป็นส่วนใหญ่ ทั้งสองคณะนี้ได้รับความนิยมมาก มีงานหาทั้งปี
[3] คือเป็นนักปราชญ์ เป็นผู้ที่ชาวบ้านเคารพ ยกย่อง เป็นบูชนียบุคคลของหมู่บ้านและทั่ว ๆ ไป
[4] ลิ้นก่าน คือ ลิ้นเป็นปานขาว ฝาตีน กือ ฝ่าเท้า : ผู้เขียน
[5] ผู้เขียนสันนิษฐานภายหลังว่ามันน่าจะเกี่ยวกับการเมืองเรื่องผีบุญ หรือ อะไรพวกนี้แหละ
[6] ผมคิดในปัจจุบันนี้ว่า คนอย่างปู่เหมไม่น่าเชื่องมงายถึงขนาดนั้น
[7] น่าจะเป็นรถที่วิ่งระหว่างกรุงเทพ ฯ - นครพนม ผ่านกาฬสินธุ์ และสกลนครในปัจจุบัน
ไม่มีความเห็น