ม้ามณีกาบ


จะมีก็แต่เพียงการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองเลือกตั้งแล้วเลือกตั้งอีก และก็มีปฏิวัติ รัฐประหารในเวลาต่อมาไม่นานเท่านั้นเอง !!

ม้ามณีกาบ         บุญช่วย มีจิต

 

                ในวรรณคดีอีสานเรื่องหนึ่ง คือ เรื่องการะเกด -มณีจันทร์  เล่าเรื่องม้ามณีกาบไว้ว่า เป็นม้าที่มีคุณสมบัติพิเศษ  รู้สึกเหมือนมนุษย์  เหาะเหิน เดินอากาศได้  ต่อสู้กับศัตรูได้  และแสนรู้  เป็นม้าคู่ใจของพระเอกคือท้าวการะเกด [1]  เป็นเรื่องที่ประทับใจผมมาตั้งแต่เด็ก ๆ  ได้ยินผู้เฒ่าผู้แก่เล่านิทานให้ฟังก่อนนอนจนจำได้แม่นยำ  และมาได้ดูหนังประโมทัย ( หนังตะลุงอีสาน ) คณะใหญ่ของนากระเดา [2]  ที่เล่นเรื่องการะเกดกับสีทนมโนราห์เป็นส่วนใหญ่  ก็ยิ่งจำได้ติดตา

                พอไปอยู่บ้านทุ่งมนกับปู่เหม  ( ที่เรียกปู่ ๆ นี้ก็เรียกตามเสี่ยว คนอื่นอาจจะเรียกพ่อเฒ่าเหม พ่อแก่เหมเป็นต้น ) ก็มีเรื่องม้ามณีกาบเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยอย่างน่าระทึกใจ 

                เรื่องราวเป็นอย่างไรโปรดตามมา

                ปู่เหมเป็นคนรูปร่างสูงใหญ่  ค่อนข้างผอม  เสียงดัง อายุอานามประมาสักหกสิบปีต้น ๆ  แต่แข็งแรง  เป็นกวานบ้าน [3]  เป็นที่เคารพนับถือของชาวบ้าน   ดูเหมือนจะเป็นหมอรักษาโรคภัยไข้เจ็บด้วยวิธีไสยศาสตร์ด้วย  ท่านคงหลงใหลในเรื่องไสยศาสตร์มากทีเดียว  และคงจะเชื่อเป็นจริง เป็นจัง แน่นอน

                ในประวัติเวียงจันทร์ได้พูดถึงผู้มีบุญสามพี่น้อง อันได้แก่

                 หงษ์หิน  ลิ้นก่าน  ฝาตีนแดง [4] 

                จะมากู้เวียงจันทร์ให้กลับเจริญรุ่งเรืองเหมือนอดีต  ดังคำประพันธ์ที่พูด ( กลอนลำ ) กันอยู่เสมอว่า

                “  เวียงจันทร์เศร้าสาวเอยอย่าฟ้าวว่า  ยังสิโป้บาดหล้าหมากแตงช้างหน่วยปลาย

                หมายความว่า  ถึงเวียงจันทร์จะล่มไปแล้ว  อย่าพึ่งเสียใจ  สุดท้ายแล้วก็จะเจริญรุ่งเรืองเหมือนเดิมอีก

                ปีนั้น  สันนิษฐานว่า  น่าจะเป็น พ.ศ. 2449  ตอนปลาย ๆ

                 เพราะมีใบปลิว  มีข่าวลือ มีเรื่องน่าสะพรึงกลัว มีเรื่องเหลือเชื่อหลายต่อหลายเรื่องเกิดขึ้น เช่น

                จะมียักษ์ออกมากินมนุษย์ที่เกิดในปี ระกา หรือ ปีจอ อะไรนี่แหละ  อย่าออกจากบ้านช่องเด็ดขาด

                จะมียาพิษมาโปรยใส่ตุ่มน้ำ  อย่าเปิดฝาทิ้งไว้

                จะมีผู้มีบุญได้แก่ฝาตีนแดงขี่ม้ามณีกาบมาทางทิศตะวันออก

                จะเกิดอาเพศน้ำท่วมฟ้า ปลากินดาวอะไรพวกนี้ [5]

                มีใบปลิวทำนองว่า  พ.ศ. 2500 โลกจะแตก  และจะมีพระศรีอาริย์มาโปรด

                พวกเราเด็ก  ๆ  โดยเฉพาะผมกลัวมาก  และก็เชื่อว่าเป็นจริงตามข่าวลือ

                พอหมดหน้าฝน  ลมหนาวก็พัดผ่านมา ทุ่งนาเหลืองอร่ามไปด้วยรวงข้าว  ชาวบ้านต่างก็เกี่ยวข้าว เพื่อเร่งฟาด(นวด) ข้าว หรือ ฝัดข้าวในปัจจุบัน เพื่อนำขึ้นสู่ยุ้งฉางแข่งกับเวลา 

                ก็มีข่าวลือว่า  มีท้าวลิ้นก่านเกิดขึ้นที่หมู่บ้านประทาย  อำเภอบ้านแพง  จังหวัดนครพนม  มียาสารพัดนึกใช้รักษาคนไข้  มีเครื่องรางของขลังที่ใช้ป้องกันภัยพิบัติได้สารพัด

                ขนาดปู่เหมซึ่งถือว่าเป็นเป็นรู้ เป็นผู้นำหมู่บ้าน  ยังเชื่อเป็นตุ เป็นตะ  และลงทุนเดินทางดั้นด้นไปพบผู้มีบุญทันที [6]  ด้วยการเดินเท้าจากบ้านทุ่งมนไปที่บ้านแก้งกะอามใช้เวลาหนึ่งวันเต็ม ๆ  เพื่อรอนั่งรถโดยสารซึ่งสมัยนั้นวิ่งเพียงวันละเที่ยวสองเที่ยวเท่านั้น [7]  ไปลงนครพนม  และเดินเท้าต่อไปยังบ้านประทายอีกสองสามวัน  กว่าจะกลับมาทุ่งมนอีกก็ใช้เวลาเกือบหนึ่งอาทิตย์

                ท่านมาบอกว่า  ไปพบท่านลิ้นก่านจริง ๆ  และได้ฮากไม้ ( ยา ) และยันต์ ( ตะกรุด ) เชือกผูกข้อมือ มาแจกจ่ายให้ญาติมิตรบริวาร  ผมก็ได้ตะกรุดทองแดงมาผูกข้อมือ 1 อัน

          ถึงจะรอแล้วรออีก  ก็ไม่เห็นมีวี่แววว่าจะมีพระศรีอาริย์ขี่ม้ามณีกาบมาโปรดแต่ประการใด  จวบจนผมเดินทางกลับบ้านนากระเดาจนทุกวันนี้ก็ยังไม่มีเหตุการณ์ใด ๆ  ตามใบปลิว ตามข่าวลือนั้นเลย

          จะมีก็แต่เพียงการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองเลือกตั้งแล้วเลือกตั้งอีก   และก็มีปฏิวัติ รัฐประหารในเวลาต่อมาไม่นานเท่านั้นเอง !!

 



[1] การสะกดการันต์  สะกดความรู้สึกของผมเอง  เพราะแท้จริงแล้วเขาสะกดอย่างไร  เพราะถึงแม้จะมีสำนักพิมพ์พิมพ์ออกมาจำหน่ายก็สะกดไปคนทางสองทาง

[2] นากระเดายุคนั้นมีคณะหนังประโมทัยสองคณะ  คือ คณะใหญ่ตั้งมาก่อนเล่นเรื่องสีทน มโนราห์ กับการะเกดเป็นพื้น อีกคณะหนึ่งเป็นคณะเล็ก หรือ คณะน้องใหม่ตั้งทีหลัง เล่นเรื่องจำปาสี่ต้น เป็นส่วนใหญ่  ทั้งสองคณะนี้ได้รับความนิยมมาก มีงานหาทั้งปี

[3] คือเป็นนักปราชญ์  เป็นผู้ที่ชาวบ้านเคารพ ยกย่อง เป็นบูชนียบุคคลของหมู่บ้านและทั่ว ๆ ไป

[4] ลิ้นก่าน  คือ ลิ้นเป็นปานขาว  ฝาตีน  กือ ฝ่าเท้า  : ผู้เขียน

[5] ผู้เขียนสันนิษฐานภายหลังว่ามันน่าจะเกี่ยวกับการเมืองเรื่องผีบุญ  หรือ อะไรพวกนี้แหละ

[6] ผมคิดในปัจจุบันนี้ว่า  คนอย่างปู่เหมไม่น่าเชื่องมงายถึงขนาดนั้น

[7] น่าจะเป็นรถที่วิ่งระหว่างกรุงเทพ ฯ - นครพนม ผ่านกาฬสินธุ์ และสกลนครในปัจจุบัน

หมายเลขบันทึก: 473707เขียนเมื่อ 7 มกราคม 2012 09:23 น. ()แก้ไขเมื่อ 21 มิถุนายน 2012 08:46 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท